ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 112
ตอนที่ 112 เปิดเผยความสามารถออกมา
หลินซีนเยียนไม่รู้ว่ามีตรงนั้นที่ไม่ถูกต้อง ตอนที่เธอถาม คำถามนี้ออกไป อุณหภูมิรอบตัวก็ลดลงทันที รอยยิ้มยัง คงยู่บนใบหน้าของโม่จื่อเฟิง ดวงตาสองคู่นั้นจ้องมาที่หลิน ซีนเยียน
“ร่างกายของเปิ่นหวางไม่มีปัญหาอะไร ดูเหมือนว่าเจ้า อยากลองพิสูจน์อีก?”
“เอ่อ….” หลินซีนเยียนก็เข้าใจทันที ใบหน้าแดงระเรื่อ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ เธอเป็นผู้ใหญ่แล้วจะแกล้งทำเป็น ไม่เข้าใจคำพูดของเขามันก็กระไรอยู่
โม่จื่อเฟิงแค่นเสียง กดเธอนอนลงบนพื้น ไม่รอให้เธอ ตอบสนองกลับมา มือของเธอก็ดึงกางเกงชั้นในของเธอ ออก
ครั้งนี้ เขาไม่ได้กดขี่เหมือนครั้งก่อน เหมือนกับว่า เป็นการลงโทษ การเคลื่อนไหวของเขาทั้งหยาบและ
รุ่นแรง
ท้องฟ้ามืดสนิดแล้ว
ตอนที่แสงสุดท้ายกำลังจะหายใจ ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมา จากร่างของเธอ เขาก็ยังเป็นเขา เสื้อผ้าบนตัวแทบจะไม่ หลุดลุ่ยอะไรเลย ส่วนเธอ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีรอยฟกช้ำที่น่า กลัวเต็มไปหมด โชคดีที่มืดแล้ว จึงปกปิดความน่ากลัวบน ตัวของเธอได้ทั้งหมด
“แม่นางหลิน! แม่นางหลิน!”
หมอกหนาเบาบางลง ปรากฏแสงไฟที่ส่องมาจากที่ไกลๆ และมีคนตะโกนเรียกชื่อแม่นางหลิน
หลินซีนเยียนรีบลุกขึ้นแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง ส่วนโม่จื่อเฟิงก็เก็บหน้ากากหนังมนุษย์ขึ้นมาใส่ ผ่านไปถึง นาที เขาก็กลายเป็นไน่เหอฮวนแล้ว
“หน้ากากหนังมนุษย์นี้ไม่เลวจริงๆ ” หลินซีนเยียนสนใจ วิธีการทำหน้ากากนี้ ถึงกลับอดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปลูบที่ ใบหน้าของเขา โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
ความรู้สึกที่อบอุ่นละมุนละไมได้ส่งเข้าไปถึงในหัวใจ หลินซีนเยียนยิ่งตื่นตระหนกขึ้น หนังมนุษย์นี้ยิ่งลูบไป เท่าไรก็ยิ่งคล้ายกับหนังมนุษย์จริงๆ มีวิธีการแบบไหนที่จะ ทำหน้ากากแบบนี้ออกมาได้
“สงสัยว่าหน้ากากทำยังไงหรือ?” โม่จื่อเฟิงยิ้มที่มุมปาก ราวกับอ่านความในใจของเธอออก เมื่อเห็นหลินซีนเยียน พยักหน้า แล้วก็แค่นเสียง ” หึ เจ้าคงไม่อยากฟัง”
หลังจากที่เขาพูดจบก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ แต่ สีหน้าหลินซีนเยียนกลับเปลี่ยนสี ไม่กล้าถามออกไปอีก ใน ใจกลับคาดเดาเอาไว้แล้ว เพียงแต่การคาดเดานั้นมันดูน่า หวาดกลัวอย่างมาก ดังนั้นเธอก็ไม่กล้าจะพิสูจน์หาความ จริงอีกแล้ว ตอนมองไปที่หน้ากากบนในหน้าของเขาอีก ครั้ง ความรู้สึกขยะแขยงก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“แม่นางหลิน!” เสียงคนตะโกนยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น
เมื่อเสียงตะโกนของบุรุษชุดดำได้เรียกสติของหลินซี่น เยียนกลับมา ดังนั้นก็รีบขานรับทันที “ข้าอยู่ตรงนี้!”
ภายใน 1 วัน เหล่าบุรุษชุดดำได้ออกตามหาเธอถึง 2 ครั้ง บอกตามตรงถึงแม้มันจะเป็นภารกิจของเขา แต่หลิน ซีนเยียนกลับซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเสียงขานรับของเธอ พวกเขาก็รีบเดินเข้ามาหา ทันที เพียงไม่กี่นาทีก็มีคนที่ถือคบเพลิง 10 กว่าคนเดิน มายังทิศทางนี้
หลังจากเดินเข้ามาใกล้ บุรุษชุดดำที่ถือคบเพลิงได้เดิน
มาใกล้หลินซีนเยียน พอมั่นใจว่าเป็นเธอกับไน่เหอฮวนก็
ถอนหายใจอย่างโล่งอก ” ในที่สุดก็หาพวกเจ้าพบแล้ว! แม่
นางหลิน พวกเจ้าไม่เป็นอะไรน่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาดีใจอย่างมาก เสื้อผ้าบนร่างก็ยังคงมี รอยเลือดที่ได้รับจากการบาดเจ็บอยู่ หลังจากพ้นวิกฤต แล้วก็รีบตามหาคนเลยทันที
“ไม่เป็นไร หมาป่าโลหิตพวกนั้นมันไปแล้วใช่หรือไม่?” หลินซีนเยียนเอ่ยถาม
“มันไปหมดแล้ว พวกเขาวิ่งไปเร็วมาก หลังจากพ้นวิกฤต พวกข้าก็กลับไปขอให้คนจากศาลาความลับแห่งสวรรค์ ตามไป หากว่าพวกเขาวิ่งได้ช้าอย่างมากก็ไม่ต้องตามไป ” ตอนที่บุรุษชุดดำพูด สีหน้าก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับ มั่นใจในพลังของศาลาความลับแห่งสวรรค์อย่างมาก
หลินซีนเยียนไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อเห็นอาวุธหน้าไม้ที่อยู่ในมือของคนที่อยู่ข้างหลังของเขา 10 กว่าคนก็เข้าใจแล้ว อาวุธหน้าไม้เหล่านั้น มีพลังและความแม่นยำที่ยอดเยี่ยม ที่สุด ถึงจะเป็นแค่คนธรรมดา เมื่อได้ถืออาวุธหน้าไม้แล้วก็ กลายเป็นนักรบที่มีกำลังใจฮึกเหิมเลยทันที
มิน่าล่ะ โม่จื่อเฟิงถึงได้ปลอมตัวเข้ามาในศาลาความลับ แห่งสวรรค์ด้วยตนเอง อาวุธของศาลาความลับแห่งสวรรค์ ล้วนเป็นอาวุธหน้าไม้ อาวุธขั้นสูงเหล่านั้นหากถือมือของ เขา เกรงว่าอำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในขณะที่เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ก็ได้ยินเสียงบุรุษชุดดำ เดินไปหาไน่เหอฮวนแล้วเอ่ย ” น้องไน่ ครั้งนี้ก็ขอบคุณที่ เจ้ายื่นมือเข้ามาช่วย ข้าได้รายงานเรื่องนี้กับท่านประมุข แล้ว ท่านประมุขบอกว่าอยากจะพบเจ้า อีกเดี่ยวเมื่อถึง ศาลาความลับแห่งสวรรค์แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบกับเขา
“ได้” โม่จื่อเฟิงตอบเสียงเรียบไปคำหนึ่ง ไม่มีความ กระตือรือร้นหรือความเย็นชามากเกินไป เมื่อความ สามารถได้เผยออกมาแล้ว หากเขาจะแกล้งว่าตนเองเป็น คนอ่อนแอต่อไปคงจะทำให้คนสงสัยเอาได้
” จะว่าไปแล้ว น้องไม่ วรยุทธที่ยอดเยี่ยมของเจ้า ร่ำเรียนมาจากที่ไหนหรือ? ข้าเฝิงซื่อไห่เพิ่งจะเคยเห็นวร ยุทธที่เก่งกาจเช่นนี้เป็นครั้งแรก! ท ที่แท้บุรุษชุดดำคนนี้ก็ ชื่อว่าเฝิงชื่อไห่ เขาเห็นโม่จื่อเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วย ความเลื่อมใสอย่างมาก
สายตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส สำหรับโม่จื่อเฟิงแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “จากอาจารย์ท่านหนึ่ง เพียงแต่ท่านอาจารย์ไม่ชอบเป็นที่สนใจของ ผู้คน ดังนั้นไม่ต้องการให้ข้าเอ่ยถึง”
เอ่อ…ดีจัง เหตุผลแบบนี้ มันใช้ได้ดีจริงๆ
หลินซีนเยียนรู้สึกได้ทันทีว่าเขาได้เลียนแบบคำพูดของ เธอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าฝีมือการประดิษฐ์อาวุธของเธอ เดิมทีก็ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ลึกลับอะไร เรื่องนี้ ทำให้ใบหน้าของหลินซีนเยียนกระตุ้นขึ้นมาอย่างรู้สึกเก้อ เขิน
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าซื่อไห่ก็จะไม่ถามอะไร” เฝิงซื่อไห่เป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่บังคับทำให้คนลำบาก ใจ จากนั้นเขาก็เอ่ยถึงเรื่องการคัดเลือกลูกศิษย์ครั้งนี้ให้ หลินซีนเยียนและโม่จื่อเฟิงฟัง
เขาพูดพลางส่ายหน้าไปอย่างเสียดาย เอ่ยถึงสองคนนั้น ที่มาให้ครั้งนี้ได้เตรียมพร้อมเป็นช่างเงินที่มีคุณสมบัติ แต่ โชคไม่ดีที่โดนหมาป่าโลหิตกัดตายไปแล้ว กลุ่มที่เหลืออยู่ ก็วิ่งหนีตายกัน สุดท้ายมีเพียงสองคนผ่านหมอกหนาแล้ว มาถึงสถานที่ที่กำหนดไว้ได้
ศาลาความลับแห่งสวรรค์ไม่ได้คัดเลือกศิษย์ทุกปี ทุก
สองสามปีถึงจะรับ 1 ครั้ง ดังนั้นทุกครั้งจะหาคนที่มีความ สามารถได้หลายคน แต่ว่าปีนี้…. เฝิงซื่อไห่ถอนหายใจไม่หยุด ทำให้คนที่อยู่ด้านหลังทน
ไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจตามกัน
ผ่านไปไม่นานก็เดินมาถึงประตูทางเข้าไปในป่าไม้ เดินผ่านป่าไม้ไปก็เห็นหุบเขาใหญ่อยู่ตรงหน้า ช่องผาแคบๆ ของหุบเขานั้นดูกว้างมาก เพียงในตอนกลางคืนก็ยัง สามารถมองเห็นช่องว่างที่น่าหวาดกลัวที่อยู่ระหว่างยอด เขา 2 ลูกนั้นได้อย่างชัดเจน
ตรงกลางหุบเขามีเรือนรับรองอยู่ พอตกกลางคืน เรือน รับรองทั้งหมดต่างก็จะจุดโคมไฟ ดังนั้นเมื่อมองไปก็รู้สึก ถึงบรรยายกาศที่โรแมนติกและอบอุ่นอยู่มาก
“ที่นี่สวยอย่างมาก” หลินซีนเยียนอดไม่ไหวที่จะเอ่ยชม
“ใช่แล้ว เจ้าเห็นการจับคู่กันสีของโคมไฟเหล่านั้นล้วน เป็นฝีมือของประมุขน้อยทั้งสิ้น ” เฟิงชื่อไก่หัวเราะ
หลินซีนเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่คิดเลยว่าเทียนหยุนจือ ที่ดูเหมือนเป็นคนจืดชืดแบบนั้นจะมีความคิดที่ละเอียด อ่อนในเรื่องแบบนี้ด้วย “ประมุขน้อย ชอบทำสิ่งนี้หรือ?”
เมื่อเฝิงซื่อไห่เห็นว่าเธอถาม คิ้วก็ขมวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วหัวเราะขึ้น “ก็ไม่เชิง เพียงตอนที่เหล่าฮูหยินยังอยู่ ประมุขน้อยทำเพื่อเอาใจเหล่าฮูหยิน ตอนนั้นประมุขน้อย อายุเพียง 10 กว่าปีกำลังเป็นวัยที่ซนอย่างมาก ดังนั้นจึงได้ คิดทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ต่อไปเมื่อเหล่าฮูหยินจากไป ประมุข น้อยก็ไม่สนใจเรื่องเช่นนี้อีกเลย มุ่งมั่นที่จะฝึกทักษะอยู่ เพียงเรื่องเดียว ดังนั้นจึงได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญของ ศาลาความลับแห่งสวรรค์ที่ยังอายุน้อย”
“เอ่อ…” เธอแค่พลั้งปากถามออกไปเพียงประโยคเดียว แต่เหมือนเฝิงซื่อไห่จะตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องของเทียนหยุนจึ อมากมายขนาดนี้ มันหมายความว่าอะไร?
“ประมุขน้อยไม่ได้แนะนำใครเข้าสำนักหลายปีมานี้แล้ว แต่ครั้งนี้ประมุขน้อยได้เขียนจดหมายถึงท่านประมุขด้วย ตนเอง ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของแม่นางหลินกับประมุข น้อยต้องดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าที่พูดมากไป แม่นางหลิน คงไม่เบื่อเสียก่อน”
หลินซีนเยียนมองเผิงซื่อไห่อย่างรู้สึกอัดอึด คิดว่าที่เขา อยากถามคงไม่ใช่ว่าเธอจะรู้สึกเบื่อ แต่พูดว่าหลินซีนเยียน จะได้กลายเป็นอะไรสักอย่างในวันหนึ่ง ช่วยสนใจเขา หน่อยได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็กล้าที่จะสนับสนุน
“ข้าเหนื่อยแล้ว” โม่จื่อเฟิงหาวหวอด ไม่ให้โอกาสหลิน ซีนเยียนได้ตอบกลับ เขาก็เอ่ยพูดกับเฝิงซื่อไห่โดยตรง
เมื่อเฝิงซื่อไห่ได้ยินก็รีบเดินเร็วขึ้น “ดูข้าสิ ลืมไปเลยว่า ท้องฟ้ามืดแล้ว วันนี้ทรมานอยู่ในป่ามาทั้งวัน ย่อมเหนื่อย เป็นธรรมดา มา ข้าจะพาพวกเจ้าไปชำระร่างกาย!”
เขาบอกจะพาพวกเธอไปอาบน้ำ แต่ไม่ได้บอกให้พวก เธอไปพักผ่อน เมื่อหลินซีนเยียนเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อก็ไม่ได้
ถามโม่จื่อเฟิง เพียงแต่ท่านประมุขคนนั้นอยากจะพบพวก
เธอจะรอไม่ไหวเลยเหรอ?
เฟิงซื่อไห่พาพวกเขามาที่เรือนรับรองอย่างรวดเร็ว จาก ระยะทางที่มาเรือนรับรองนี้ดูเหมือนว่าเดินเข้ามาใกล้แล้ว ก็จะพบว่าถนนเล็กๆที่ตัดไปตัดมาอย่างซับซ้อนมารวมกัน ที่นี่ไม่เหมือนกับศาลาความลับแห่งสวรรค์ลึกลับอะไร กลับ คล้ายเป็นหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยมากกว่า
เมื่อเดินเข้ามาจนถึงสุดถนน เรือนที่ได้ตกแต่งอย่างงด มากและหรูหรา เมื่อตกดึก หน้าร้านค้าทั้งสองฝั่งก็จะ ประดับประดาด้วยโคมไฟที่สว่าง เพียงแต่ที่นี่ยังไม่ใช่สุด ถนน ร้านค้าทั้งสองฝั่งขายแต่งานฝีมือ
เฟิงซื่อไห่พาทั้งสองคนมาถึงอาคารไม้ที่อยู่สุดถนน อาคารไม้นี้ตกแต่งอย่างงดงาม สามารถมองเห็นของ ประดับตกแต่งที่ประณีตงดงามได้ทุกหนทุกแห่ง เครื่อง ถ้วยชามโบราณที่อยู่ภายในล้วนเป็นงานฝีมือที่เกิดการใช้ เตาหลอม
เครื่องถ้วยชามเหล่านี้ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปได้เป็นการ ส่วนตัว ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่มีอิทธิพลที่ได้รับของ พระราชทานมา มีของสิ่งนี้วางอยู่ในที่แห่งนี้ ก็ไม่มีใครกล้า คิดว่าศาลาความลับแห่งสวรรค์เป็นเพียงสำนักที่ประดิษฐ์ อาวุธทั่วๆไป
“เสี่ยวลิ่ว พาแม่นางหลินกับน้องไม่ไปพักในห้องที่ดีที่สุด แล้วเตรียมอาหารและน้ำร้อนด้วย” เฝิงซื่อไห่เดินเข้าไปสั่ง เด็กรับใช้ที่ยืนรออยู่หน้าประตู
“พี่ซื่อไห่ เมื่อครู่ท่านส่งคนกลับมารายงานล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่หรือ? อีกเดี่ยวอาหารกับน้ำร้อนก็เตรียมเสร็จแล้ว เชิญแขกทั้งสองท่านเข้าไปในห้องได้ขอรับ” เสี่ยวลิ่วเป็น เด็กรับใช้ที่รับผิดชอบเรือนนี้โดยเฉพาะ เรือนนี้เป็นสถาน ที่ใช้รองรับแขกของศาลาความลับแห่งสวรรค์ ทุกครั้งเฝิง ซื่อไป่ก็จะพาแขกมา ดังนั้นทั้งสองคนก็สนิทกัน จึงไม่ได้ พูดจาเกรงใจกันเท่าไร
เฝิงซื่อไห่พยักหน้า “ถือซะว่าเจ้าหัวไว”
เสี่ยวลิ่วหัวเราะ “เหอเหอ” ออกมา แล้วมองไปยังหลินซีน เยียน “หากนี่คือฮูหยินของประมุขน้อยในอนาคต ข้าไม่ ดูแลไม่ได้แล้ว”
คำพูดของเขาทำให้เฟิงซื่อไห่หัวเราะอย่างเก้อเขินออก
มา “เจ้าก็รู้หรือ”
เสี่ยวลิ่วกลอกตาขึ้นบน”วันนี้ตอนที่เจ้ากลับมาก็แหกปาก ตะโกนร้องว่า “แม่นางที่ประมุขน้อยส่งมาหายไปแล้ว รีบส่ง คนเข้าไปตามหาในป่า” ใครๆก็ได้ยินกันทั้งนั้น ไม่ใช่หรือ?”