ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 633 รู้ตัวว่าเป็นคนดัง
สือเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “ผมเข้าใจครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้านิดหน่อย แล้วหันเดินไปทางห้องของเฉินมู่พร้อมกับพูดว่า “ฉันไปดูเฉินมู่อีกที เดี๋ยวจะกลับมา”
สือเย่ได้ยินว่าเธอจะไปหาเฉินมู่ ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยินยอมเงียบๆ
มู่น่อนน่อนไปดูเฉินมู่ ก่อนจะออกจากวิลล่าไป
ประตูใหญ่วิลล่า มีรถสองคันจอดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว รถคันหนึ่งในนั้นบรรจุของใช้ของมู่น่อนน่อน รถอีกคันอาจจะมารับเธอไป
มู่น่อนน่อนลดสายตาลงเล็กน้อย “สิ่งของพวกนี้ไม่จำเป็น และไม่ต้องไปส่งฉัน ฉันขับรถไปเอง”
สือเย่เข้าใจอารมณ์โกรธของมู่น่อนน่อน จึงไม่ได้ฝืนบังคับมากนัก แค่ถามหยั่งเชิงว่า “งั้นให้ผมบอกที่อยู่บ้านกับคุณไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฉันจะไม่ไปอยู่” มู่น่อนน่อนปฏิเสธตรงๆ และขับรถตัวเองออกไป
สือเย่ยืนอยู่ใต้โคมไฟทางตรงหน้าประตูใหญ่ เห็นมู่น่อนน่อนขับรถจากไปแล้ว ถึงได้โทรออกไปหาเฉินถิงเซียว
“คุณชายครับ”
เฉินถิงเซียวเอ่ยถาม “เธอไปแล้วเหรอ”
“คุณหญิงน้อยเพิ่งไปครับ แต่ว่า……”
คำพูดของสือเย่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดียว ก็ถูกเฉินถิงเซียวขัดจังหวะ “เธอไม่ต้องการสิ่งของ และไม่ต้องการบ้านใช่ไหม”
สือเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “ใช่ครับ”
ปลายสายโทรศัพท์เกิดความเงียบ ก่อนที่เสียงของเฉินถิงเซียวจะดังขึ้นอีกครั้ง “ผมรู้แล้ว คุณกลับไปก่อน”
เดิมทีสือเย่ยังมีถ้อยคำที่ต้องการพูด แต่คำพูดของเฉินถิงเซียวกลับขัดขวางถ้อยคำในตอนท้ายที่ยังไม่ได้พูดออกมา
“ได้ครับ” เขาจึงได้แต่วางสายไป
……
มู่น่อนน่อนย้ายกลับไปยังห้องชุดที่เช่าไว้ก่อนหน้านี้
ห้องชุดหลังนั้นเธอเซ็นสัญญาระยะยาว ต่อให้ย้ายกลับไปวิลล่าของเฉินถิงเซียว ก็ไม่ได้มีการคืนห้อง
ตอนนี้ได้ใช้สอยอีกครั้งพอดี
ก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเคยอาศัยอยู่ในห้องชุดหลังนี้ด้วยกัน ในห้องมีของจุกจิกเพิ่มขึ้นพอสมควร
ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด คงเป็นโต๊ะทำงานใหญ่ในห้องโถง
ตอนนั้นเฉินถิงเซียวยืนกรานว่าจะเข้ามาอยู่ ถึงได้ตั้งโต๊ะทำงานไว้ตรงนั้น
มู่น่อนน่อนเดินไปยืนนิ่งที่หน้าโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหลังโต๊ะทำงาน เก็บเอาของที่เหลือบนโต๊ะและชั้นวางหนังสือออกไป หลังจากนั้นเอาคอมพิวเตอร์ของตัวเองกับหนังสือข้อมูลอ้างอิงวางลง
หลังจากนี้ไป นี่จะเป็นโต๊ะทำงานของเธอคนเดียว
ในห้องไม่มีใครอยู่มานาน มู่น่อนน่อนทำความสะอาดง่ายๆ ครู่หนึ่ง ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่อาหารเย็นก็ขี้เกียจทาน แค่หลับไปทั้งอย่างนั้น
……
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนขับรถไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
ซื้อของใช้ประจำวันและวัตถุดิบทำอาหารมากมาย เพื่อนำกลับไปทำทานเอง
เธอกลับถึงที่พัก เพิ่งทำอาหารเสร็จ ก็ได้รับสายจากฉินสุ่ยซาน
“ที่บอกกับคุณไว้เมื่อวาน ว่าคืนนี้มีงานยังจำได้ไหม มีชุดหรือยัง ตอนบ่ายอยากไปดูด้วยกันไหม”
มู่น่อนน่อนพิงหลังกับพนักเก้าอี้ พูดอย่างไร้แรงกำลัง “ได้สิ”
ฉินสุ่ยซานได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน จึงถามเธอออกไปว่า “ทำไมคุณพูดอย่างไร้แรงกำลังจัง คุณเป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร ฉันยังมีธุระ ไม่มีอะไรแล้วฉันวางนะ” มู่น่อนน่อนหยิบตะเกียบขึ้นมา จิ้มผักในจานที่อยู่ตรงหน้าอย่างคนไร้จิตวิญญาณ
ฉินสุ่ยซานโทรหาเธอ หลักใหญ่ใจความก็คือเตือนเธอเกี่ยวกับงานคืนนี้ จึงบอกลาแล้ววางสายไป
เมื่อวางสายแล้ว ในห้องก็กลับคืนสู่ท่ามกลางความเงียบงันอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนโยนมือถือไปข้างๆ ทานข้าวสองสามคำ แล้ววางตะเกียบลง
ลุกขึ้นเก็บจานชามด้วยความเฉื่อยชา
หลังจากทำความสะอาดครัว เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เขียนเนื้อหาใหม่นิดหน่อย เมื่อถึงเวลาที่นัดกับฉินสุ่ยซานไว้ จึงออกไปตามนัด
ทันทีที่ฉินสุ่ยซานเห็นมู่น่อนน่อน ก็กวาดตามองเธออย่างจู้จี้จุกจิก จ้องมู่น่อนน่อนจากศีรษะจดเท้า ก่อนจะส่ายหน้า ทำหน้าตารังเกียจ
“มู่น่อนน่อน คุณรู้ตัวว่าเป็นคนดังหน่อยได้ไหม แม้แต่การแต่งหน้าคุณก็ไม่แต่งออกจากบ้าน แล้วยังชุดคุณนี่อีก แจ็คเก็ตบุนวมตัวใหญ่ กางเกงยีนส์ รองเท้าส้นสูงก็ไม่ใส่……”
มู่น่อนน่อนไม่มีท่าทีใดๆ และยอมให้ฉินสุ่ยซานดุเธอ กระทั่งฉินสุ่ยซานพูดจบ มู่น่อนน่อนถึงได้พูดด้วยหน้าตาจริงจัง “เราไปดูชุดกันตอนนี้เลยได้ไหม”
“คุณได้ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ย” ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่าที่ตัวเองเพิ่งพูดไปมากมาย มู่น่อนน่อนอาจจะไม่ได้ฟังเลย
มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างจริงจัง “กำลังฟังอยู่”
ในเมื่อฟังอยู่ แล้วนี่คือปฏิกิริยาเหรอ
ฉินสุ่ยซานค่อนข้างหมดคำจะพูด แต่ยังถามอย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”
ปกติมู่น่อนน่อนมักจะไปที่สตูดิโอด้วยการสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างดูดีพิถีพิถัน วันนี้ออกมาข้างนอกสภาพอย่างนี้ ดูแล้วหดหู่ไม่กระฉับกระเฉงเลย
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ฉินสุ่ยซานถามคำถามนี้ มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองตัวเองครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า “ฉันดูเหมือนคนที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากเลยเหรอ”
ฉินสุ่ยซานพยักหน้า
มู่น่อนน่อนจมกับความเงียบครู่หนึ่ง “ฉันแค่นอนไม่ค่อยหลับ”
ฉินสุ่ยซานเชื่อเธอก็บ้าแล้ว
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้มีข้อกำหนดต่อชุดมากมายอะไรนัก ไม่นานก็เลือกได้
ฉินสุ่ยซานจริงจังกับงานคืนนี้มาก แม้แต่การเลือกชุดยังพิถีพิถันเป็นพิเศษ
เลือกชุดไหนก็ต้องถามมู่น่อนน่อนว่าแบบนี้เป็นยังไง
ทว่า หลังจากมู่น่อนน่อนพูดสิ่งที่ตัวเองคิด ฉินสุ่ยซานกลับคัดค้านเธอ แล้วเลือกใหม่อีก
มู่น่อนน่อนมองฉินสุ่ยซานสักพัก ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
หลังจากฉินสุ่ยซานลองชุดอีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็เดินวนรอบตัวเธอ จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหูฉินสุ่ยซาน และกระซิบเสียงเบา “คุณฉิน งานในคืนนี้ สวุมู่หันเข้าร่วมด้วยใช่ไหม”
“คุณรู้ได้ยังไง” ฉินสุ่ยซานเงยหน้าขึ้นหน้าตาประหลาดใจ
หลังจากที่เธอได้เห็นหน้ามู่น่อนน่อนที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก็รีบหลบสายตาไปมองกระจก แสร้งพูดเป็นว่าไม่สนใจ “เขาจะมาเข้าร่วมหรือไม่มา มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
น้ำเสียงพูดจงใจเลี่ยงประเด็น แต่กลับรู้สึกได้ว่ากำลังพยายามกลบเกลื่อน
มู่น่อนน่อนกลั้นขำ แต่ก็ไม่ได้ต่อหัวข้อนี้อีก
หลายวันมานี้ ฉินสุ่ยซานการงานก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ช่ำชองขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับกับสวุมู่หัน เธอยังแสดงออกชัดเจนเสมอมา
ฉินสุ่ยซานเลือกชุดอย่างยากลำบาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากให้ในงานที่ไปคืนนี้ ทำให้สวุมู่หันดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ดึงดูดความสนใจของสวุมู่หัน
มู่น่อนน่อนนั่งบนโซฟา รอฉินสุ่ยซานเปลี่ยนชุดอย่างอดทน
ครั้งนี้ฉินสุ่ยซานใช้เวลาในการเปลี่ยนชุดค่อนข้างนาน มู่น่อนน่อนรอไปๆ ก็มีอาการใจลอยตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
ทันใดนั้น พลันมีเสียงผู้หญิงดึงความคิดเธอกลับมา
“ก่อนหน้านี้ฉันสั่งชุดของที่นี่ไว้ คุณช่วยฉันดูหน่อยว่าดูดีไหม” คำพูดของผู้หญิงฟังไปแล้วเหมือนพูดกับคนอื่น
แต่หลังคำพูดของเธอ กลับไม่มีคนตอบ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อหันมองไปตามเสียง ผู้หญิงที่พูดอยู่นั้นก็มองมาทางเธอเช่นกัน
สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ และต่างมีอาการชะงัก