ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 599 ช้าสุดพรุ่งนี้
สือเย่ออกมาจากห้องนอน และเดินมาที่ด้านหลังของเฉินถิงเซียว ได้มองไปตามสายตาของเฉินถิงเซียวแว๊บนึง จากนั้นได้เรียกเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ:“คุณชายครับ”
“มีบุหรี่ไหม?”เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับและหันมามองเขา
ถึงแม้สือเย่เองก็ไม่ค่อยสุบบุหรี่เท่าไหร่ แต่กลับพกติดตัวไว้ตลอด
เขาเอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าซองนึง จากนั้นได้ดึงบุหรี่ออกมาครึ่งนึงจากในซองแล้วยื่นมาที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวดึงบุหรี่มวนนั้นออกมา จากนั้นได้เอามาคาบไว้ในปาก จากนั้นสือเย่ได้เอาไฟแช็กออกมา ทำท่าจะจุดไฟให้เขา
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ยื่นมือไปเอาไฟแช็กมา:“ฉันจุดเอง”
“แช็ก”เสียงนึง ไฟแช็กถูกจุดขึ้น ได้จุดเปลวไฟขึ้น
เฉินถิงเซียวจุดไฟเอง จากนั้นได้คืนไฟแช็กคืนให้กับสือเย่
สือเย่รับไฟแช็กมาแล้วยังยืนอยู่ที่ข้างหลังของเฉินถิงเซียว ไม่ได้จากไป และไม่ได้เปิดปากพูดอีก
ตั้งแต่ย้ายมาที่ข้างบ้านของลี่จิ่วเชียน เฉินถิงเซียวนอกจากเคลียร์เรื่องราวแล้ว เวลาที่เหลือล้วนยืนอยู่ที่นี่ ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สือเย่สามารถรู้สึกได้ว่าในใจของเฉินถิงเซียวคิดถึงมู่น่อนน่อนอยู่
แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ในใจของเฉินถิงเซียวคิด ไม่ใช่มู่น่อนน่อนหมด เขายังได้คิดอย่างอื่นด้วย แต่เขาเดาไม่ถูก
“นายคิดว่าลี่จิ่วเชียนจะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่?”
เฉินถิงเซียวได้ถามสือเย่อย่างคาดคิดไม่ถึง สือเย่เหม่อไปครู่นึง จากนั้นได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่นึงถึงพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า:“คงจะช่วงนี้แล้วมั้งครับ?”
เฉินถิงเซียวดูดบุหรี่แรงๆคำนึง และได้เอาลงมาคีบอยู่ในนิ้วมือ นิ้วมือเรียวยาวได้ดีดควันทิ้ง น้ำเสียงเลื่อนลอย:“ช่วงนี้นี่คือวันไหน?”
“ความหมายของคุณชายคือ?” ในเรื่องแบบนี้ สือเย่ก็ยังสามารถรับรู้ความคิดในใจของเฉินถิงเซียวได้อยู่
เฉินถิงเซียวถามเขาแบบนี้ ในใจจะต้องมีความคิดของเขาแล้วแน่นอน
สือเย่พูดจบ ก็ได้โน้มตัวไว้รอคำตอบของเฉินถิงเซียว แต่แล้วเฉินถิงเซียวกลับเงียบสงบลง
จนกระทั่งเฉินถิงเซียวได้ดูดบุหรี่มวนนั้นจนหมด ถึงส่งเสียงว่า:“ช้าสุดพรุ่งนี้เขาก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”
เขาเพิ่งสูบบุหรี่เสร็จ ลำคอที่สัมผัสกับควันได้แฝงด้วยความแหบพร่าเสี้ยวนึง ทำให้เขายิ่งดูทุ้มลึกเข้าไปอีก
ความคิดของสือเย่โลดแล่น สมองได้ทำงานอย่างไว พริบตาเดียวก็เข้าใจความหมายของเฉินถิงเซียวแล้ว:“ความหมายของคุณชายคือ ลี่จิ่วเชียนเร็วสุดก็จะเคลื่อนไหวคืนนี้เลย?”
“งั้นคุณหญิงก็คง……”หลังจากเห็นสีหน้ามืดมนของเฉินถิงเซียวแล้ว คำพูดตอนท้ายของสือเย่ก็ไม่ได้พูดออกมาอีก
ถ้าลี่จิ่วเชียนลงมือคืนนี้เลย งั้นสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนก็จะกลายเป็นไม่ปลอดภัย
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้โต้แย้งสือเย่ นั่นก็แสดงว่าสือเย่พูดถูกแล้ว
เฉินถิงเซียวกำมือแน่น เอาก้นบุหรี่ที่เมื่อครู่เพิ่งดูดหมดกุมไว้ในฝ่ามือจนเละ จากนั้นจึงได้เริ่มออกคำสั่ง
“ส่งคนไปตรวจสอบผู้หญิงที่ชื่อวานวาน อาการป่วยหนัก คอยอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตตลอด เธออาจจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับลี่จิ่วเชียน”
สือเย่อึ้งไปครู่นึง:“ครับ”
“ยังมีอีก……”เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่นึง แต่สือเย่รู้แล้วว่าเฉินถิงเซียวจะพูดอะไร
สือเย่พูดอย่างรู้ตัวว่า:“ผมจะส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของลี่จิ่วเชียนตลอดครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดจาอีก
หลายวันนี้ เฉินถิงเซียวพูดจาน้อยมาก
ที่จริงเมื่อก่อนเฉินถิงเซียวก็ไม่ใช่คนพูดมาก แต่ไม่เหมือนตอนนี้ในคำพูดสิบ
คำมีแปดคำที่ไม่ได้คำตอบ ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยเขาไปเดา ถึงจะสามารถเดาความหมายจากคำพูดของเฉินถิงเซียวออก
ดีที่คำถามที่ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่สนใจเหล่านั้น ล้วนเป็นคำตอบที่สือเย่สามารถเดาได้
สือเย่ได้รับคำสั่งของเฉินถิงเซียว ก็ได้ออกจากห้องนอนเริ่มไปปฏิบัติการทันที
……
ตกดึก มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่านอกห้องมีความเคลื่อนไหว
ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนก็หลับไม่ค่อยสนิทเลย ชอบสะดุ้งตื่นอยู่เรื่อยเลย โดยเฉพาะช่วงดึกมีความเคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ตื่นแล้ว
หัวเตียงได้เปิดไฟไว้ดวงนึง มู่น่อนน่อนลืมตาขึ้นแค่พร่ามัวไปครู่นึง สายตาก็กลับมาชัดเจนแล้ว
เธอเอียงศีรษะและรวบรวมสมาธิไปฟังความเคลื่อนไหวของด้านนอก แต่กลับพบว่าไม่ได้ยินอะไรเลย
หรือเมื่อครู่เธอหูฝาดไป?
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หรือลองออกไปดูหน่อยดีกว่า?
พอมู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ ก็ได้ลุกจากเตียงเบาๆ
เฉินมู่ยังหลับลึกอยู่ มู่น่อนน่อนโน้มตัวดึงผ้าห่มให้เฉินมู่ และได้ดึงมุมผ้าห่ม ทีนี้ถึงเดินไปใส่เสื้อคลุม
เธอกำลังจะใส่เสื้อคลุม แต่ก็ได้หยุดชะงักไว้เล็กน้อย
ถ้าข้างนอกมีคนจริงๆล่ะ?
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่นึง จากนั้นได้ถอดเสื้อคลุมออก ใส่เสื้อผ้าทั้งหมดให้เรียบร้อย
เดินมาถึงหน้าห้องได้สวมรองเท้า พอจัดความเรียบร้อยของชุดเสร็จ ถึงยื่นมือไปเปิดประตู
“แกร๊ก”เสียงนึง ประตูห้องนอนค่อยๆถูกเปิดออก
มู่น่อนน่อนมองผ่านช่องโหว่ประตู พบว่าด้านนอกไม่มีเงาคนเลย
เธอโล่งอกไปที นี่ถึงได้เปิดประตูให้กว้างขึ้น
แต่ว่า ตอนที่เธอเปิดประตูให้กว้างขึ้น ก็สะดุ้งที่เห็นลี่จิ่วเชียนกำลังยืนห่างจากหน้าห้องหนึ่งเมตร!
ลี่จิ่วเชียนใส่เสื้อคลุมสีดำไว้ ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งตัวมีกลิ่นอายที่เย็นชาฟุ้งกระจายอยู่ แววตาก็ดุร้ายมาก
ด้านหลังของเขามีอาลั่วยืนอยู่ ด้านหลังของอาลั่วมีบอดี้การ์ติดตามอยู่หลายคน
ลี่จิ่วเชียนยกมุมปากขึ้น ดูแล้วใจเย็นแต่ดุร้าย เสียงยังคงอ่อนโยนอีกเช่นเคย:“ดูท่าแม้แต่ขั้นตอนเคาะประตูผมก็ได้ประหยัดไปแล้ว”
ใช่ เสียงอ่อนโยน เพียงแต่ในความอ่อนโยนนั้นได้แฝงด้วยความเย็นชา
มู่น่อนน่อนพอจะเข้าใจแล้วว่าในที่สุดลี่จิ่วเชียนก็ทนไม่ไหวที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ถ้าไม่มีการกระตุ้นของเฉินถิงเซียว เขาอาจจะยังนั่งนิ่งอยู่ ไม่เป็นฝ่ายลงมือเอง และจะสามารถได้โอกาสที่เอื้ออำนวยกว่า
แต่ว่า สองวันนี้พฤติกรรมทั้งหลายของเฉินถิงเซียวทำให้ลี่จิ่วเชียนไม่สามารถใจเย็นได้อีก
เขาถูกยั่วให้เกิดโทสะ ก็เลยไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้นแล้ว หลังจากอารมณ์ยากที่จะควบคุม เขาก็ทนไม่ไหวที่จะลงมือแล้ว
มือข้างนึงของมู่น่อนน่อนจับประตูไว้ มืออีกข้างอดกุมแน่นไม่ได้
พักอยู่ที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนมานานขนาดนี้ จู่ๆนาทีนี้มู่น่อนน่อนกลับมีความรู้สึกที่ว่า“อะไรที่ควรจะมาในที่สุดก็มาแล้ว”
ในใจเธอสงบนิ่งจนเธอเองก็ยังค่อนข้างประหลาดใจเลย
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรคะ ถึงขั้นต้องให้คุณพาคนมาหาฉันกลางดึก?”มู่น่อนน่อนมองหน้าลี่จิ่วเชียนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงไม่มีความประหลาดใจและความหวาดกลัวอยู่เลย
แววตาของลี่จิ่วเชียนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย:“คุณไม่รู้เลยว่าผมจะทำอะไร ก็ไม่กลัวเลยเหรอ?”
“ตอนนั้นฉันสมคบคิดกับคุณ ตอนที่ให้คุณคุมตัวฉันมา ฉันก็รู้แล้วว่าต้องมีวันนี้”
อย่างไรก็ตามเพิ่งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมของมู่น่อนน่อนยังค่อนข้างยุ่งเหยิงอยู่ เธอยื่นมือทัดผมที่ติดอยู่ตรงแก้มไปที่หลังหู และคุยเงื่อนไขกับลี่จิ่วเชียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ถ้าฉันไปกับคุณ คุณปล่อยมู่มู่ไปได้มั้ย?เธอเป็นแค่เด็กคนนึง”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มอ่อนๆ:“ผมย่อมยอมปล่อยเธอไปอยู่แล้ว”
เขายิ่งเป็นแบบนี้ มู่น่อนน่อนกลับยิ่งไม่เชื่อเขา
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วพูดว่า:“ฉันกลับไปเอาผ้าพันคอที่ห้องหน่อยได้มั้ย?”