ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 622 บุคคลที่ไม่คาดฝัน
สือเย่จึงชะงักหยุดด้วยความจำใจ แล้วหันกลับไปมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก็ไม่อยากจะเสียเวลา จึงถามขึ้นตรง ๆ :“บอกมาว่ามู่มู่อยู่ที่ไหน”
สือเย่ส่ายหน้า:“ผมไม่รู้ครับ”
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปากขึ้น:“ถ้าจะให้คิดดี ๆ แล้วล่ะก็ เวลาที่นายอยู่กับเฉินถิงเซียวนั้นนานกว่าที่ฉันอยู่กับเฉินถิงเซียวมาก เขาเชื่อใจนายที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้นายเป็นคนจัดการ แต่นายกลับบอกกับฉันว่าไม่รู้?”
เฉินถิงเซียวเชื่อใจสือเย่ เกือบแทบทุกเรื่องที่ให้สือเย่เป็นคนลงมือจัดการ
มู่น่อนน่อนกล้ามั่นใจว่าสือเย่จะต้องรู้ว่าเฉินมู่อยู่ที่ใด
ต่อให้เรื่องนี้สือเย่จะไม่ได้จัดการด้วยตัวเองก็ตาม แต่อย่างไรสือเย่จะต้องรู้รายละเอียดอย่างแน่นอน
สือเย่สีหน้าสะดุ้ง ถอนหายใจเบา ๆ เล็กน้อย :“แต่ว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนจัดการ ทุกอย่างคุณผู้ชายเป็นคนจัดการเองทั้งนั้นครับ”
“เฉินถิงเซียวเป็นคนจัดการเอง?” นี่ทำให้มู่น่อนน่อนแปลกใจเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นไปได้
ท่าทีมุมมองที่เฉินถิงเซียวมีต่อเฉินมู่นั้นเปลี่ยนไปแล้ว การลงมือจัดการเรื่องของเฉินมู่ด้วยตัวเองก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้
“ครับ” สือเย่ปาดเหงื่ออย่างเงียบ ๆ แบบนี้คงปล่อยเขาไปได้แล้วสินะ?
เธอเเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดช้า ๆ “ต่อให้เขาจะเป็นคนจัดการเอง ก็เป็นไปไม่ได้ที่นายจะไม่รู้!”
สือเย่เงียบ
มู่น่อนน่อนจึงเข้าใจทันทีว่าเธอนั้นทายถูกแล้ว
สุดท้ายสือเย่จนปัญญากับมู่น่อนน่อน จึงได้บอกที่อยู่เธอไปตามตรง
ที่อยู่นี้ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหู้หยางร้อยกว่ากิโลเมตร
เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีชื่อเสียงจากการปลูกดอกไม้ มู่น่อนน่อนเคยไปครั้งหนึ่งสมัยตอนที่ยังเรียนอยู่ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามมาก
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินถิงเซียวจะพาเฉินมู่มาอยู่เมืองเล็ก ๆ แบบนี้ได้
เดิมทีเธอคิดว่าอาจจะเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหู้หยางหลายพันกว่ากิโลเมตร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเมืองที่ห่างแค่ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร
ต่อให้เมื่อลี่จิ่วเชียนจะรู้ว่าเฉินมู่ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าเฉินถิงเซียวก็คงจะสอดส่องเฉินมู่ไม่ให้คลาดสายตา
……
มู่น่อนน่อนไปถึงที่สถานีรถขนส่งและขึ้นรถไปถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งนั้น
เมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างหนาวกว่าในเมือง
มู่น่อนน่อนตามหาเลขที่บ้านท่ามกลางลมหนาว เมื่อเธอหาเลขที่บ้านเจอ จมูกของเธอก็แดงขึ้นด้วยความเย็นแล้ว
เป็นวิลล่าเก่า ๆ ที่ไม่ค่อยสะดุดตาหลังหนึ่ง ยืนมองจากที่ไกล ๆ สามารถมองข้ามกำแพงรั้วบ้านเห็นต้นหญ้าในสวนหย่อมที่ลานหน้าบ้าน
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่า กำแพงรั้วหน้าบ้านค่อนข้างสูง จึงมองไม่เห็นด้านในบ้าน
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วทำการเคาะประตู
หลังจากที่เคาะอยู่สองสามที มู่น่อนน่อนก็ได้ยืนรออยู่ด้านหน้าประตู
ผ่านไปนานสักพัก ถึงได้มีคนมาเปิดประตู
ตามด้วยเสียงเปิดประตูดัง “เอี๊ยด” ก็มีเสียงห้วน ๆ ของชายหนุ่มดังขึ้น:“ใครอ่ะ”
เมื่อประตูถูกเปิดออก ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อแจ็คเก็ตสีดำหนาก็เดินออกมา
ชายหนุ่มที่ไว้หนวดเครา ที่ดูค่อนข้างดุดัน
เขาจ้องมองมาทางมู่น่อนน่อน มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาเบิกกว้าง ถึงแม้จะะดูไม่ค่อยมีมารยาท แต่ว่าในแววตานั้นก็ไม่มีความหมายอื่นนแอบแฝง
เมื่อสำรวจเสร็จแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วถามเธออย่างหมดความอดทน:“คุณเป็นใคร”
“ฉันมาตามหาคน” มู่น่อนน่อนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร “ขอถามหน่อยค่ะว่าที่นี่มีคนแซ่เฉินอยู่ไหมคะ”
เธอหมายถึงคนที่แซ่ “เฉิน” ส่วนชายหนุ่มนั้นอาจไม่รู้ว่าเป็น “เฉิน” ตัวไหน
สายตาของชายหนุ่มตกกระทบไปที่ใบหน้าของเธอ จากนั้นจึงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค:“ไม่มีคนแซ่เฉินอะไรทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบ เขาก็ปิดประตูลง
เสียงดัง “ปัง” ประตูเหล็กที่หนาถูกปิดลงต่อหน้าต่อตามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถอยหลังสองสามก้าวอย่างหวุดหวิด มิเช่นนั้นอาจจะถูกประตูหนีบโดน
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวในนั้นค่อย ๆ ไกลออกไป ชายหนุ่มคนนั้นจากไปแล้วจริง ๆ เหรอ
มู่น่อนน่อนนั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมง คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสภาพแบบนี้
เธอนึกว่าถ้าหากเป็นคนที่เฉินถิงเซียวจัดแจงมา อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักเธอบ้าง
หรือว่าสือเย่ให้ที่อยู่เธอผิด
หรือว่าเฉินถิงเซียวต้องการปิดบังเป็นความลับ ดังนั้นจึงโกหกแม้กระทั่งสือเย่?
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดไปมา ก็คิดไม่ออกถึงสาเหตุ
แต่ในเมื่อเธอมาแล้ว ก็จะต้องเห็นเฉินมู่ให้ได้
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็เหมือนไม่รู้จักดังมาจากด้านหลัง:“มู่น่อนน่อน?”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นก็รีบหันขวับไปทันที ก็เจอกับบุคคลที่ไม่คาดฝัน
“เฉินจิ่งหยุ้น?” มู่น่อนน่อนมองเฉินจิ่งหยุ้นที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ตอนนั้นเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นตัดขาดจากกัน เฉินจิ่งหยุ้นออกจากประเทศไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ
เวลานี้ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
“เธอมาได้ยังไง” เฉินจิ่งหยุ้นเดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน ในแววตาเต็มไปด้วยการสำรวจ
เธอสำรวจมองมู่น่อนน่อน แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนก็มองสำรวจเธอเช่นกัน
เฉินจิ่งหยุ้นที่พันด้วยผ้าพันคอหนา ๆ เสื้อคลุมยาวถึงข้อเท้า และเท้าของเธอเป็นคู่รองเท้าบูตลุยหิมะที่ดูแล้วเหมือนจะอุ่นมาก
ชุดที่ดูเรียบง่ายกว่าของมู่น่อนน่อน แต่ยังคงดูมีสง่าราศี
สองสาวต่างมองสำรวจกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมู่น่อนน่อนจึงได้ถามขึ้น:“แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เฉินจิ่งหยุ้นกลับไม่ได้พูดอะไร เดินไปเคาะประตู จากนั้นค่อยหันมาทางมู่น่อนน่อนแล้วกล่าวขึ้น:“เข้ามาด้านในก่อน”
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในนานอยู่ครู่หนึ่ง เฉินจิ่งหยุ้นจึงยกเท้าขึ้นมาถีบประตูเหล็กไปหนึ่งที น้ำเสียงดุดัน:“ฉีเฉิง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“……”
มู่น่อนน่อนมองเฉินจิ่งหยุ้นด้วยความประหลาดใจ
เฉินจิ่งหยุ้นในความทรงจำของเธอ เป็นผู้หญิงที่สง่างามมักจะวางมาดด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินซื่อตลอดเวลา
เฉินจิ่งหยุ้นที่มีความหยิ่งผยองฝังอยู่ในกระดูก และความสูงส่งมาแต่โดยกำเนิด
เป็นเรื่องยากที่มู่น่อนน่อนจะปะติดปะต่อเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ตรงหน้ากับความทรงจำให้เข้าด้วยกันได้
สักพัก ประตูถูกเปิดออกอีกครั้งจากคนด้านใน
ยังคงเป็นชายหนวดเคราคนเดียวกันกับเมื่อสักครู่
เขาเปิดประตูออกมาก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้น จึงดึงประตูให้เฉินจิ่งหยุ้นได้เข้าไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
“เข้าไปกันเถอะ” เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวกับมู่น่อนน่อน แล้วก็สาวเท้าก้าวไปด้านใน
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินผ่านชายหนวดเครา ก็ได้เหลือบมองเขาอีกครั้ง
ครั้งแรกที่เขาเปิดประตูนั้น มู่น่อนน่อนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ครั้งนี้จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายหนวดเครานี้มีแววตาที่คมกริบ
จนทำให้คิดถึงท่าทางของเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่หน้าประตูเมื่อสักครู่ มู่น่อนน่อนรู้สึกราง ๆ ว่าความสัมพันธ์ของชายหนวดเคราคนนี้กับเฉินจิ่งหยุ้นนั้นไม่ธรรมดา
ในบ้านมีเครื่องทำความร้อน จึงอบอุ่นกว่าข้างนอกมาก
“เธอนั่งตามสบายเลยนะ” เฉินจิ่งหยุ้นเข้ามาแล้วก็ถอดผ้าพันคอกับเสื้อคลุมทันที
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนโซฟา เงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนวดเคราได้เดินตามเข้ามา
เฉินจิ่งหยุ้นหันไปมองชายหนวดเครา:“ไปรินชา”
ตอนที่เธอกล่าวประโยคนี้นั้นดูธรรมชาติมาก เหมือนกับยามปกติเธอก็ออกคำสั่งแบบนี้กับชายหนวดเคราเป็นประจำ
ชายหนวดเคราก็ไม่ได้พูดอะไร หันหลังไปหยิบกาน้ำแล้วทำการรินน้ำชาให้กับพวกเธอสองคน
ชายหนุ่มที่มาดเข้มแบบนี้ เมื่อทำการรินน้ำชา เรื่องที่เล็ก ๆ แบบนี้กลับทำได้อย่างพิถีพิถัน