ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 164
ตอนที่ 164 สถานะของหมิงฉี
ถูกต้อง ช่วยนาง…เหตุไฉนต้องช่วย
“ข้ารู้ว่าข้าไม่มีเหตุผลที่จะวิงวอนท่านให้ช่วยข้า ฉะนั้น ข้ากำลังขอร้องท่าน มิใช่ว่าจะมีข้อต่อรองหรือข้อแลก เปลี่ยนใดๆ กับท่าน” แววตาของหลินซินเยียนค่อยๆ มืด สลัวพลางก้มศีรษะลงต่ำ เสียงฝีเท้าของม้าที่อยู่ไกลๆ ดัง เข้ามาแทบจะชัดเจนขึ้นแล้ว
หมิงฉีหัวเราะเยือกเย็น เคาะนิ้วลงบนกำแพงไม้ของรถม้า เสียงนั้นดังเป็นจังหวะ แต่กลับเจือความรีบร้อน ก็เหมือน กับอัตราการเต้นหัวใจของหลินซินเยียน ทุกครั้งราวกับ เสียงกลองที่อึกทึกครึกโครม
“ข้านั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่คนที่มีเมตตา ชั่วชีวิตนี้ก็มิ เคยทำเรื่องปราณีใดๆ ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์อยู่แล้ว เจ้า ขอร้องข้า ฮ่าๆ…” เขาหัวเราะ จากนั้นก็มองเห็นสีหน้าของ หลินซินเยียนค่อยๆ ไร้สีเลือด
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว หลินซินเยียนทำเพียงถอนหายใจ ยาวเหยียด ดีที่อู่อี้จากไปแล้ว ยังดี…ในเมืองเฟิ่งชีไม่มีคนที่ นางต้องเป็นกังวลอีก ต่อให้โม่จื่อเฟิงจับตัวนางกลับไป ก็ ทำได้เพียงระเบิดเพลิงโทสะใส่นาง แต่ไม่สามารถเอาแค้น ไปลงกับคนรอบตัวนางได้
แต่ไหนแต่ไรมานางมิใช่คนที่จะหมดหวังง่ายๆ ต่อให้เป็น เวลาเช่นนี้ นางก็ยังสามารถเฟ้นหาเหตุผลที่ตนเองได้มี ชีวิตรอดต่อไปได้
ฉะนั้นนางจึงค่อยๆ สงบลง และไม่มีแววเวทนาน่าสงสาร เฉกเช่นเดิมอีก นางเป็นเช่นนี้ หากบนทางนี้ได้ถูกกำหนด แล้วว่าต้องเป็นเส้นทางมรณะ เช่นนั้นนางก็หันเหไปยังเส้น ที่ทางสามารถเดินต่อไปได้ ต่อให้ทางเส้นนั้นจะทั้งลำบาก ทั้งอันตราย
“ผู้หญิงเปลี่ยนง่ายเสียจริง นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ยาม ที่แท้ เจ้าก็ไม่หวาดกลัวแล้วรี ไฉนเจ้าถึงไม่วิงวอนข้าอีก ไม่แน่ ว่าข้าอาจจะใจอ่อนแล้วก็ได้ มิแน่ว่าข้าไม่อาจทนเห็นเจ้า น่าเวทนาจนยอมตกลงแล้วล่ะ” นางผ่อนคลายอย่างฉับ พลัน หมิงฉีกลับไม่ยินดีเลย
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ในที่สุดเสียงฝีเท้าอาชาก็ ใกล้เข้ามาประชิดแล้ว แค่ได้ยินเสียง “อวี” ดังเข้ามาจาก ข้างนอกรอม้า กองทัพคนจำนวนมากที่อยู่นอกรถได้ดึง บังเหียนหยุดม้าเป็นที่เรียบร้อย
พลม้าจำนวนกว่าร้อยได้ล้อมรอบรถม้าเอาไว้ แวบเดียวก็ มองเห็นขบวนคนบนหลังม้าที่แน่นขนัด คนของหมิงฉีก็ถูก ปิดล้อมบริเวณรถม้า แม้ว่าคนจำนวนนั้นจะเคยออกรบกว่า ร้อยสนามก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงกลัว พวกเขามิใช่คน ธรรมดาทั่วไป ธรรมชาติก็มีแววตาที่ไม่ธรรมดา พวก เขามองออกว่าคนที่ปิดล้อมรถม้าเอาไว้นั้นจะต้องไม่ใช่ องครักษ์ของบุคคลทั่วไปเป็นแน่
พลม้าเหล่านี้ เป็นทหาร
แต่ว่าในแคว้นหนานเยว่ มีเพียงกองทัพทหารกองเดียวที่ สามารถทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่นั่นก็คือกองทัพอุทัยที่อู่เซวียนอ่องเป็นหัวหน้าทัพ! เครื่อง แบบที่พลม้าเหล่านี้สวม…ก็เป็นชุดเครื่องแบบของกองทัพ อุทัย
แต่ว่า เขตแบ่งแคว้นเยี่ยงนี้ก็มิใช่บริเวณเขตอำนาจ ของกองทัพอุทัย พวกเขาเลือกเส้นทางจุดตรวจนี้หลังจาก ที่สืบค้นข้อมูลเชิงลึกแล้ว ปัจจุบัน ไฉนกองทัพอุทัยจึง ปรากฏที่นี่ได้อีก
โม่จือเพิ่งรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของนายท่านแล้วรึ
หากว่านายท่านเกิดเรื่องขึ้นที่นี่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นพวกเขา นับว่าตายไปหมื่นครั้งก็ไม่สามารถทดแทนความผิดในครั้ง นี้ได้เลย
คนจำนวนหนึ่งกำลังกังขา ก็มองเห็นกองทัพอุทัพที่กำลัง ปิดล้อมรถม้าเปิดทางออกเส้นหนึ่ง ถนนถูกละเส้นออก หนึ่งคนควบอาชารุดหน้าเข้ามา เขาสวมอาภรณ์สีขลับสง่า งาม ขอบข้างล้วนเย็บปักรูปเมฆา เมื่อยามที่พระอาทิตย์ โผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดกระทบบนเรือนร่างของเขา ทำให้ รูปลักษณ์ของเขายิ่งฉายแววสะกดตามากยิ่งขึ้น
ชายชาตรีหนึ่งนาย กำเนิดมาด้วยรูปลักษณ์หล่อเหลา เช่นนี้ หากว่าอยู่ในครอบครัวสามัญชน นั่นมิใช่เรื่องดี แต่ กลับเป็นเรื่องโศกราฏกรรม เนื่องจากในหมู่คนสูงศักดิ์ หนานฉ่งชายงามแต่กลับเป็นความลับที่เปิดเผย
ทว่าชายตรงหน้านี้ ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์หล่อเหลา คมคาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าพวยพุ่ง ออกมารอบตัว ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกคมดาบอาบเลือดนั่นก็คือกองทัพอุทัยที่อู่เซวียนอ่องเป็นหัวหน้าทัพ! เครื่อง แบบที่พลม้าเหล่านี้สวม…ก็เป็นชุดเครื่องแบบของกองทัพ อุทัย
แต่ว่า เขตแบ่งแคว้นเยี่ยงนี้ก็มิใช่บริเวณเขตอำนาจ ของกองทัพอุทัย พวกเขาเลือกเส้นทางจุดตรวจนี้หลังจาก ที่สืบค้นข้อมูลเชิงลึกแล้ว ปัจจุบัน ไฉนกองทัพอุทัยจึง ปรากฏที่นี่ได้อีก
โม่จือเพิ่งรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของนายท่านแล้วรี หากว่านายท่านเกิดเรื่องขึ้นที่นี่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นพวกเขา นับว่าตายไปหมื่นครั้งก็ไม่สามารถทดแทนความผิดในครั้ง นี้ได้เลย
คนจำนวนหนึ่งกำลังกังขา ก็มองเห็นกองทัพอุทัพที่กำลัง ปิดล้อมรถม้าเปิดทางออกเส้นหนึ่ง ถนนถูกละเส้นออก หนึ่งคนควบอาชารุดหน้าเข้ามา เขาสวมอาภรณ์สีขลับสง่า งาม ขอบข้างล้วนเย็บปักรูปเมฆา เมื่อยามที่พระอาทิตย์ โผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดกระทบบนเรือนร่างของเขา ทำให้ รูปลักษณ์ของเขายิ่งฉายแววสะกดตามากยิ่งขึ้น
ชายชาตรีหนึ่งนาย กำเนิดมาด้วยรูปลักษณ์หล่อเหลา เช่นนี้ หากว่าอยู่ในครอบครัวสามัญชน นั่นมิใช่เรื่องดี แต่ กลับเป็นเรื่องโศกราฏกรรม เนื่องจากในหมู่คนสูงศักดิ์ หนานฉ่ง..ชายงามแต่กลับเป็นความลับที่เปิดเผย
ทว่าชายตรงหน้านี้ ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์หล่อเหลา คมคาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าพวยพุ่ง ออกมารอบตัว ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกคมดาบอาบเลือดทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขารู้ คนที่จะมีกลิ่นอายเช่นนี้ได้ จะต้อง ผ่านการเข่นฆ่ามานับครั้งมิถ้วน ต้องสังหารคนสักกี่มาก น้อย ถึงได้มีกลิ่นอายอาฆาตพยาบาทรุนแรงเพียงนี้
ตำนานกล่าวว่า อู่เซวียนอ่องโม่จือเฟิงกำเนิดมาพร้อม ใบหน้าที่กังขา ชายตรงหน้าผู้นั้น จะเป็นอู่เซวียนอ่องอย่าง ที่ตำนานกล่าวไว้ใช่หรือไม่
ผู้คนจำนวนมากยังคงคาดเดา โม่จื่อเฟิงกลับเอ่ยด้วย ความเย็นยะเยือก
“หลินซินเยียน จะต้องให้ข้าอัญเชิญเจ้าออกมาหรือไม่”
คนจำนวนมากตกอกตกใจ ที่แท้โม่จื่อเฟิงผู้นี้นำทัพ ทหารกองอุทัยตามมา ก็เพียงเพื่อผู้หญิงนางหนึ่งเช่นนั้น หรือ แต่ว่าพวกเขามิใช่องครักษ์ธรรมดา ฉะนั้นต่อให้ ภายในใจจะวิตกเพียงใด ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออกมา ทำเพียงก่นด่าผู้หญิงที่เป็นตัวปัญหาอยู่ในใจเท่านั้น
จนถึงตอนนี้ พวกเขายังเดาไม่ออก แม่นางที่รู้จักกันใน นาม “หลัวเหยียน” เดาว่าคงเป็นหลินซินเยียนที่อู่เซวียนอ๋ องเอ่ยถึง ซินเยียน หลัวเหยียน แม้แต่การออกเสียงยัง เหมือนกัน หญิงนางนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เฉินซานบาดเจ็บ สาหัส ขณะนี้ยังก่อปัญหาให้กับนายท่านจนถูกปิดล้อม สรุปก็คือเป็นตัวปัญหา!
เสียงของโม่จื่อเฟิงเล็ดลอดเข้ามาภายในรถม้า ทำให้หัว คิ้วของหมิงชัขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น เขามองไปยัง ทิศทางของหลินซินเยียน แววตาคู่นั้นทอประกายไม่พอใจ และเสียดสี หลินซินเยียน นี่ถึงเป็นชื่อแซ่ที่แท้จริงของนาง
หลินซินเยียนมิได้อยากใส่ใจแววตาของเขาทั้งซ้ายและ ขวามิสามารถหลบหนีได้ ดังนั้นนางก็จึงทุเลาลง นางยก ชายกระโปรงขึ้นเตรียมจะยันกายเดินออกจากรถม้า ใคร จะรู้ว่าเพียงขยับ ก็เห็นมิงชีที่อยู่ตรงข้ามใช้มือกดลงที่หัว ไหล่ของนาง จากนั้นมิรู้ว่าเขากดเปิดเครื่องมือจากที่แห่ง ใด นางเพียงแต่รู้สึกว่าข้างหน้านั้นมืดสนิทและได้ตกลงมา ในสถานที่ที่มืดมิดเสียแล้ว
รอจนนางได้สติกลับมาแล้ว แผ่นไม้ที่อยู่บนศีรษะก็ถูก ปิดเอาไว้ ชั่วขณะนั้นนางรับรู้ได้ นางตกลงมายังหลุมหลบ ภัยใต้รถม้า รถม้าหนึ่งคันยังซ่อนหลุมหลบภัย…หมิงฉีช่าง ละเอียดรอบคอบเหนือคนทั่วไป
หมิงฉีเริกม่านรถม้าขึ้นแล้วออกมาข้างนอก มองไปยัง กลุ่มคนที่เนืองแน่น หัวคิ้วขมวดมุ่น ทว่าในแววตากลับไม่มี ความหวาดเกรง “หลินซินเยียน ใต้เท้าท่านนี้ ท่านกำลังหา ใครอยู่รี”
โม่จื่อเฟิงมองไปทางหมิงฉี สายตาคู่นั้นฉายแววขำขันที ไม่ขำขันที เขาควบม้าเข้าไปประชิด “หมิงฉี..ผู้องค์รักษ์ อาณาจักรเป่ยหมิง ช่างกล้าหาญยิ่ง ที่แอบเข้ามาในดิน แดนแห่งอิทธิพลของแคว้นหนานเยว่ มาเพื่อประจักษ์แก่ ข้า มิต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าหรอก ผู้องค์รักษ์อาณาจักร เป่ยหมิงหมิงฉี กลยุทธ์เป็นที่ประจักษ์เลืองลั่น คงมิอาจว่า จะเดาตัวตนที่แท้จริงของข้าไม่ออกหรอกกระมัง”
ประโยคเดียวของเขาได้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของห มิงฉี หมิงฉีกลับไหวไหล่อย่างไม่มีความพิศวงใดๆ ทว่าหลินซินเยียนที่หลบอยู่ในหลุมหลบภัยได้ฟังคำพูดนี้กลาง ใจก็มีความเกลียดชังไหวระริกชั่วขณะ
ที่แท้ คนผู้นี้ก็คือผู้องค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิง บุคคลที่ มีชื่อเสียงเรียงนามพอๆ กับโม่จื่อเฟิง จึงไม่น่าแปลกใจที่ เจ้าหน้าที่หนานกงสามารถติดต่อเขาได้อย่างรวดเร็ว ที่แท้ เวลานั้นเขาก็อยู่ที่เมืองเฟิ่งชีด้วย คิดว่าเขาก็อาจจะเดาตัว ตนของนางออกตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นยามที่เจ้าหน้าที่ หนานกงวางแผนหลบหนีให้นางกับอู่อี้ ล้วนแต่ต้องผ่าน การอนุมัติจากเขาทั้งสิ้น
เดิมทีนางยังรู้สึกแปลกใจ หมิงฉีคนที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ จะ ให้หญิงคนหนึ่งเช่นนางเดินทางร่วมกัน ทั้งยังสามารถเดิน ทางโดยรอดพ้นจากเงื้อมมือของโม่จื่อเฟิงตลอดทาง ตอน นี้หวนนึกขึ้นมา บางทีเขาอาจจะรู้มาตั้งนานแล้ว ฉะนั้นจึง เล่นไปตามแผนเท่านั้น ดังนั้นต่อให้เมื่อครู่นางไม่วิงวอน เขา เขาก็มิอาจไม่ใส่ใจได้ สรุปแล้ว ตอนที่เขายินยอมให้ เจ้าหน้าที่หนานกงวางแผนหลบหนีแทนเขา ก็ได้ตกลงกับ โม่จื่อเฟิงไว้แล้ว