ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 554 มิฉะนั้น ก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง!
มู่น่อนน่อนสองมือวางบนโต๊ะอาหาร เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “เขาอยู่ที่ไหน!”
“ลี่จิ่วชังเพียงแค่หัวเราะ และไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนรีบเดินตามไปขวางอยู่ตรงหน้าลี่จิ่วชัง”อย่างน้อยคุณก็ให้ฉันได้พบลี่จิ่วเชียนสักครั้ง ตลอดมาคุณไม่ยอมให้ฉันพบลี่จิ่วเชียนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
จากคำพูดของลี่จิ่วเชียน เธอก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าลี่จิ่วชังดูเหมือนจะไม่ได้คิดร้ายต่อเธอ ในขณะนี้ที่นี่ก็มีเพียงพวกเขาสองคน ดังนั้นเธอจึงกล้าที่จะพูดให้กระจ่าง
ลี่จิ่วชังก้มหน้าพิจารณาเธอ โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สรุปไม่ได้พูดออกมาในทันที
เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเยอะ เสื้อเชิ้ตด้านใน และมีเสื้อสูทด้านนอก แต่เสื้อเชิ้ตของเขาไม่ได้ติดกระดุมเม็ดบนสุดเหมือนลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนเป็นจิตแพทย์ เขามักจะสวมสูทและผูกเนกไทในเวลาทำงาน ดูแล้วซื่อตรงและน่าเชื่อถือมาก
ลี่จิ่วชังดูสบายๆมากกว่าเขาเล็กน้อย กระดุมบนเสื้อสองเม็ดของเขาไม่ได้ติดกระดุม มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ทันใดนั้น เธอเห็นที่คอเสื้อของเขามีรอยแผลเป็นบนผิวหนังไม่ค่อยชัดเจน
เธอจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนตอนที่ลี่จิ่วเชียนหาเธอครั้งแรก ก็มีรอยแผลเป็นบนตัวมากมาย ต่อมา เขาป่วยและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมู่น่อนน่อนก็เคยเห็น
บนตัวของลี่จิ่วชังก็มีรอยแผลเป็นเช่นกัน?
สองพี่น้องนี้เมื่อตอนอายุสิบกว่าปี เพราะพ่อแม่ของพวกเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ก็ถูกคนจีนรับไปเลี้ยงดูแล้วไม่ใช่เหรอ?
พูดตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตปกติถึงจะถูก แต่ทำไมทั้งสองคนถึงมีรอยแผลเป็นเต็มตัว?
ลี่จิ่วชังสังเกตเห็นการจ้องมองของมู่น่อนน่อนเหลือบมองลงมาที่หน้าอกของตัวเอง เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “คุณมู่คุณพยายามจะยั่วยวนผม เพื่ออยากรู้ที่อยู่ของลี่จิ่วเชียน?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “คุณคิดว่าทุกคนไร้ยางอายเหมือนคุณเหรอ? ประสาท! ”
หลังจากที่เธอพูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่ลี่จิ่วชังมองตามหลังของเธอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว เอื้อมมือกุมศีรษะ สีหน้าปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาแบบหาที่เปรียบมิได้
เขาเดินโซเซไปสองก้าวแล้วชนกับเก้าอี้ด้านหลัง แต่อาการปวดหัวของเขาดูเหมือนจะระเบิด เขาไม่สามารถปิดบังได้อีก เขาทรุดตัวลงกับพื้น วินาทีถัดมา
อาลั่ววิ่งเข้ามาจากด้านนอก “คุณเป็นอะไรคะ ! ”
เธอรีบนั่งยองๆตรงหน้าลี่จิ่วชังคิดอยากพยุงเขาขึ้นมา
…….
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกลับมาถึงห้อง นั่งอยู่บนเตียงคิดอะไรไม่ออก
เธอรู้สึกว่ามีเบาะแสมากมาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลย
โทรหาเฉินถิงเซียวดีกว่า?
เธอต้องหาคนมาช่วยออกความคิดเห็นสักหน่อย
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดเบอร์ของเฉินถิงเซียวทีละตัว จากนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดโทรออกไป
ถ้าหากท่าทีของเฉินถิงเซียวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเธอก็บอกว่าเธอคิดถึงมู่มู่
อันที่จริงเธอก็คิดถึงมู่มู่จริงๆแหละ
โทรศัพท์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง และสามครั้ง…
เพราะไม่มีใครรับสายเลย เมื่อกำลังจะวางสาย ก็มีคนรับสายพอดี
มู่น่อนน่อนไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนรับสายในนาทีสุดท้าย เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเฉินถิงเซียวหรืออาจจะเป็นสือเย่ ดังนั้นเธอจึงลองพูดอย่างไม่แน่ใจ “เฉินถิงเซียว?”
“อืม”
ด้านโทรศัพท์อีกฝ่ายตอบเพียงเบาๆ แต่โชคดีที่เป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้นจริงๆ
หลังจากคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว มู่น่อนน่อนมาที่ประเทศZประมาณหนึ่งสัปดาห์ นอกจากช่วงสองวันแรกที่เคยโทร หลายวันมานี้ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมากมาย จู่ๆได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวมู่น่อนน่อนกลับรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
เธอถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างดึงผ้าปูที่นอนโดยไม่รู้ตัว “กำลังทำอะไรอยู่?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา “กินข้าว”
คราวนี้เสียงของเฉินมู่มาจากฝั่งโน้น “ใครโทรมาเหรอคะ?”
หลังจากเฉินมู่พูดจบ แล้วถามอีกว่า “คุณแม่ใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของมู่มู่ และน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปิติ “คุณกับมู่มู่กินข้าวอยู่ที่บ้านเหรอ?”
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยและเยาะเย้ย “ยังจำได้ว่าตัวเองมีลูกสาวคนหนึ่ง?”
มู่น่อนน่อนตัดสินใจเพิกเฉยต่อประโยคนี้โดยตรง “ให้มู่มู่รับสายหน่อย”
อีกด้านหนึ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเสียงของมู่มู่ก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ “คุณแม่! ”
เฉินถิงเซียวคงเปิดลำโพง เฉินมู่ก็อยู่ใกล้ เสียงก็เลยดังหน่อย”
“มู่มู่ คิดถึงแม่มั้ย? ”
“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากๆค่ะ”
เมื่อฟังเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย ทำให้มุมปากของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะโค้งขึ้น
เธอยังไม่ทันจะพูด ก็ได้ยินเฉินมู่พูดอีกว่า “คุณพ่อก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกัน เขาร้องไห้แล้ว”
“ร้องไห้” สองคำในตอนท้าย ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะเกินจริงเล็กน้อย
“ห๊ะ?”
มู่น่อนน่อนไม่สามารถตั้งสติได้ในทันที
เฉินถิงเซียวคิดถึงเธอ คิดถึงจนร้องไห้?
อาจเป็นไปได้ว่าเฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ไปแล้ว ทางโทรศัพท์มีเสียงที่ไม่พอใจของ เฉินมู่แว่วมา “หนูยังจะคุยกับคุณแม่อยู่!”
เป็นดั่งที่คิด วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นทางโทรศัพท์
เขาอธิบายอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อวานกินหม้อไฟสำลัก จือหยั่นล้อเล่นกับมู่มู่ เธอก็เลยจดจำไว้”
มู่น่อนน่อนจับประเด็นสำคัญได้ “คุณพาเธอไปกินหม้อไฟ? ”
โดยไม่รอให้เฉินถิงเซียวพูด เฉินมู่ที่อยู่ข้างๆได้โอกาสรีบพูดเสียงดังขึ้น “เผ็ดมากด้วย!”
เฉินถิงเซียวเหล่มองเฉินมู่ เธอยักไหล่ กะพริบตาอีกครั้ง และวิ่งไปหาสาวใช้ “น้าคะ หนูหิวน้ำ”
เรื่องหลบหนีคล่องแคล่วมาก
มู่น่อนน่อนกัดฟันและพูดว่า “เฉินถิงเซียวคุณถึงกับพาเฉินมู่ไปกินหม้อไฟ?”
“สั่งน้ำซุปใสหม้อเล็กๆให้เธอ”
“แต่เธอบอกว่าเผ็ด?”
“เธอไม่ได้กินเผ็ด แค่ชิมนิดหน่อย”
“ก็เท่ากับว่ากินแล้ว!”
“…”
เฉินถิงเซียวหยุดไม่พูดอีก ในโทรศัพท์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปสักครู่เฉินถิงเซียวค่อยพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อไรจะกลับมา?”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็รีบพูดเสริมประโยคหนึ่ง “มู่มู่คิดถึงคุณ”
“คูณไม่คิดถึงฉันเหรอ?”
เฉินถิงเซียว“เฮอะ”
เขาทำเช่นนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ตัวเธอเป็นคนออกไปเอง และตอนนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย กลับกลายเป็นว่าเธอตกอยู่ในปริศนาแล้วต้องการหาเฉินถิงเซียวเพื่อขอความช่วยเหลือ
ทำไมถึงไม่เอาไหนขนาดนี้นะ?
คราวนี้เป็นเฉินถิงเซียวเป็นคนพูดขึ้นก่อน “คุณเจอลี่จิ่วเชียนหรือยัง?”
“ยังไม่เจอ เมื่อคืนนี้ฉันไปดูที่บ้านพักตากอากาศและพบว่านอกจากคนใช้กับบอดี้การ์ดแล้ว ก็มีเพียงลี่จิ่วชังคนเดียว ไม่พบแม้แต่เงาของลี่จิ่วเชียน อีกอย่าง เมื่อคืนนี้…”
เธอกำลังจะบอกเรื่องที่เมื่อคืนเธอได้รับโทรศัพท์จากลี่จิ่วเชียน แต่เฉินถิงเซียวก็ถามอย่างเย็นชา “คุณกับลี่จิ่วชังพักอยู่ด้วยกัน มีเพียงเขาคนเดียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อน”….”
วินาทีต่อมา เสียงที่โกรธจัดของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “มู่น่อนน่อนก่อนคืนพรุ่งนี้ ผมต้องการพบคุณที่เมืองหู้หยาง มิฉะนั้น ก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง !”