ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 607 ฉันเป็นทางรอดเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตรอดงั้นเหรอ?
- Home
- ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
- บทที่ 607 ฉันเป็นทางรอดเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิตรอดงั้นเหรอ?
นี่เป็นครั้งแรก ที่ลี่จิ่วเชียนพูดเรื่องสะกดจิตเฉินถิงเซียวอย่างตรงไปตรงมา
มาถึงตอนนี้แล้ว มู่น่อนน่อนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินถิงเซียวไปล่วงเกินอะไรกับลี่จิ่วเชียน หรือว่าทั้งสองคนเคยมีปากเสียงอะไรกัน
ลี่จิ่วเชียนถูกคนอุปการะมาตั้งแต่เด็ก และเติบโตอยู่ต่างประเทศ ส่วนเฉินถิงเซียวใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจนอายุสิบกว่าขวบถึงมาต่างประเทศ พูดกันตามหลักการแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันถึงจะถูก
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?” มู่น่อนน่อนถามลี่จิ่วเชียนว่าทำไมต้องสะกดจิตเฉินถิงเซียวด้วย
ถ้าลี่จิ่วเชียนไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเฉินถิงเซียว เช่นนั้นการที่ลี่จิ่วเชียนทำแบบนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของเขาอย่างแน่นอน
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บอกคุณก็คงไม่เป็นไรแล้วแหละ” ลี่จิ่วเชียนแสดงความภาคภูมิใจปรากฏให้เห็นในแววตาอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียวได้รับสิ่งของที่เป็นของเขามากเกินควร เขามีสิทธิ์อะไรที่ได้รับความสุขด้วย? ผมแค่อยากเห็นกับตาที่เขาทำลายความสุขที่หามาอย่างยากลำบากด้วยน้ำมือของเขาเอง”
“แต่ไม่คิดเลยว่า คุณจะบาดเจ็บหนักมาก จนหลับไปสามปีถึงฟื้นขึ้นมา หลังจากฟื้นแล้ว ยังสูญเสียความทรงจำอีก!”
น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารและเห็นใจ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ลักษณะท่าทางของเขาในเวลานี้ราวกับโรคจิตที่สมองเกิดอาการผิดปกติ
กระนั้นมู่น่อนน่อนก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุผลแบบนี้ด้วย ที่กระตุ้นให้ลี่จิ่วเชียนสะกดจิตเฉินถิงเซียวได้หนักขนาดนี้
“คุณแค่อยากให้เฉินถิงเซียวลืมฉันเหรอ? แล้วเลิกกับฉันใช่ไหม?”
“คุณสามารถเข้าใจแบบนี้ก็ได้นะ”
ลี่จิ่วเชียนหัวเราะออกมา ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและภาคภูมิใจ
“ซึ่งต่อมา ความทรงจำของฉันกลับคืนมาแล้ว คุณก็จงใจปล่อยให้ฉันกลับไปอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียวงั้นเหรอ?”
“แบบนั้นแหละ ผมอยากเห็นภาพที่สุด ก็คือการที่เฉินถิงเซียวอาศัยความสามารถของตนเองในการทำร้ายคนที่ตนเองรักที่สุด จึงได้ให้คุณกลับไปอยู่ข้างกายของเขา แต่ว่า…”
ลี่จิ่วเชียนหยุดอยู่ชั่วครู่ พลางพูดว่า “คุณให้ความสำคัญกับเฉินถิงเซียว เกินกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้ คุณให้เขาเริ่มฟื้นความจำกลับคืนมาในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น ซึ่งฝ่าออกจากโลกใบนั้นที่ถูกผมสะกดจิตเขาเอาไว้…”
“คุณบ้าไปหรือเปล่า?” คำถามนี้ของมู่น่อนน่อน ถามด้วยความจริงใจเป็นพิเศษ
เธอรู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนป่วยจริงๆ
แถมยังเป็นอาการป่วยทางจิตใจที่หนักเอาการอยู่
เขาแค่เห็นว่าเฉินถิงเซียวอยู่สุขสบายได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา จึงจงใจสะกดจิตเฉินถิงเซียว ให้เฉินถิงเซียวลืมมู่น่อนน่อนคนนี้ไปซะ เพื่อทำลายความรักของคนสองคน เพื่อเติมเต็มความคิดอันบิดเบี้ยวของเขา
โดยให้เฉินถิงเซียวลืมมู่น่อนน่อนไปซะ นี่มันสร้างความเสียหายให้เฉินถิงเซียวมากกว่าการบุกไปแทงเขาตรงๆ เสียอีก
การทำงานของลี่จิ่วเชียน โดยการพุ่งเป้ามาที่หัวใจโดยตรงอยู่เสมอ
รอยบาดแผลที่อยู่บนตัว สามารถฟื้นตัวจนปิดสนิท แต่ถ้าหัวใจของคนคนหนึ่งตายไปแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็ไม่แตกต่างกับการตายทั้งเป็น
เรื่องนี้เป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดของลี่จิ่วเชียนคนนี้
มู่น่อนน่อนแค่รู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบเล็กน้อย
เธอหน้าชา ร่างกายแข็งทื่อตอนที่มองมาทางลี่จิ่วเชียน
ทันใดนั้นลี่จิ่วเชียนก็ยื่นมือออกมาตบไหล่ของเธอเล็กน้อย “คุณไม่อยากรู้บ้างหรือว่าด้านในมีอะไร? เข้าไปดูกันเถอะ”
หลังจากลงมือทำเรื่องราวมาเยอะแยะเรียบร้อยแล้ว ลี่จิ่วเชียนทำท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงพูดคุยแบบตามสบายกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนแสดงอาการหลีกเลี่ยงราวกับหนีโรคระบาด พลางบ่ายเบี่ยงทันที เพื่อหลบเลี่ยงมือของลี่จิ่วเชียน สีหน้าลี่จิ่วเชียนเคร่งขรึมลงทันควัน
เขาส่งเสียงพึมพำเย็นชาในลำคอ พลันหันตัวเดินเข้าไปทันที
ส่วนมู่น่อนน่อนนั้น กลับถูกลูกน้องของลี่จิ่วเชียนดันตัวให้เดินเข้าไปด้านใน
ตัววิลล่าใช้ระบบการจดจำรูม่านตา อีกด้านหนึ่งสามารถพูดได้อย่างชัดเจน ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของตึกหลังนี้มีความปลอดภัยสูงมาก
คนด้านนอกไม่สามารถเข้ามาโดยง่าย คนที่อยู่ภายในก็ไม่สามารถออกไปโดยง่ายเช่นกัน
ยิ่งมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านใน มู่น่อนน่อนก็ค้นพบว่าภายในมีการติดตั้งเทคโนโลยีชั้นสูง
ตัวตนของลี่จิ่วเชียนยิ่งแปรเปลี่ยนจนสับสนขึ้นเรื่อย ๆ
เธอยิ่งมั่นใจมากขึ้น ลี่จิ่วเชียนกับเฉินถิงเซียวต้องมีความเคียดแค้นที่คนอื่นไม่รู้อย่างแน่นอน
ซึ่งความเคียดแค้นนี้ ขนาดตัวเฉินถิงเซียวเองก็ยังไม่ทราบ
มู่น่อนน่อนถูกดันให้เดินเข้ามาด้านใน แต่ว่าหลังจากที่เข้ามาแล้ว ลูกน้องของลี่จิ่วเชียนถึงได้ยอมปล่อยเธอ
มู่น่อนน่อนเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินผ่านมากี่ประตูแล้ว
ท้ายที่สุด เธอถูกพามายังห้องที่มีเสียงอุปกรณ์ต่างๆ ดังระงมอยู่ทั่วทั้งห้อง
กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ ตีเข้าจมูกเป็นสิ่งแรก
ในเวลานี้มู่น่อนน่อนอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของลี่จิ่วเชียน ทำได้เพียงเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
ช่วงเวลานั้น มีคนลักษณะเหมือนคุณหมอใส่เสื้อกาวน์เดินเข้ามารับหน้า
คุณหมอโค้งตัวเพื่อแสดงความเคารพลี่จิ่วเชียนพลางกล่าวทักทาย “บอสครับ”
หลังจากลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว อากัปกิริยาสีหน้าพลางเปลี่ยนแปลงไป
เขาจ้องมองคุณหมอ และถามออกไปหนึ่งประโยค “อาการเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอขยับแว่นตา และพูดตอบด้วยสีหน้าย่ำแย่ “อาการเหมือนเดิมครับ”
จากนั้น ภายในห้องก็เงียบสนิททันที เสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์เกิดอาการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
มู่น่อนน่อนมองไปทางด้านหลังคุณหมอ จึงมองเห็นเตียงคนไข้หนึ่งเตียงอยู่ลาง ๆ
บนเตียงมีส่วนนูนขึ้นมาเล็กน้อย บนนั้นมีคนนอนอยู่หนึ่งคน
ทันใดนั้นเธอก็เกิดคิดขึ้นมาได้ ครั้งนั้นที่แอบฟังลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วพูดคุยกัน
เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อว่า “วานวาน” อาศัยเครื่องช่วยหายใจในการมีชีวิตรอด ก็คือคนที่นอนอยู่บนเตียงคนนี้ใช่ไหมเนี่ย?
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่า ลี่จิ่วเชียนจะพาเธอมาดู “วานวาน” ตัวจริง
“ออกไป!” ภายใต้น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเก็บงำอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้
เขากำลังบอกให้คุณหมอออกไป
เมื่อคุณหมอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดออกมา จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก พลันโค้งตัวและถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหันตัวเดินออกไปทางด้านนอกทันที
คุณหมอท่านนี้แสดงความเคารพให้ลี่จิ่วเชียน หรือจะพูดว่าหวาดกลัวกันแน่
ลี่จิ่วเชียนมุ่งหน้าเดินไปยังเตียงคนไข้ทันที
มู่น่อนน่อนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างทางด้านหลังของเขา และเดินตามไป
บนเตียงมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงจริงๆ ผิวพรรณซีดเผือดและโปร่งใส ใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอด บนร่างกายมีอุปกรณ์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงไปมา การหายใจอ่อนแรงราวกับคนไม่มีชีวิต
มองดูแล้วว่าอายุน้อยมาก หน้าตาก็ใสซื่อ ขนตายาวเป็นแพ ถ้าลืมตาขึ้นมา น่าจะเป็นเด็กสาวที่มีชีวิตชีวามากคนหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะเกลียดลี่จิ่วเชียนก็ตาม แต่นิสัยความเวทนาก็ยังมีอยู่
ถ้าใครมาพบเห็นร่างกายเด็กสาวแรกรุ่น แต่กลับมานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยโดยไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้ ต่างจะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนก็เป็นเช่นนั้นด้วย
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เอนตัว พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของสาวน้อย ทั้งหมดนี่เป็นพฤติกรรมที่แสนธรรมดามาก ทว่าแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นเป็นพิเศษ
คำพูดที่ออกมาจากปาก กลับเป็นการถามมู่น่อนน่อน “คุณลองเดาสิว่าเธอนอนมากี่ปีแล้ว?”
มู่น่อนน่อนจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเธอนอนมากี่ปีกันแล้ว
ลี่จิ่วเชียนเองก็ไม่ได้บังคับให้เธอต้องตอบคำถามนี้ มู่น่อนน่อนจึงไม่ตอบกลับและยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปชั่วครู่ ลี่จิ่วเชียนถึงค่อยๆ ส่งเสียงตอบกลับมา “สิบกว่าปีแล้ว รายละเอียดว่ากี่ปีนั้น ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว”
น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วมีอาการถอนหายใจออกมา
เขาหดมือกลับ พลางลุกขึ้นยืน สายตาจับจ้องมาที่ตัวมู่น่อนน่อน “ทุกปี ร่างกายของเธอจะอ่อนแอลงกว่าเดิม แต่เมื่อสามปีก่อน เธอมีหนทางรอดชีวิต”
กลายเป็นสามปีก่อนอีกแล้ว!
สมองของมู่น่อนน่อนพลันโลดแล่นอย่างรวดเร็ว
เมื่อสามปีก่อน ลี่จิ่วเชียนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอ
สามปีก่อน ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอให้หายจากอาการป่วย
ก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวเคยพูดว่า ลี่จิ่วเชียนเคยแอบตรวจร่างกายของเธอแบบลับๆ และเป็นห่วงเป็นใยกับร่างกายของเธอมากเป็นพิเศษ
ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ เวลานี้ได้คำตอบแล้ว
มู่น่อนน่อนพูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้ “ฉันเป็นหนทางรอดชีวิตเดียวของเธอใช่ไหม?”