ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 179
ตอนที่ 179 เพื่อหมอตำแยที่ดีที่สุด
“ถุ้ยย เป็นแค่แม่ทัพขยะที่เกาะตำแหน่งของลูกสาวมิใช่ หรือ? แถมยังยึดถือว่าตนเองเป็นพระญาติราชวงศ์เสีย
ด้วย
เมื่อกลุ่มรถของหลินโสงฉีเดินออกไป ชายวัยกลางคนที่ ยื่นอยู่ด้านหน้าหลินซินเยียนก็ถุยน้ำลายไล่ตามหลังรถม้า คนที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบกรูเข้ามาห้อมล้อม
“นี่ พี่ชาย ได้ยินที่ท่านพูดเหมือนรู้ว่าเขาเป็นใคร? เขา เป็นใครหรือถึงได้หยิ่งยะโสเช่นนี้” คนข้างๆถาม
ดูเหมือนว่าชายกลางคนนั้นเองก็ยินดีที่จะตอบคำถาม ของทุกคน “นั่นก็คือแม่ทัพรักษาประตูด่านชายแดน หลิน โสงฉี ปีที่แล้วไม่ใช่ว่ากลับเมืองเฟิ่งชีไปแล้วหรือ? เดิมทีก็ ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรแท้ๆ ดังนั้นจึงเจตนาทำการคัดเลือก สาวงามจากหญิงสาวในตระกูลเข้าการคัดเลือกสาวงาม เมื่อคัดเลือกหญิงสาวผู้ช่วยหลายสิบรายเข้าวัง ซึ่งลูกสาว ผู้มีหน้าตางดงามก็ถูกคัดเลือกด้วย เขาจึงลืมตาอ้าปากขึ้น มาได้ เจ้าอย่ามองว่าเขาหยิ่งยะโสกับคนในหมู่บ้านอย่าง พวกเรา ตอนอยู่ในเมืองเฟิ่งชีเกรงกว่าคงไม่กล้าแม้แต่จะ กระดิกตัว”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ลูกสาวผู้นี้เพิ่งจะได้เข้าวังก็ยกขึ้นหิ้ง แบบนี้ จนกลายเป็นคนเด่นดังต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของ ฝ่าบาทขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นเขาไม่หยิ่งจองหองเลยหรือ?” หลายๆคนพูดคุยพลางส่ายหน้าด้วยความดูถูก โดยไม่ทันสังเกตถึงใบหน้าอันขาวซีดของหลินซินเยียนที่อยู่ใกล้ๆ
หลินโสงฉีมีเพียงบุตรีคนเดียวที่ยังไม่แต่งงานออกเรือน ซึ่งก็คือบุตรีของฮูหยินท่านแม่ทัพในปัจจุบัน ซึ่งน้องสาวใน นามคนที่สามของนาง นามว่าหลินอิ๋งอิ๋ง เค้าโครงใบหน้า ของหลินอิ่งอิ่งนั้นโดดเด่นอย่างมาก เพียงแต่นิสัยหยาบ คายเกเรอยู่บ้าง แต่นิสัยเกเรเอาแต่ใจคิดจะมาคัดเลือก สาวงามย่อมต้องแสร้งทำตัวให้กลายเป็นดอกบัวขาว บริสุทธิ์ มิเช่นนั้นแล้วนิสัยแบบนั้นของนางจะคัดเลือกเข้า มาได้อย่างไร
สรือโถวเงยหน้าขึ้นและพบเห็นความผิดปกติบนใบหน้า ของนาง จึงถามนางด้วยความห่วงใย “พี่สาว ท่านเป็นอะไร หรือ?”
เมื่อหลินซินเยียนรู้สึกตัวจึงสายศีรษะเบาๆ “พี่สาวไม่เป็น อะไร แล้วเจ้าล่ะได้รับบาดเจ็บนี่”
“ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เสื้อถูกเฆี่ยนจนขาด” สรือโถวหัน เผยแผ่นหลังให้นางดู เมื่อได้เห็นหลินซินเยียนกลับอดไม่ ได้ที่จะขมวดเรียวคิ้ว เสื้อด้านหลังของสรือโถวถูกเฆี่ยนจน ขาด เผยให้เห็นรอยแดงสายหนึ่งที่อยู่บนผิวหนัง ไฉนจึง พูดราวกับว่าเขาไม่เป็นอะไร?
รอยขนาดนี้ ไหนเลยจะไม่เจ็บ?
หลินซินเยียนพลันอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะดึงเขาเข้ามาก อด “สรือโถวเป็นเด็กดีจริงๆ ได้รับบาดเจ็บแต่กลับไม่ ร้องไห้โวยวายเลย แต่ยังดีที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย กลับ ไปเอายาของท่านโจวมาโปะๆเดี๋ยวก็ดีขึ้นนะ”
“อิ้ม” สรือโถวพยักหน้า จูงมือนางเดินตรงไปยังข้างหน้า “พี่สาว พวกเรากลับภูเขากันเถอะ ข้ารู้สึกว่า….คนนิสัยไม่ดี ที่ข้างล่างนี่เยอะเหลือเกิน”
เมื่อได้ยินสรือโถวกล่าวเช่นนั้น ภายในใจของหลินซิน เยียนรู้สึกเศร้า พลันบีบมือของสรือโถวไว้แน่น “ที่ไหนๆก็ สามารถมีคนเลวได้ทั้งนั้น สรือโถวไม่อาจที่จะพบกับคน เลวคนหนึ่งแล้วในภายภาคหน้าจะขลาดเขลาไม่ยอมลงมา ไม่ได้นะ”
สรือโถวยิ้มด้วยความอึดอัดแสดงออกว่าคนนั้นเข้าในที่ นางกล่าว แต่ทว่าในดวงตาทั้งคู่ของเขากลับเห็นได้ชัดว่า ยังคงมีความอึมครึมอยู่
หลินซินเยียนถอนหายใจ ในที่สุดก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ อีกต่อไป นำสรือโถวมุ่งไปยังทางกลับบ้าน
นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่ายามที่ร่างของนางหายลับไปที่ปลาย ถนน ก็มีรถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่นางเคยยืน อยู่เมื่อครู่ เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบรถม้าคันนี้กับรถม้าของ หลินโสงฉี แล้ว ยังหรูหรากว่ามาก
โม่จื่อเฟิงเปิดม่านรถด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดเป็นร่องลึก “จิ นมู่ เจ้าเห็นสตรีคนเมื่อครู่หรือไม่?”
“ผู้ใดหรือขอรับ?” จินมู่ที่อยู่บนหลังม้า หันกลับมาถาม คนในรถด้วยความแปลกใจ
“ก็สตรีผู้นั้นที่จูงมือเด็กไงเล่า” สายตาของโม่จื่อเฟิงเพ่ง ไกลออกไป ในน้ำเสียงกลับมีแววขนาดเขลา “เจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าเงาแผ่นหลังของนางคล้ายกับคนผู้หนึ่ง?”
จินมู่รู้ได้ในทันทีว่าเขากล่าวถึงใคร พลันส่ายหน้าโดย ไม่ทันคิด “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม มองเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นได้อย่างชัดเจน แตกต่างกับ แม่นางหลินเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรือนร่างของนางก็ยังอ้วน ท้วนกว่าแม่หลินเสียอีก ท่านอ๋อง…ท่านคงคิด(ถึง)มาก กระมัง”
“คิด(ถึง)มากงั้นหรือ?” โม่จื่อเฟิงยกยิ้มมุมปาก ปิดม่าน รถพลางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “อาจจะใช่”
เมื่อจินมู่เห็นม่านปิดลง จึงหันกลับไปสั่งลูกน้องให้เพิ่ม ความรวดเร็วในการกลับเมืองเพฟิ่งชี เขาทราบว่าจนถึงตอน นี้ท่านอ๋องยังคงไม่ลดละในการตามหาแม่นางหลิน เช่น เดียวกับในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าขนาดที่รับพระราชโองการ ไปปัดกวาดหลุมพระศพของจักรพรรดิองค์ก่อน ตลอดทาง นั้นก็ยังไม่ลืมที่จะถือโอกาสมองหา
น่าเสียดายที่แม่นางหลินราวกับหายสาบสูญไปอย่าง กะทันหัน อย่างกับไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งไว้บนโลกนี้
ขณะที่ฟ้าใกล้มืดลง หลินซินเยียนกับสรือโถวก็ได้กลับ มาถึงบนเขา ท่านโจวเห็นว่าคนทั้งสองหายออกไปทั้งวัน ป่านนี้เพิ่งจะกลับ ก็โมโหเดือดดาล แต่เมื่อเห็นว่าสรีอโถว ได้รับบาดเจ็บ จึงกลั้นโทสะไว้ได้ในที่สุด เพียงแค่ในขณะ ที่ทายาให้สรือโถวก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะตำหนิคนทั้งสอง
หลินซินเยียนกับสรีอโถวราวกับเป็นเด็กน้อยที่ทำผิด ปล่อยให้ท่านชายโจวตำหนิไป คนทั้งสองก็ยังหน้าด้านหัวเราะ สุดท้ายแล้วที่ท่านโจวที่พร่ำบ่นจนเหนื่อยก็เลิก สนใจ
การเดินทางลงเขาในครั้งนี้มีเหตุการณ์รุนแรงแต่ไม่ อันตรายถึงแก่ชีวิต และคืนวันยังคงเดินต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกทุกคนลืมเลือนไป จนกระทั่งสอง เดือนต่อมา อินฉีก็ได้ขึ้นเขามาอีกครั้ง
เพียงแต่ในครั้งนี้ เขาไม่ได้แค่มาเยี่ยมแต่ยังมารับคนลง จากเขาไปด้วย
ขณะที่มองท่านโจวชี้นิ้วสั่งให้ยายหลิวและสรือโถวเก็บ สัมภาระ หลินซินเยียนที่ยังคงสับสน อดไม่ได้ที่จะถา มอินฉีที่อยู่ข้างกาย “พวกเราทั้งหมดต้องไปเมืองเฟิ่งชี จริงๆหรือ?”
“แน่นอน” อินฉีพยักศีรษะ ราวกับว่ามองออกถึงความ กังวลของนางจึงได้อธิบาย “วันกำหนดคลอดเจ้าใกล้เข้า มาแล้ว ไม่มีใครที่จะบอกได้ว่ายามใดที่จะคลอด หากไม่ เตรียมรับมือล่วงหน้าแล้วเกิดเรื่องเกินความคาดหมายขึ้น มาจะทำกันอย่างไร”
“แต่…ไม่ใช่ว่ามีท่านโจวอยู่หรือ?” หลินซินเยียนยังคงไม่ อยากลงจากเขา รู้สึกได้ว่าหากครั้งนี้ต้องไปก็จะไม่ สามารถมีชีวิตที่ราบเรียบและสงบสุขแบบนี้อีก
ท่านโจวได้ยินเข้าขณะที่กำลังเก็บห่อสมุนไพรจึงอดไม่
ได้ที่จะแทรกพูดขึ้นมา “แม่หนู ข้าก็บอกเจ้าไปหลายครั้ง
แล้วไง ถึงแม้ข้าจะเป็นหมออันดับหนึ่งในใต้หล้าแต่ข้าก็
ไม่ใช่หมอตำแยนะเฟ้ย! บุรุษเช่นข้าไม่สามารถทำคลอดให้สตรีได้หรอก! เฮงซวยชะมัด!”
” หลินซีนเยียนพูดไม่ออก ในยุคสังคมศักดินาที่บุรุษ เหลื่อมล้ำมากกว่าสตรี ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโลกที่ปราศจาก หมอหญิง
“ซินเยียน เจ้าวางใจเถิด รูปลักษณ์ของเจ้าตอนนี้ได้ เปลี่ยนไปแล้วจึงไม่มีผู้ใดที่จะจำเจ้าได้ หากแม้เจ้าอยาก จะใช้ชีวิตเงียบๆในเมืองเฟิ่งชี ก็จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าได้ อย่างแน่นอน เชื่อข้า! อีกทั้งหมอตำแยที่ดีที่สุดก็ยังอยู่ใน เมืองเฟิงซี ถ้าหากเจ้าใกล้คลอดขึ้นมาจริงๆจะไปหาหมอ ตำแยก็สะดวกอีกด้วย” อินฉีกล่าวเกลี้ยกล่อม
นางทราบว่าเขาเจตนาดี เพียงแต่ในใจก็ยังมีความ กระวนกระวาย
“พี่สาว ท่านอย่าได้กลัวไปเลย มีสรือโถว มีท่านโจว ยาย หลิวก็ไปเป็นเพื่อนด้วยกันกับท่าน พวกเราสามารถปกป้อง ท่านได้ จะไม่ให้ใครมารังแกท่านได้โดยเด็ดขาด” สรือโถว ยิ้มหัวเราะปลอบนาง
สำหรับสรือโถวแล้ว นางมักจะเผลอเลยรอยยิ้มจริงใจ ออกมาโดยไม่รู้ตัว “อิ้ม มีสรือโถวอยู่ด้วย ต้องสามารถ ปกป้องพี่สาวได้แน่นอน”
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็เพียงต้องปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ หลินซินเยียนถอนหายใจ สายตามองออกไปยังเส้นขอบ ฟ้าที่อยู่ไกลๆ พระอาทิตย์ที่ตกลับขอบฟ้ายามเย็นช่าง สวยงามจนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะละสายตาได้เลย เพียง แต่หากได้เข้าไปในเมืองเฟิ่งชี จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขต่อไปอีกหรือ?