ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 612 คุณพูดออกมาแบบนี้ มีคนเขาเสียใจอยู่นะ
เฉินถิงเซียวพาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเดินมาทางลี่จิ่วเชียน
เวลานี้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ชายหนุ่มต่างบ้านต่างเมืองที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาเฉกเช่นเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นกับพวกถือว่าน้อยมาก
ดังนั้น ตอนที่กลุ่มของเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหานั้น จึงตกเป็นเป้าสายตาจนโดดเด่นเป็นพิเศษ
มีสายตามากมายต่างจับจ้องมาที่พวกเขา
ซึ่งลี่จิ่วเชียนย่อมเห็นพวกเขาตามธรรมชาติ
เขาคลี่ริมฝีปากด้านล่าง พลันปรากฏรอยยิ้มที่ไม่แสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก จากนั้นจึงหันศีรษะไปมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกำลังเอียงศีรษะมาพูดคุยกับผู้หญิงอีกคน ด้วยลักษณะท่าทางหัวร่อต่อกระซิก
ลี่จิ่วเชียนเรียกเธอ “น่อนน่อนครับ”
“คะ?” มู่น่อนน่อนหันศีรษะกลับมามองลี่จิ่วเชียน “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ดูสิว่าใครมา” ลี่จิ่วเชียนที่มือถือขาแก้วไวน์พลันใช้นิ้วชี้ปัดไปทางด้านหน้า เพื่อส่งสัญญาณชี้ให้เธอมองตามทางที่เขาชี้ไป
มู่น่อนน่อนเหลือบมองตามสายตาของเขา พลันเห็นเฉินถิงเซียวที่เดินฝ่าฝูงชนมาอยู่ทางด้านหน้า
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวในวินาทีนั้น ค่อยๆ แข็งทื่อ กระทั่งมลายหายไปสิ้น
ส่วนเฉินถิงเซียวที่คอยจับจ้องมู่น่อนน่อนจนตาไม่กระพริบอยู่อยู่นั้น จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของมู่น่อนน่อนทันที
ซึ่งสีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเก่า
กู้จือหยั่นที่เดินมาอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียว พลางลูบแขนตัวเองอย่างไม่รู้
สายตาของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวประสานสายตากันอยู่ท่ามกลางอากาศ ซึ่งไม่ได้มีทีท่าจะเบนสายตาหนีกันเลย
สายตาของเฉินถิงเซียวเย็นชามาก ส่วนมู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าไหร่ ในเวลานี้ทั้งสองคนช่างยากยิ่งในการให้คนอื่นเขาจินตนาการกันได้ว่าพวกเขาเคยเป็นคนรักใคร่กันมาก่อน
ในที่สุด กลุ่มเฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ด้านข้างลี่จิ่วเชียน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้เดินไปทางฝั่งเฉินถิงเซียวด้วยซ้ำ
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองมู่น่อนน่อนอยู่แวบหนึ่ง และพอใจกับการแสดงออกของเธอเป็นอย่างยิ่ง
ใบหน้าเขาพลันปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนาน ช่วงนี้ยังสบายดีใช่ไหมครับ?” สายตาของลี่จิ่วเชียนจ้องมองมาที่ตัวเฉินถิงเซียว พลางคลี่ยิ้มมากกว่าเดิม
เสิ่นเหลียงถึงกลับพ่นลมออกจากปาก ตอนนี้จะมองลี่จิ่วเชียนยังไงก็ยังรู้สึกรังเกียจ
เธอหันหน้าออกไปอีกทาง ดันไปสบตามู่น่อนน่อนอีก จนอารมณ์ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแทน
เฉินถิงเซียวไม่ได้มองลี่จิ่วเชียนสักนิด
บรรยากาศดูแปลกพิกลเล็กน้อย
กู้จือหยั่นเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย พลันพูดและยิ้มให้ลี่จิ่วเชียน “ไม่ได้เจอกันนานเสียที่ไหนล่ะครับ? ก่อนหน้าผมก็ได้ดูข่าว คุณลี่กับคุณเฉินเคยเป็นเพื่อนบ้านกันมาก่อนด้วยนี่ครับ?”
แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดจาอะไรออกไป แต่กู้จือหยั่นรู้ดีว่า เฉินถิงเซียวกำลังดูถูกลี่จิ่วเชียน จึงไม่อยากร่วมวงเสวนากับเขา
ฐานะของกู้จือหยั่นเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเฉินถิงเซียวแล้ว ยังสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ การที่เขาออกหน้ามาพูดแทน ก็เท่ากับกู้จือหยั่นเสียหน้าเอง
ลี่จิ่วเชียนสีหน้าแปรเปลี่ยนความรู้สึกเล็กน้อย พลันตอบทันควัน “ถ้าผมจำไม่ผิดนะ สุภาพบุรุษท่านนี้คือ ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทเสิ้งติ่งใช้ไหมครับ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับผม ใช่กระผมเองครับ” กู้จือหยั่นปรากฏรอยยิ้มแย้มหน้าบานอยู่บนใบหน้า แต่ในใจกลับสบถด่าลี่จิ่วเชียนไปยกหนึ่งแล้ว
นี่เล่นตลกอะไรกันอยู่ พูดกันตรงๆ ก็อีแค่หมอจิตวิทยาคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ดูจากท่าทางที่เขาคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ ยังคิดว่าตัวเองเก่งยอดเยี่ยมมากจริงๆ เหรอเนี่ย!
ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้ พลางหันมามองมู่น่อนน่อน “น่อนน่อนครับ เหมือนว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของคุณหมดนั่นเลยนะครับ?”
“พวกเขาทั้งหมดที่ไหนกัน มีแค่เสี่ยวเหลียงที่เป็นเพื่อนฉันเท่านั้นแหละค่ะ” มู่น่อนน่อนมองไปทางลี่จิ่วเชียน แววตาปรากฏความเกลียดชังให้เห็น
มุมปากลี่จิ่วเชียนกระตุกขึ้น และปรากฏรอยยิ้มที่แสนแปลกประหลาด “พูดแบบนี้ มีคนเขาเสียใจอยู่นะ”
เขามองไปทางเฉินถิงเซียวเพื่อสื่อความหมายเป็นนัย
แววตาเฉินถิงเซียวยังคงจับจ้องบนตัวมู่น่อนน่อนไม่เลิก เขาเอ่ยปากพูดอย่างเคร่งขรึม “มู่น่อนน่อน มานี่”
“ถ้าคุณเฉินมีธุระอะไร หลังเสร็จงานเลี้ยงแล้ว พวกเราค่อยไปหาสถานที่คุยกันค่ะ” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มให้เขา และไม่มองเขาอีกเลย
เธอกลับไปคล้องแขนลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง “ไปกันเถอะ อย่าให้คนไร้ประโยชน์มาถ่วงเวลาเลยค่ะ เดี๋ยวรออีกสักพักฉันอยากจะกลับบ้านเร็วๆ แล้วค่ะ”
“ได้สิครับ”
ก่อนที่ลี่จิ่วเชียนจะเดินจากไปพลางเหลือบมองเฉินถิงเซียวครั้งหนึ่ง หางตาแสดงรอยยิ้มผู้มีชัยชนะ
บรรดาฝูงชนทำได้แต่จ้องมองลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนเดินจากไป
กู้จือหยั่นมองด้านหลังของสองคนนั่น จนอดสบถด่าตามหลังไม่อยู่ “เหี้ยเอ๊ย! ไอ้เหี้ยลี่จิ่วเชียนแม่งมันเล่นห่าเหวอะไรวะ!น่อนน่อนน้ำเข้าสมองหรือไงวะ? อะไรที่เรียกว่าคนไร้ประโยชน์? กูโมโหฉิบหาย! พวกมันแม่ง…”
กู้จือหยั่นยังพูดไม่จบ พลางรู้สึกว่าฟู้ถิงซีที่ยืนอยู่ข้างเขาคอยดึงเขาเอาไว้
“ดึงผมไว้ทำไม ผมก็ไม่ได้พูดผิดนี่” กู้จือหยั่นจ้องมองฟู้ถิงซีตาเขม็ง
ฟู้ถิงซีเตะเขาไปหนึ่งที เพื่อส่งสัญญาณให้เขามองเฉินถิงเซียว
กู้จือหยั่นเข้าใจทันที ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าเริ่มแสดงอาการประหม่าอยู่บ้าง
คำพูดพวกนั้นของมู่น่อนน่อน มันทิ่มแทงหัวใจของเฉินถิงเซียว เธอพูดแบบนี้ต่อหน้าเฉินถิงเซียว แล้วหัวใจของเฉินถิงเซียวมันจะยิ่งทุกข์ใจจนรับไม่ไหวมากกว่าเดิมอยู่ไหม?
กู้จือหยั่นเกาหัว ท้ายที่สุดก็พยายามพูดประโยคหนึ่งออกมาเพื่อเป็นการปลอบโยน “เอ่อ คือ… เฉินถิงเซียว ที่น่อนน่อนเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่นี้ เธอต้องมีเหตุผลของเธอแน่ ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนแบบนี้นี่…”
เฉินถิงเซียวเหล่ตามองเขา น้ำเสียงไร้ความรู้สึก “เธอเป็นคนยังไง ฉันจะไม่เข้าใจงั้นเหรอวะ? จำเป็นต้องให้แกมาคอยบอกฉันด้วยเหรอ?”
กู้จือหยั่น “…” เขาอุตส่าห์ทำตัวใจดีอยากจะปลอบโยนเฉินถิงเซียวบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่ากลับตาลปัตรทำให้เฉินถิงเซียวไม่ชอบขี้หน้าเขาแทน
กู้จือหยั่นโกรธจนไม่พอใจจึงชี้ไปที่เฉินถิงเซียวและพูดกับฟู้ถิงซี “แกดูมันสิ!”
ฟู้ถิงซีเหลือบมองเฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง พลางส่ายหน้าทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร
มีคนมากมายเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด
พวกของเฉินถิงเซียวก็มาถึงงานแล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุยคบค้าสมาคมกันได้
ขนาดเสิ่นเหลียงเองก็ยังมีคนเข้ามาหาเรื่องนั้นเรื่องนี้พูดคุยอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการพบปะพูดคุยกัน มีแค่เฉินถิงเซียวคนเดียวที่ทำตัวว่างอยู่
เขาหาที่นั่งมีวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างดีและนั่งอยู่ตรงตำแหน่งนั้น แม้ว่ามีคนอยากจะเข้ามาเสวนาพูดคุยกับเขาก็ตาม แต่กลับถูกปฏิเสธให้ต้องให้ล่าถอยออกจากเขาด้วยรัศมีทำตัวห่างเหินระยะเป็นพัน ๆ ไมล์ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ท้ายที่สุด จึงไม่มีใครกล้าเขาไปหาเฉินถิงเซียวเลย
กู้จือหยั่นพบปะพูดคุยจนวนครบหนึ่งรอบและกลับมาแล้ว และนั่งลงด้านข้างเฉินถิงเซียว ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ถิงเซียว แกในฐานะประธานใหญ่ของการบริหารบริษัทข้ามชาติและอุตสาหกรรมนับไม่ถ้วน ไปพบปะเสวนาอย่างเป็นทางการสักหน่อยจะได้ไหม ทำงานทำการบ้างดิ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ทางบริษัทเฉินซื่อจะไม่ล้มละลายจริงๆ ใช่ป่ะ?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขาตามปกติ “ไม่มีทาง”
กู้จือหยั่นถึงกลับสำลัก เขาหมดคำพูดแล้ว พลางลุกขึ้นไปเสวนาต่ออย่างจริงจัง
เขาเพิ่งจะก้าวขาออกไป ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสือเย่ที่เดินออกไปกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สือเย่เดินมาหยุดทางด้านข้างเฉินถิงเซียว พลางเรียกด้วยความเคารพ “คุณชายครับ”
มือเฉินถิงเซียวที่ถือแก้วไวน์พลันวางลงทันที นัยน์ตาอันเหม่อลอยหดตัวลงเล็กน้อย พลันพูดออกมาคำเดียว “พูดมา”
สือเย่นำเรื่องที่ตนเองได้ตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วแจ้งให้เฉินถิงเซียวฟัง “ผมพาคนไปดูให้เห็นกับตา ลี่จิ่วเชียนพาบอดี้การ์ดมาแค่ 2-3 คน ขนาดอาลั่วที่เป็นผู้ช่วยตัวเก่งของเขาก็ไม่ได้พามาด้วย ซึ่งลูกน้องของเขาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของอาลั่ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินทั้งหมด ถึงกลับเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นจึงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
สือเย่เดาความคิดของลี่จิ่วเชียนไม่ออก และยิ่งไม่สามารถทายความหมายในการหัวเราะอย่างเย็นชาในครั้งนี้ของเฉินถิงเซียวว่ามันหมายความว่าอย่างไร
เขาถามกลับด้วยความรู้สึกสงสัย “คุณชายครับ คุณคิดว่ายังไงดีครับ?”