ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่133 บอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่ง
บทที่133 บอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวสองมือกอดอก จ้องมองเขาอย่างเย็นชา และไม่ได้พูดอะไรอีก
กู้จือหยั่นเป็นคนกะล่อนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเพื่อนแบบไหนต่างก็คบไปทั่ว สำหรับเรื่องที่ว่าในเหล้าจะมีอะไรหรือไม่ เขาเองก็ต้องรู้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เหล้าแก้วนั้นเมื่อคืนเขาจะต้องจงใจให้เฉินถิงเซียวดื่มอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะเป็นคนรอบคอบมาก แต่กับกู้จือหยั่นเขาเองก็ไม่ได้ระวังตัวขนาดนั้น ดังนั้นถึงได้ตกหลุมพราง
กู้จือหยั่นถูกเขาจ้องจนรู้สึกผิด “ก็ได้ ฉันยอมรับ ฉันรู้ว่าเหล้าแก้วนั้นมีปัญหา……”
“เดี๋ยวค่อยกลับไปคิดบัญชีกับนาย” เฉินถิงเซียวตัดบทเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าห้อง
พอกู้จือหยั่นได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาแถวต้นคอ ทำเรื่องดียังจะถูกจัดการอีกเหรอ ?
ถ้าเขารีบวิ่งกลับไปตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า
พอเฉินถิงเซียวเดินไปถึงข้างประตู ก็พบว่าประตูไม่ได้ปิดสนิท ยังคงแง้มเอาไว้เล็กน้อย
ก่อนเขาจะออกมา เขาปิดสนิทแล้ว ยังได้ยินเสียงประตูเข้าล็อกเลย
พอผลักประตูเข้าไป เขาก้มหน้า แล้วก็เห็นว่าริมประตูมีรองเท้าแตะข้างเดียว
จะแอบฟังก็ไม่รู้จักปกปิดเลยเหรอ ?
เฉินถิงเซียวเก็บขึ้นมาแล้วเอาไปวางไว้กับอีกข้างที่อยู่ริมเตียง จากนั้นก็หันกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดออกมาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
พอได้ยินเสียงปิดประตู มู่น่อนน่อนถึงได้โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม
มีเสียงน้ำดังออกมาจากห้องน้ำเบาๆ มู่น่อนน่อนพยุงร่างอันบอบช้ำของตัวเองลงจากเตียง เก็บเอาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม หยิบรองเท้าขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างเบาไม่เบามือ
พอออกมาข้างนอก เธอถึงได้สวมรองเท้า แล้วเริ่มวิ่งเหมือนกำลังหนี
……
พอมู่น่อนน่อนออกมาจากลิฟต์ ก็เห็นกู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซี
ฟู้ถิงซีนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนกู้จือหยั่นเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก เขาเดี๋ยวส่ายหัวเดี๋ยวก็โบกมือ เหมือนว่ากำลังบ่นอะไรให้ฟู้ถิงซีฟัง
เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องนอน บทสนทนาระหว่างเฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นนั้น เธอได้ยินหมดแล้ว
ที่เสิ่นเหลียงไม่ยอมสนใจกู้จือหยั่นมาตลอด จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ถ้าหากเธอเป็นเสิ่นเหลียง เธอก็คงไม่อยากจะสนใจกู้จือหยั่น
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะเป็นคนมืดมนเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ซื่อตรงกว่ากู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อนแอบเดินเข้าไปเงียบๆ แล้วก็ได้ยินกู้จือหยั่นพูดพอดี “ชาติที่แล้วฉันจะต้องติดหนี้คุณชายใหญ่เฉินแน่ๆ ดังนั้นชาตินี้ฉันก็เลยต้องมาชดใช้หนี้กรรม ทั้งๆที่เขาเป็นบอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่งแท้ๆ แต่พอมีเรื่องอะไรเขาก็โยนมาให้ฉัน แล้วฉันก็ต่อต้านเขาไม่ได้อีก อย่างเรื่องเมื่อคืนอีก ฉันก็ทำเพราะหวังดีนะ ในใจเขาก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ฉัน……”
พูดไปได้ครึ่งเดียว ก็สังเกตเห็นว่าสายตาของฟู้ถิงซีจับจ้องไปที่ด้านหลังของเขา “นายมองอะไร ?”
กู้จือหยั่นมองตามสายตาของฟู้ถิงซีไป หันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้า ก็ตกใจจนเผลออุทานออกมา “เธอ……เธอทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ?”
มู่น่อนน่อนเอียงคอน้อยๆ สีหน้าเย็นชาท่าทางคล้ายกับเฉินถิงเซียวอยู่บ้าง “เดินผ่าน คุณพูดต่อสิ”
กู้จือหยั่นไหนเล่าจะกล้าพูดต่อ เขาพูดกับเฉินถิงเซียว ฟู้ถิงซีได้ว่าเมื่อคืนเขาเรียกมู่น่อนน่อนออกมา เพื่อจะช่วยเฉินถิงเซียว
แต่ว่า พออยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อน เขาก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นแล้ว
“ไม่……ไม่มีอะไรต้องพูดหรอก ฉันก็แค่……” กู้จือหยั่นถูกมู่น่อนน่อนจ้องอย่างเย็นชา จนรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
นี่หลงเชื่อมารแล้วจริงๆสินะ ครั้งที่แล้วตอนเจอมู่น่อนน่อนยังรู้สึกว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีมากอยู่เลย
แต่ตอนนี้พอเขาถูกเธอจ้องอย่างเย็นชาแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเขาสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวของเงาเฉินถิงเซียวอยู่บนตัวเธอ นี่ทำให้ในใจเขาอดต่อต้านขึ้นมาไม่ได้
“บอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง ? เฉินถิงเซียว ?” มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว “ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่ทางบริษัทเสิ้งติ่งส่งคำเชิญสัมภาษณ์มาให้ฉัน ก็เป็นความคิดของเฉินถิงเซียวอย่างนั้นเหรอ ?”
กู้จือหยั่นเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล เขาพยักหน้า จากนั้นก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่……ไม่ใช่ เป็นความคิดของฉันเอง!”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เหรอ ฉันเข้าใจแล้ว”
พอพูดจบ เธอก็หันหลังเดินจากไป
กู้จือหยั่นมองแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป แล้วก็หันไปถามฟู้ถิงซี “ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเรื่องมันเริ่มไปกันใหญ่แล้ว ?”
“อืม” ฟู้ถิงซีพยักหน้าเห็นด้วย
กู้จือหยั่นหน้าเสียทันที และเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“ฉันหนีไปก่อนดีกว่า ฉันจะกลับไปเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้แหละ” กู้จือหยั่นลุกขึ้นยืน เตรียมจะวิ่งออกไป
แต่เพิ่งจะก้าวเท้า เขาก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังมาจากด้านหลัง “เห็นมู่น่อนน่อนหรือเปล่า ?”
ฟู้ถิงซีตอบกลับไปว่า “เธอเพิ่งเดินออกไป”
กู้จือหยั่นหันกลับไป พอดีกับที่เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
กู้จือหยั่นรู้สึกผิด พูดจาเริ่มตะกุกตะกัก “ถิง……ถิงเซียว”
“กลัวอะไร ? ฉันไม่ไปคิดบัญชีกับนายหรอก คำนั้นแค่พูดให้มู่น่อนน่อนฟังเท่านั้นแหละ” บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวมีรอยยิ้มบางๆ “ไว้ค่อยพานายไปเลี้ยงเหล้า”
“……” กลัวก็แค่ว่าเฉินถิงเซียวคงไม่ใช่อยากเลี้ยงเหล้าเขา แต่ยังอยากตีเขาให้ตายด้วย
เฉินถิงเซียวหันหลังเตรียมจะไปไล่ตามมู่น่อนน่อน
แต่พอคิดดูอีกที ถึงแม้ว่าเมื่อคืนทั้งสองคนเพิ่งทำเรื่องแบบนั้นกันไป แต่ก็เป็นครั้งแรกของมู่น่อนน่อน จะหน้าบางกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ถ้าเขาไล่ตามไปตอนนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าเธอจะยอมเจอเขาหรือเปล่า
ดังนั้น เขาก็หันกลับไปหากู้จือหยั่น “ไปบริษัทด้วยกันเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยังไม่ได้กินอาหารเช้า”
เฉินถิงเซียวพยักหน้า “ฉันก็ยังไม่กิน ไปกัน”
กู้จือหยั่น “……” เขาก็แค่อยากจะหนีเท่านั้น
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไปถึงบ้านพัก ยังเป็นเวลาเช้ามาก
ไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน เธอเหนื่อยมาก แต่กลับไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่กำลังขึ้นไปชั้นบน ก็เจอเข้ากับเฉินเจียฉินที่สะพายกระเป๋ากำลังเดินลงมาพอดี
เฉินเจียฉินหาวออกมา แล้วมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เอ๋ พี่น่อนน่อนเมื่อคืนพี่ออกไปเหรอ?”
“ใช่แล้ว พอดีไปหาเพื่อนที่มีเรื่องนิดหน่อย” สีหน้าของมู่น่อนน่อนค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ
เฉินเจียฉินคิดว่าเธออาจจะกลัวเฉินถิงเซียวรู้ว่าเมื่อคืนเธอไม่กลับบ้าน ก็เลยตบอกตัวเองด้วยท่าทางภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะ ผมไม่บอกพี่ชายหรอก เพราะว่าพวกเราต่างหากที่ลงเรือลำเดียวกัน”
“ใช่ นายรีบไปโรงเรียนเถอะ”
มู่น่อนน่อนรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เธอกอดเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ มองดูตัวเองที่ขาวซีดในกระจก แล้วเธอก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
เรื่องที่หุนหันพลันแล่นที่สุดที่เคยทำในชีวิตนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืนแล้ว……
ในสมองเธอมีคำพูดของกู้จือหยั่นแล่นเข้ามาอีกครั้ง
ที่แท้เฉินถิงเซียวก็คือบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง
เสิ้งติ่งใช้เวลาเพียงสิบปีสั้นๆ ก็กลายเป็นผู้นำในแวดวงบันเทิงแล้ว
แต่ว่า ปีนี้เฉินถิงเซียวก็ยังอายุแค่ยี่สิบหกปีเท่านั้น
ถ้าหากไม่ได้ยินจากคำพูดของกู้จือหยั่น จนถึงตอนนี้เธอก็คงยังไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง
มีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ในตัวคนๆเดียวแบบนี้ ช่างเป็นผู้ชายที่ลึกลับจนน่ากลัว
เรื่องที่เธอตัดสินใจไปเมื่อคืน……หุนหันพลันแล่นเกินไปสินะ
……
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน สีหน้าก็เลยย่ำแย่มาก เธอแต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปที่บริษัทมู่ซื่อ
ระหว่างทาง เธอก็นึกถึงหัวข้อการสนทนาบนโลกออนไลน์เมื่อวานนี้
เมื่อคืนที่บริษัทมู่ซื่อจะต้องเรียกประชุมด่วนอีกเป็นแน่
เรื่องในครั้งนี้ รวมถึงผลกระทบจากชื่อเสียงของซือเฉิงหยู้ เกรงว่าคงไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นแน่
บางที เรื่องในครั้งนี้ อาจจะบีบให้มู่ลี่เหยียนต้องเชิญให้คุณปู่มู่กลับประเทศเลยก็ได้