ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 105
ตอนที่105 แค่เงินน้อยๆ
หลินซินเยียนได้สติกลับมา รับผ้าขาวมาจากเอ่อร์ยา “ข้ากำลังคิดว่าครั้งนี้ที่เทียนหยุนจือมอบจดหมายแนะนำ ให้ข้า ถือโอกาสประจวบเหมาะก็อยากจะชวนข้ามาเข้า ร่วมคัดเลือกใช่หรือไม่ แต่ว่าในจดหมายนั้นบอกว่า สามารถเข้ามาคารวะอาจารย์โดยตรงได้เลย”
แต่ว่า นางไม่เชื่อเรื่องประจวบเหมาะ แต่ไหนแต่ไรเทียน หยุนจือก็ไม่เคยมอบจดหมายให้นาง แต่จงใจมามอบให้ นางเมื่อไม่กี่วัน นี้ จะพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกลูก ศิษย์ครั้งนี้ อย่างไรนางก็ไม่เชื่อ
“แม่นาง เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี”เอ่อร์ยานำผ้าที่ เช็ดหน้าให้นางเสร็จโยนลงไปในน้ำร้อนอีกทีเพื่อขยี้ ทำความสะอาด
หลินซินเยียนยักไหล่ ทำท่าทางทะเล้นที่มักจะไม่ค่อยได้ เห็น “มีอะไรจะต้องทำอย่างไรด้วยหรือ มีจดหมายแนะนำ แล้วก็ถือขึ้นเขาไปเลย ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ข้าเป็น แม่นายของเจ้าก็ไม่ใช่ไม่มีศักยภาพ ก็เพียงแค่ต้องใช้พละ กำลังมากหน่อยก็เท่านั้น”
คืนวันนั้น หลินซินเยียนนอนหลับไม่ค่อยสนิท ในความ ฝัน นางรู้สึกว่ากำลังมีคนวิ่งไล่ตามหลังมา นางวิ่งไม่หยุด สุดท้ายนางก็ถูกจับไปแขวนบนหน้าผาที่สูงชัน นางคิดว่า นางจะตกเขาแล้ว แต่พริบตาถัดมาก็พบว่าอยู่ที่จวนอู่เซวีย นอ๋องแล้ว และโม่จื่อเฟิงก็ยืนอยู่ตรงหน้านาง ยื่นมือมาหาฝ่ามือกว้างนั้นแบออกอยู่ตรงหน้านาง
รุ่งสาง เมื่อนางตื่นขึ้นมายังอดไม่ได้ที่จะถอนใจ น่าจะ เป็นเพราะนางถูกเขากดขี่มากไปแน่ๆ ไม่เช่นนั้นจากเขามา แล้วยังจะใช่ชีวิตอยู่ใต้เงาของเขาอีกหรือ คิดถึงเขาจนถึง กับเก็บเอามาฝันเลยหรือ เป็นไปไม่ได้
หลินซินเยียนพาเอ่อร์ยามากินข้าวเช้าที่ร้านอาหารตรง ข้ามกับโรงเตี้ยม ทั้งสองคนต้องการเสี่ยวหลงเปาหนึ่งเข่ง และซุบผัก เพิ่งกินไปไม่กี่คำก็เห็นเด็กผู้หนุ่มคนหนึ่งที่มี ใบหน้าซื่อตรงถูกเสี่ยวเอ่อร์คุกคามจนหน้าแดงไปหมด
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่จ่ายเงิน กระเป๋าเงินของข้าหาย แค่ข้าวมื้อ เช้ามื้อเดียวราคาเท่าไหร่กัน ข้าจะปัดหนี้สินได้อย่างไร” เด็กหนุ่มคนนั้นใส่เสื้อตัวยาว รูปร่างสูงใหญ่ แต่ใบหน้าของ เขานั้นดูธรรมดาเกินไป ถ้าหากว่าอยู่ในฝูงชนจะต้องหาตัว เขาเจอได้ไม่ง่าย
เสี่ยวเอ่อร์เอามือเท้าสะเอว ใบหน้าของเขาเยาะหยันยิ้ม เย็น “คนแบบเจ้าข้าเจอมาเยอะแล้ว มื้อเช้าหนึ่งมื้อมันไม่ใช่ เงินมากอะไร แต่ว่าถ้าจะปัดหนี้สินมันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ทุกเดือนข้าเจอมากี่คนหรือ ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว ถ้าวันนี้ เจ้าไม่จ่ายเงินข้าก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากร้านอาหารนี้ ได้ เจ้านักต้มตุ่นคนอื่นเช่นนี้ข้าเจอมาเยอะแล้ว”
เด็กหนุ่มคนนั้นโมโหจนฟาดโต๊ะเต็มแรง “เจ้าว่าใครเป็น พวกต้มตุ๋นหา”
“ที่ข้าพูดก็หมายถึงเจ้านั่นแหละ ทำไมหรือ ไม่มีเงินจ่าย ไม่ใช่พวกต้มตุ่นจะเป็นอะไรหรือ” เสี่ยวเอ่อร์เจอคนแบบนี้จนชิน ดังนั้นจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้
เด็กหนุ่มคนนั้นร้อนใจ คันทั่วตัวอีกที แต่ก็หาไม่เจอแม้ แค่ครึ่งเหรียญทองแดง สุดท้าย เขาจำใจกัดฟันต้องนำ แหวนหยกที่แขวนไว้ที่คอออกมา สีของแหวนหยกนั้นดู ธรรมดามากดูแล้วไม่ได้มีค่ามากแต่ว่าก็ดูมีค่ามากกว่าข้าว หนึ่งมื้อเยอะ
เดิมเขาคิดจะมอบแหวนหยกของเขาให้กับเสี่ยวเอ่อร์ ร้านข้าวแต่เมื่อยื่นมือออกไปก็เก็บกลับมา “ข้ามีเหตุผล อะไรที่จะต้องมาต่อรองกับคนอย่างพวกเจ้า”
พูดไปเขาก็มองซ้ายมองขวา หลังจากนั้นเขาก็มองเห็น สายตาที่อ่อนโยนของหลินซินเยียน เขาเดินมุ่งตรงไปยัง หลินซินเยียน แล้วทำความเคารพหลินซินเยียน “แม่นาง ท่านนี้ แหวนหยกวงนี้ของข้าถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีค่าควรเมือง แต่ว่ามีค่าเท่ากับเงินสิบกว่าตำลึง ไม่รู้ว่าแม่นางสะดวกที่จะ แลกเปลี่ยนเงินหรือไม่ ข้อแลกเปลี่ยนของข้าไม่มากเลย ท่านแค่ให้เงินข้าหนึ่งตำลึงแค่นั้นเอง”
นำเงินหนึ่งตำลึงมาแลกกับของที่มีค่าสิบกว่าตำลึง ใครๆ
ก็รู้ว่าได้เปรียบ
แต่ว่าหลินซินเยียนนมองหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้อย่าง แปลกใจ สถานการณ์แบบนี้ มองอย่างไรรู้สึกเหมือนเป็น อยู่ในอุบายอย่างไรอย่างนั้น คิ้วของนางย่น แต่ก็ไม่ได้ ตอบรับทันที
“แม่นาง ข้าเสียเปรียบมากนะ เงินแค่หนึ่งตำลึง คุ้มค่า มากเลยนะสำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม งั้นข้าไปหาคนอื่นก็ได้” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดไปแล้วก็ทำท่าเดินไป ทางโต๊ะอื่น
หลินซินเยียนคิดแล้วคิดอีก แล้วก็เรียกเขาเอาไว้ “ช้า ก่อน ค่าข้าวของท่านข้าจ่ายให้แล้ว” จริงๆไม่ใช่เรื่องของ ข้าวมื้อหนึ่งหรอก ต่อให้เขาเป็นพวกต้มตุ๋นจริงนางก็เอา เปรียบมากขนาดนั้นไม่ได้หรอก ถ้าหากเขาไม่ใช่นักต้มตุ๋น นางก็ถือว่านางได้ทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งแล้ว
เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันกลับมา “แม่นาง ค่าข้าวมื้อ นั้นแลกกับแหวนหยกของข้าแล้ว ค่าของจำนวนเงินนี้กด มากเลยนะ”
เอาละ นางเป็นผู้ดีที่ตัดสินใจจะช่วยเหลือท้องของเจ้า เด็กคนนี้
หลินซินเยียนส่ายหัว “แหวนหยกของเจ้านั้นข้าไม่ ต้องการ เจ้าเก็บมันไว้เถิด ข้าวมื้อนี้ ถือว่าข้าเลี้ยงข้าวเจ้า แล้วกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นตะลึง หลังจากนั้นก็รีบเก็บแหวนหยกไป อย่างเร็ว แล้วรีบประสานมือทำความเคารพหลินซินเยียน “แม่นางยื่นมือช่วยเหลือข้าครั้งนี้ข้าจะจำให้ขึ้นใจ อนาคต ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องชดใช้ให้แม่นางแน่นอน”
หลินซินเยียนกระตุกมุมปาก ไม่ได้ตอบกลับคำพูดที่ เกรงใจของเขา ความหมายของถ้าอนาคตมีโอกาส ก็คือ น้ำและภูเขาไม่มาบรรจบกันโดยบังเอิญ นางจะยังไงก็ได้ ก็เลยไม่จำเป็นจะต้องตอบรับ
หลังจากเด็กหนุ่มคนนั้นเดินไป เสี่ยวเอ่อร์ก็ถุยน้ำลายลับ หลังเขาทีหนึ่ง
หลินซินเยียนและเอ่อร์ยากินข้าวเช้าเสร็จก็กลับมาที่ โรงเตี้ยมเพื่อคืนห้อง หลังจากนั้นก็ไปหารถม้าเพื่อเตรียม จะไปตำบลเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองหยู่ ที่อยู่ในจดหมาย จริงๆแล้วก็คือที่ตำบลเล็กๆนี่แหละ ในจดหมายบอกว่า เพียงแค่ถึงตำบลเล็กนั้น ถือจดหมายแนะนำมาก็จะมีคนพา ไปที่ศาลาความลับแห่งสวรรค์เอง
เมื่อถึงเวลาที่พวกนางไปถึงตำบลเล็กๆนั้น ก็พบว่าบน ถนนของเมืองเล็กๆนั้นมีคนที่มาจากเมืองอื่นจำนวนไม่น้อย เลย คนจำนวนนั้นก็เป็นคนที่ก่อนหน้านี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เดียวกับพวกนาง ดูแล้ว คนพวกนี้ก็มาที่นี่เพื่อรอการคัด เลือกรับศิษย์ของศาลาความลับแห่งสวรรค์เช่นกัน
นางและเอ่อร์ยาลงจากรถม้า ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่ง หนึ่งในตำบลเล็กๆนั้น เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงหน้าประตูก็มี บุรุษชุดดำคนหนึ่งเข้ามาขวางทางพวกนางไว้ “แม่นางท่าน นี้ วันนี้โรงเตี้ยมแห่งนี้ได้ถูกพวกเราศาลาความลับแห่ง สวรรค์เหมาไว้แล้ว สามารถรับรองได้แค่ผู้ที่จะมาเข้าร่วม คัดเลือกศิษย์เท่านั้นดังนั้นแม่นางไปที่อื่นเถิด”
“ที่อื่นหรือ” หลินซินเยียนย่นคิ้ว “ตำบลนี้ก็มีโรงเตี๊ยมแค่ ที่นี่ที่เดียว แล้วจะให้ข้าไปกินข้าวที่ไหนกัน”
“นี่…พวกข้าก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ” บุรุษชุดดำส่ายหัว อย่างเสียดาย สำนึกผิด
หลินซินเยียนมองเข้าไปในโรงเตี๊ยม พบว่าในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว มีทั้งคนแก่อายุสักหกสิบเจ็ดสิบ เด็กอายุ ยี่สิบสามสิบปีก็มี การมาของศาลาความลับแห่งสวรรค์นี้ให้ ผู้อื่นดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ
“แล้วถ้าข้าบอกว่า ข้าก็มาร่วมการคัดเลือกศิษย์เช่นกัน เล่า” หลินซินเยียนยิ้ม ใบหน้าที่หยาดเยิ้มของนางทำให้ บุรุษผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์
รอจนบุรุษชุดดำนั้นได้สติกลับคืนมา หลินซินเยียนก็เดิน ยกชายกระโปรงขึ้นบันไดไปแล้ว “แม่นางหยุดก่อน นี่ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นนะ หยอกล้อข้าที่มาจากศาลา ความลับแห่งสวรรค์ อย่าโทษข้าที่พูดจาไม่ดีหลังจากนี้ ต่อ ให้ท่านเป็นผู้หญิง ข้าก็ไม่เกรงใจหรอกนะ ท่านพูดว่าท่าน มาเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นศิษย์ศาลาความลับแห่งสวรรค์ แต่ว่าข้านั้นเป็นคนส่งบัตรเชิญด้วยตัวเองนะ”
หลินซินเยียนค่อยๆหันหลังไป ฝีเท้าของนางได้ก้าวเข้า มาอยู่ในโรงเตี้ยมแล้ว นางยิ้มจางๆ “บัตรเชิญข้านั้นไม่มีแน่ ว่าแต่ ไม่รู้ว่าจดหมายแนะนำนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่” ขณะที่นางพูดนั้น ก็หยิบบัตรเชิญที่อยู่ในอกเสื้อยื่นให้
กับบุรุษชุดดำคนนั้น