ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 609 มีความเกลียดชังเคียดแค้นอย่างหนัก
วันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนไม่ได้เจอลี่จิ่วเชียนอีกเลย
นอกจากมีคนเอาข้าวมาส่งให้มู่น่อนน่อนทุกวัน เวลาที่เหลือ เธอก็ถูกขังอยู่ในห้องทั้งสิ้น
หลังจากนั้นถัดมาอีกวัน มู่น่อนน่อนถึงได้เจอลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง
ลี่จิ่วเชียนใส่ชุดดำล้วน ดูทำตัวราวกับเบิกบานใจมากกว่าเดิม ราวกับเกิดเรื่องราวดีๆ บางอย่างขึ้นมา
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ด้านหน้าเธอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คิดได้หรือยังครับ?”
“ไม่สนว่าคุณจะให้เวลาฉันนานอีกขนาดไหน คำตอบของฉันก็เหมือนเดิม” มู่น่อนน่อนเว้นวรรคพูดเน้นย้ำ “ไม่ มี ทาง!”
คำพูดของมู่น่อนน่อน กระตุกต่อมโกรธของลี่จิ่วเชียน
แต่ว่า ลี่จิ่วเชียนกลับไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นชัด
เขาหลับตาลง พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติความโกรธเคือง
รอจนเขาลืมตากลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น อารมณ์ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นมั่นใจแถมแน่วแน่มาก “คุณคิดว่า การต่อต้านอันไร้สติจำพวกนี้ของคุณมันมีประโยชน์ไหมล่ะ?”
เขาพูดจบ พลางยิ้มอย่างลึกลับทันที
“น่อนน่อน คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเฉินถิงเซียวลืมคุณไปได้อย่างไร?” รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและหนาวเหน็บทันที
สีหน้ามู่น่อนน่อนหน้าถอดสีทันที พลางถอยหลังหลายก้าว “ลี่จิ่วเชียน คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ!”
เฉินถิงเซียวเป็นคนหนักแน่นมุ่งมั่นเช่นนั้น หลังจากถูกลี่จิ่วเชียนสะกดจิตแล้ว สามปีที่ผ่านมาก็ไม่สามารถจดจำเรื่องนั้นได้
ถ้าไม่ใช่เฉินถิงเซียวได้มาเจอกับมู่น่อนน่อนอีกครั้ง บางทีตอนนี้เขายังนึกหน้ามู่น่อนน่อนไม่ออกด้วยซ้ำ
การถูกลืมเลือนมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
ความทรงจำสำหรับคนคนหนึ่ง มันเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ทว่า นี่มันเป็นถิ่นของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนไม่สามารถปีนหนีขึ้นท้องฟ้า จึงแทบไม่สามารถหนีจากเงื้อมมือลี่จิ่วเชียนได้เลย
ลี่จิ่วเชียนจ้องมองแววตาของเธอ ราวกับมองเหยื่อที่หมดหนทางสู้
มู่น่อนน่อนหันตัวเตรียมวิ่ง ทว่ากลับถูกมือของลี่จิ่วเชียนคว้าเอาไว้ทันที
“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่คุณเป็นคนบีบบังคับผมเองนะ น่อนน่อน” เสียงอันอ่อนโยนของลี่จิ่วเชียน ค่อยๆ เดินมุ่งหน้ามาหาเธอ
……
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
สือเย่เดินจากนอกห้องเพื่อเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ซึ่งมาพร้อมกับความหนาวเหน็บ
เขาเพิ่งผลักประตูเข้าไป บอดี้การ์ดกำลังออกมาจากด้านในพอดี และแสดงท่าทางร้อนรน
สือเย่ขมวดคิ้วถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของบอดี้การ์ดดูย่ำแย่ แต่ยังคงพูดไปตามความจริง “ผู้ช่วยสือครับ! คุณชายหายตัวไปแล้วครับ”
“บอกแล้วให้พวกแกคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดี!” สือเย่ชี้มาทางพวกเขา และพูดด้วยความโกรธเคือง “รอฉันตามตัวคุณชายเจอก่อน แล้วฉันจะกลับมาจัดการกับพวกแกทั้งหมด”
สือเย่ออกจากโรงพยาบาล และขับรถไปตามหาเฉินถิงเซียว
บริเวณในเมืองก็ใหญ่มากขนาดนี้ ใครจะไปรู้เล่าว่าเฉินถิงเซียวจะไปอยู่ที่ไหน!
สือเย่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวอาจจะไปที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนก็ได้
ดังนั้น สื่อเย่จึงขับรถมุ่งหน้าไปยังวิลล่าของลี่จิ่วเชียนทันที
เหตุการณ์ไฟไหม้วิลล่าของลี่จิ่วเชียนในครั้งนี้ ไหม้หมดไม่เหลือซาก หลังจากที่ไฟสงบแล้ว เหลือแค่เศษซากปรักหักพังเท่านั้น
สือเย่ลงจากรถ ใช้ฝ่ามือสะบัดปิดรถ และวิ่งเข้าไปในเศษซากปรักหักพังตรงบริเวณนั้น
“คุณชาย!” สือเย่ทั้งวิ่งและตะโกนเรียกเฉินถิงเซียวไปพร้อมกัน
แต่ว่า เขาไม่ได้รับการตอบกลับของเฉินถิงเซียวแม้แต่น้อย
สือเย่วนอยู่ที่นี่หลายรอบ และยังหาตัวฉินถิงเซียวไม่พบ
หรือว่าเขาจะคิดผิดพลาดไป? คุณชายไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่แรก?
ทันใดนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงพบช่องทางคล้ายทางเข้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
สือเย่เดินเข้าไป จึงพบว่าเป็นทางเข้าห้องใต้ดิน
ปกติทางเข้าช่องนี้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ดีมาก แต่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนเข้ามาที่นี่ อีกทั้งจัดการทำลายสิ่งของที่ปกปิดทางเข้า จึงทำให้ปากทางเข้าอันนี้ปรากฏออกมาให้เห็นอยู่
สือเย่เดินลงไปตามทางเข้า เมื่อเข้าไปในห้องใต้ดินแล้ว จึงเห็นเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บจากอาการไฟไหม้หนักก่อนหน้านี้ สือเย่เป็นคนส่งเขาไปที่โรงพยาบาล นี่ก็เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ยังต้องใช้เวลาพักรักษาตัวเพื่อดูอาการอีกหลายวัน แต่ผลที่ได้คือเขากลับวิ่งแจ้นมาอยู่ที่นี่แทน
ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวไปหาเสื้อผ้าทั้งชุดมาจากไหน เสื้อโค้ตสีดำยิ่งทำให้เขาดูลึกลับและยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเดิม
“คุณชายครับ!”
สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวตัวเป็นๆ ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เขากล่าวเรียกเฉินถิงเซียว และเดินไปหาเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหน้าโซฟา ดวงตาจับจ้องบนโซฟาซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเพ่งมองอะไรอยู่
“คุณชายครับ ถ้าคุณอยากมาที่นี่ บอกกับผมสักคำก็ได้นะครับ! ตอนนี้สภาพร่างกายของคุณต้องพักรักษาตัวให้ดี มาที่นี่คนเดียว แล้วจะทำให้คนอื่นวางใจได้ยังไงกันครับเนี่ย!”
ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินถิงเซียวได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาหรือเปล่า ในทางกลับกันเฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาสักนิด
สือเย่เดินก้าวมาทางด้านหน้าครึ่งก้าว เพราะความอยากรู้ว่าตกลงแล้วเฉินถิงเซียวเขากำลังมองอะไรอยู่
เวลานั้นเอง เฉินถิงเซียวกลับย่อตัวลง พลันชูสองนิ้วออกไปคีบเอาเส้นผมหนึ่งเส้นขึ้นมาจากโซฟา
เป็นเส้นผมสีดำสนิท เส้นเล็กและยาว มองดูก็รู้ว่าเป็นเส้นผมของผู้หญิง
สือเย่จ้องมองเส้นผมเส้นนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อหวนนึกถึงอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงพูดว่า “เส้นผมของลูกน้องของลี่จิ่วเชียนไม่ได้ยาวขนาดนี้นี่”
“เส้นผมของมู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวสงบนิ่งแถมเงียบขรึม เขาพูดจบ พลางเกร็งกระชับนิ้วทันที เพื่อเอาเส้นผมเส้นนั้นบีบไว้ในฝ่ามือ
เขาเงยหน้าสำรวจห้องใต้ดินโดยรอบ และกล่าวลอย ๆ ออกมา “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ลี่จิ่วเชียนไม่ได้พาตัวมู่น่อนน่อนออกไปทันที แต่ให้ลูกน้องแยกเป็นสองกลุ่ม โดยการแยกไปทางประตูหน้าและประตูหลังแทน”
“ลี่จิ่วเชียนตัวเขาเองก็รู้ดี ถ้าทำเช่นนี้ ไม่นานนักผมก็จะทำลายแผนได้ ดังนั้น เขาจึงให้คนไปวางเพลิงในห้องของมู่มู่ซะ”
สือเย่กัดฟันสบถออกมา “ไอ้สัตว์นรก!”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนพูดมากอะไร ซึ่งปกติส่วนใหญ่จะเงียบขรึมก็ตาม แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาสบถด่าคนออกมาเช่นนี้
นั่นเป็นเพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลี่จิ่วเชียนลงมือทำมันช่างเกินเหตุไปมาก
ถึงขั้นวางเพลิงในห้องของเด็กผู้หญิงที่มีอายุเพียงสามขวบ โดยการวางเพลิงเยอะมากขนาดนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการจำกัดการเคลื่อนไหวเฉินถิงเซียวเอาไว้เท่านั้นเอง
ไม่เสียแรงที่ลี่จิ่วเชียนทำมันสำเร็จ!
หลายปีที่ผ่านมานี้ลี่จิ่วเชียนสือเย่ทำงานแทนเฉินถิงเซียวมาตั้งมากมาย เคยเจอคนที่หนักหนากว่าลี่จิ่วเชียนมาแล้ว แต่ลี่จิ่วเชียนร้ายกาจกว่าคนอื่นมากนัก
“ซึ่งไม่สนใจด้วยซ้ำว่าไฟไหม้ในครั้งนั้นมู่มู่จะถูกไฟคลอกจนตาย หรือว่าไฟคลอกฉันให้ตาย หรือฉันกับมู่มู่จะถูกไฟคลอกจนตายด้วยกันทั้งคู่ สำหรับลี่จิ่วเชียนแล้วมันเป็นเรื่องที่จะเกิดอยู่ในความคิดของเขาอยู่แล้ว”
เฉินถิงเซียวเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าหลายก้าว สายตาหยุดอยู่ที่ก้นบุหรี่ที่หล่นอยู่ที่พื้น “ดูเหมือน ฉันกับเขาต้องมีความแค้นเคืองชิงชังกันหนักหนาอย่างแน่นอน”
สือเย่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงกล้าพูดจากความคาดเดาออกมา “หรือจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของแม่ของคุณในปีนั้นครับ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบ สือเย่ก็พูดตามความคาดเดาของตนเองต่อ “พวกเราได้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ทุกอย่างของลี่จิ่วเชียนแล้ว ซึ่งไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่สักนิด นอกจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ของคุณในปีนั้น ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังมีเรื่องอื่นอีก”
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “ดูเหมือนต้องตรวจสอบเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วแหละ”
แม้ว่าตอนนี้ได้มีการตรวจสอบแล้วก็ตาม แต่คนที่บงการเรื่องนั้นคือเฉินชิงเฟิง
ทว่า เรื่องยิบย่อยในเรื่องใหญ่เรื่องโตนั่น จะเชื่อมโยงกับคนอื่น หรือมีผลประโยชน์กับคนอื่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ลี่จิ่วเชียนถึงขั้นเคยตรวจสอบเรื่องมารดาของเขา ต้องเชื่อมโยงเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดาของเขาในปีนั้นแน่นอน
สือเย่พยักหน้า “ครับคุณชาย”
เฉินถิงเซียวเคร่งขรึมทันที ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ได้ข่าวคราวของมู่น่อนน่อนบ้างไหม”
สือเย่ฟังน้ำเสียงอันเคร่งเครียดของเขาออก จึงพูดออกไปตรงๆ “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของคุณหญิงน้อยเลยครับ”