ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 187
ตอนที่187 ก็เพื่อที่จะถามประโยคหนึ่ง
“ก็แค่เข็มตำก็เท่านั้นเหตุใดจะต้องใช้ยารักษา บาดแผลมีคมราคาแพงเช่นนั้นยานั้นเป็นยาที่ท่านอ๋อง ให้มาครั้งที่เมื่อข้าผิวแตกพุพองยานั่นเป็นยาที่ซื้อมา จากประเทศชายแดนไม่จำเป็นจะต้องนำมาใช้กับ บาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้หรอก” เซียวฉางเยว่ยกมือหยุด การกระทำของแม่นมกุ้ย
แม่นมกุ้ยตอบรับถึงได้หยิบผ้าออกมาพันนิ้วมือ ของนางไว้ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ”อ่าพระชายาเจ็บมือ แล้วถ้าท่านอ๋องเห็นจะต้องปวดใจแน่ๆ” “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ท่านอ่องไม่น่าจะปวดใจด้วยเรื่อง
การบาดเจ็บเล็กน้อยนี่” ถึงจะพูดเช่นนี้แต่ว่า เซียวฉาง
เยว่ก็ยังทำท่าเขินอาย
เซียวฉางเยว่และแม่นมกุ้ยเล่นละครเป่าปี่กันอยู่ สองคนทำให้อวิ๋นเสียวอิงที่เพิ่งเข้ามานั้นใบหน้า เปลี่ยนเป็นสีขาวแต่ว่าอวิ๋นเสียวอิงนั้นก็ไม่ได้หึงแต่ยัง แสร้งทำหน้าประหลาดใจพูด”อ่าแต่ไหนท่านอ่องก็เป็น ห่วงพี่สาวข้าได้ยินมาว่าหลายเดือนมานี้ท่านอ๋องไม่ได้ มาเรือนของพระชายาเลยเข้ายังเข้าใจว่าท่าน อ๋อง…ข้ายังคิดว่าจะหาโอกาสไปจูงใจเขาเสียหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะได้ไม่ต้องลำบากใจแล้ว”
อวินเสียวอิงโต้ตอบทำให้ใบหน้าของ เซียวฉาง เยว่คว่ำลงการแสดงท่าทางของบุตรสาวของตระกูลที่มั่งมีนั้นเกร็งไว้ไม่อยู่นางยกมุมปากขึ้นพูดอย่างเย็นช่า ว่า “แม่นางอวิ๋นเกรงใจไปแล้วเรียกข้าว่าพี่สาวนั้นอาจ ไม่เหมาะเพราะว่าแม่นางอวิ๋นนั้นยังไม่ได้เข้ามาจวน อ่องอย่างถูกต้องแม่นางอวิ๋นเป็นแขกจะต้องเรียกข้าว่า พระชายาตามระเบียบหรือว่าจะเรียกข้าว่าสะใภ้ก็ได้ นะ”
เซียวฉางเยว่และอวิ๋นเสียวอิงโจมตีกันผ่านข้า เหมือนสงครามที่ยิ่งใหญ่ยุ่งเหยิงในวังทำให้หลินซิน เยียนที่นั่งอยู่นั้นพูดไม่ออกในความทรงจำของนางนั้น ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่ไฟที่ไม่มีน้ำมันต่อให้เสียแต่ก็ไม่ เสียภายนอกแต่คนสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้กำลังโต้ เถียงกันอย่างเฉียบคมตรงๆเมื่อคิดอย่างละเอียดคาด ว่าหลายเดือนผ่านมานั้นทั้งสองคนคงจะต่อสู้กันถึงขั้น ดุเดือดเลยทีเดียว
ดังนั้นพวกนางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสแสร้งแกล้ง ทำต่อหน้าฝ่ายตรงข้ามแล้ว
หลินซินเยียนรู้สึกว่าช่างน่าขันเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง นั้นพวกผู้หญิงทำให้ตัวเองไร้ค่าให้อีกฝ่ายตายตัวเอง อยู่เพื่อที่จะชนะและได้ครอบครองผู้ชายก็เท่านั้น เพียงแค่ถ้าหากผู้ชายคนหนึ่งวนเวียนอยู่ระหว่างนาง ทั้งสองก็จะถูกนางทั้งสองเกาะติดหนึบเลยละ
ทั้งสองคนปะทะฝีปากแต่หลินซินเยียนนั้นไม่ได้ ใช้กำลังนางมองเม็ดแตงที่อยู่ข้างกายแล้วก็หยิบเม็ด แตงมาไว้ในมือแทะเม็ดแตงไปอย่างไม่เดือดไม่ร้อน
หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง เซียวฉางเยว่และอว็นเสียว อิงก็ได้เริ่มต่างฝ่ายต่างโจมตีซึ่งกันและกันแล้วเม็ดแตง ที่อยู่ในมือของหลินซินเยียนถูกแทะไปแล้วครึ่งหนึ่ง พื้นข้างเท้าของนางเต็มไปด้วยเปลือกเม็ดแตงยุ่งเหยิง เล็กน้อยกลับยังกำเริบเสิบสาน
เมื่อโม่จื่อเฟิงเดินเข้ามาหน้าประตูห้องโถงก็เห็น ภาพที่แปลกประหลาดรอยยิ้มของ เซียวฉางเยว่และอ วิ่นเสียวอิงราวกับมีดแต่หญิงท้องใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่ง แทะเม็ดแตงดูการต่อสู้อย่างสบายอกสบายใจ
มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มที่งดงามโดยไม่รู้ตัว ถามจินมู่ที่อยู่ข้างกาย”จินมู่เจ้าไม่คิดหรือว่าผู้หญิงคน นั้นน่าสนใจ”
จินมู่กระตุกมุมปากเขาเป็นผู้ชายธรรมดายังไม่ถึง กับสนใจผู้หญิงท้องหรอกเขาคิดว่าใครจะเหมือนท่าน แต่ก็แค่คิดในใจแค่เก็บคำพูดของเขาไว้ในอกเขาเองก็ ไม่กล้าเอ่ยปาก
“น่าสนใจมาก”จินมู่เกาหนังหัวแล้วพูด
โม่จื่อเฟิงพอใจแล้วยกเท้าขึ้นเดินไปข้างหน้าเมื่อ เห็นคนรับใช้จะเข้ามาทำความเคารพเขาก็ยกมือขึ้น ห้ามกระทำอย่างไร้เสียงเด็กรับใช้จึงรีบถอยไปอย่าง เงียบๆ
อวิ้นเสียวอิงและ เซียวฉางเยว่ที่กำลังตีกันอยู่ อย่างเงียบๆนั้นหน้าแดงหูดับไม่สังเกตความเปลี่ยนแป ลงรอบๆหลินซินเยียนหันหลังให้ประตูก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
กระทั่งเห็นเงาของร่างกายคนบดบังแสงที่อยู่ตรง หน้านางรู้สึกว่าบนหัวของนางมีเงาทาบอยู่เมื่อเงยหน้า ขึ้นก็เห็นใบหน้าของโม่จื่อเฟิงที่กำลังยิ้มอยู่
“ละครนี้เจ้าดูอย่างพอใจหรือไม่”โม่จื่อ เฟิง ถาม
“หลินซินเยียนจิตใจไม่วอกแวกเม็ดแตง แทรกอยู่ตรงซอกฟันหลังจากนั้นนางก็ทำท่าไม่แยแส เมื่ออยู่ตรงหน้าของโม่จื่อเฟิงนางก็ใช้นิ้วมือแคะเม็ด แตงออกมา
เป็นดั่งคาดการกระทำของนางนั้นทำให้โม่จื่อเฟิง ได้ย่นคิ้วถอยไปหนึ่งก้าว
เสียงของโม่จื่อเฟิงดึงดูดความสนใจของอวิ๋น เสียวอิงและ เซียวฉางเยว่ทั้งสองคนหยุดทะเลาะและ เหน็บแนมกันรีบลุกขึ้นและทำความเคารพโม่จื่อเฟิงอ ย่างอ่อนช้อย
“ท่านอ๋อง..”
“เฟิง..”
การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนนั้นแปลกประหลาด ทั้งสองคนคิดจะมาพิงข้างๆโม่จื่อเฟิงแล้วว่าโม่จื่อเฟิงก ลับถอยหลังหนึ่งก้าวทำให้ทั้งสองคนนั้นพิงค้างอยู่ กลางอากาศ
“ท่านมาจวนอ๋องคุ้นเคยหรือยัง”โม่จื่อเฟิงไม่มอง
สองคนนั้นแต่กลับหันมาถามหลินซินเยียน
หลินซินเยียนกำเม็ดแตงขึ้นมากำหนึ่งรู้สึกได้ว่ามี สายตาที่คับแค้นใจของอวิ๋นเสียวอิงและ เซียวฉางเยว่ มองมารู้สึกว่าหนังหัวชานางชมละครนี้อย่างสนุกเขา จะต้องนำไฟมาใส่ตัวนางใช่หรือไม่
นางลุกขึ้นยืนทำความเคารพโม่จื่อเฟิง”ตอบ คำถามของท่านอ๋องจวนอ๋องยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์เช่นนี้ชีวิต นี้ของข้าได้เห็นก็นับเป็นบุญยิ่งข้าจะกล้าไม่คุ้นเคยได้ อย่างไรเล่าข้าก็เป็นสะใภ้คนหนึ่งสามารถมาแก้เบื่อให้ พระชายาและแม่นางอวิ๋นที่จวนอ๋องก็นับว่าเป็นวาสนา แล้ว”
“อ่อ….”โม่จื่อเฟิงจ้องนางเงียบสายตาของเขาตก อยู่ที่ตาของนางไม่ยอมวางตาอยู่นาน
สายตาเช่นนี้นั้นตรงเกินไป หลินซินเยียนอยากจะ ตะโกนถามเขาใจจะขาด เขาเป็นอู่เซวียนอ๋อง อยู่ต่อ หน้าคนเยอะเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงของเขาทั้งสอง คนมาจ้องตาหญิงมีครรภ์หาอะไรห๊ะ
ให้นางที่เป็นสะใภ้บ้านหนึ่งเข้ามาในจวนอ๋องนั่นก็ แล้วไปให้ผู้หญิงคนเดียวอย่างนางเข้ามาในวังหลังมา เป็นเพื่อนผู้หญิงในจวนอ๋องนั่นก็แล้วกันไปแต่ว่าท่าน มาจ้องนางเช่นนี้ต้องการจะให้นางถูกเกลียดใช่หรือไม่ ในใจตกตะลึงอย่างเหมือนคนบ้าแต่ว่าไม่กล้า
แสดงสีหน้าไม่ดีใจ
กระทั่งอวิ๋นเสียวอิงที่อยู่ข้างๆนั้นทนมองไม่ไหว แล้วจึงพุ่งมาที่ด้านข้างของโม่จื่อเฟิงจับแขนเขาเอาไว้”เฟิง….เหตุใดท่านจึงมองนางเช่นนี้สะใภ้บ้านอื่น ไม่น่าสนใจหรอกยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงและเกียรติยศ ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสำคัญกว่าชีวิต….”
“ข้าทำอะไรหรือ”โม่จื่อเฟิงเลิกคิ้วสะบัดมือของ นางออก”ข้าแค่รู้สึกว่าดวงตาของนางเหมือนเพื่อนเก่า ของข้าคนหนึ่งดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องตาของนางก็ เท่านั้น”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นแค่กลัวว่านางจะคิด เป็นอื่น”อวิ๋นเสียวอิงยิ้มหวานดูแล้วไม่มีจิตใจเมตตา แล้วยังถามอีก”ใช่แล้วเฟิงท่านมาได้อย่างไร”
“ทำไมหรือข้าจะไปไหนต้องรายงานเจ้าด้วยรี”โม่ จื่อเฟิงน้ำเสียงเย็นชาทำให้อวิ๋นเสียวอิงหน้าเสียนาง หน้าแดงในตาของนางมีความตำหนิแรง
เห็นนางเสียหน้าคนที่มีความสุขที่สุดก็คือ เซียว ฉางเยว่เห็นอวินเสียวอิงเหมือนชนตะปูเช่นนั้น เซียว ฉางเยว่ก็จะไม่ทำผิดเหมือนเดิมรีบเรียกโม่จื่อเฟิงให้ นั่ง “ท่านอ๋องมานี่ช่างบังเอิญจริงฮูหยินอู่กำลังเล่าเรื่อง สนุกให้พวกเราฟังอยู่พอดี”
โม่จื่อเฟิงนั้นไม่ได้ปฏิเสธเขานั่งลงแต่โดยดี”อ่อ เช่นนั้นข้าก็อยากฟังเรื่องที่ฮูหยินอู๋จะเล่า”
หลินซินเยียนอยากตายเสียจริงเมื่อเผชิญหน้ากับ
สายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของโม่จื่อเฟิงนางจึงทำได้
เพียงนั่งลงใหม่แล้วก็เริ่มเล่าเรื่อง”เรื่องมือยู่ว่าบ้านตระ
กูลฮัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่แสนไกล…”
เมื่อนางเล่ามาถึงว่าฮัวมู่หลานปลอมตัวไปร่วมสู้รบ อวิ่นเสียวอิงกลับพูดอย่างตกใจว่า”ที่ท่านพูดนั้นไม่ถูก กระมังต่อให้ปลอมตัวก็เถอะเรื่องที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ปลอมตัวเข้าวังจะไม่ถูกจับได้นั้นเป็นไปไม่ได้ยิ่งไปกว่า นั้นผู้หญิงปลอมตัวไปปะปนกับผู้ชายเป็นเรื่องหยาบ คายเหลือทนจะมีผู้ชายที่ไหนชอบท่านตบตาผู้อื่น แล้ว”
หลินซินเยียนถอนใจพูด”แม่นางอวิ๋นที่ข้าเล่ามันก็ เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้นมีหลายสถานที่ที่เหมือนกันแต่ ว่าในเรื่องเล่านั้นไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดท่านแค่ฟังเรื่อง เล่าก็เท่านั้นถ้าหากต้องการวิเคราะห์เรื่องที่มีที่มาจาก ประวัติศาสตร์เช่นนั้นท่านต้องเล่าเรื่องสภาฮั่นหลิน
แล้วละ”
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเรื่องเกี่ยวกับฆ่าศัตรูใน สนามรบนั้นจะมีหญิงคนไหนทำได้เล่าอ่อเรื่องเล่าก็แค่ เรื่องเล่าสินะ”ดูแล้วอวิ๋นเสียวอิงจะแสดงท่าทีตรงข้าม กับหลินซินเยียนอย่างตั้งใจหลินซินเยียนรู้เพราะว่า นางไม่พอใจกับสายตาที่โม่จื่อเฟิงมองนางก่อนหน้านี้
เซียวฉางเยวไม่อยากยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับอวิ๋นเสียว อิงเลยแทะเม็ดแตงแล้วพรรณนาว่า”อาจจะไม่ใช่ข้า คิดว่าผู้หญิงนะสามีก็เหมือนท้องฟ้าปรนนิบัติสามีและ พ่อแม่สามีนั้นถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
หลินซินเยียนพลันรู้สึกหมดแรงถูกความคิดระดับ ชนชั้นและผู้ชายมีอำนาจทรมานจนใกล้จะหายใจไม่ออกนางถอนใจและยังอดไม่ได้ที่จะพูด”สามีเป็น เหมือนท้องฟ้ารีเพราะเหตุใดสามีจึงเป็นเหมือนท้องฟ้า เล่าพวกท่านน่าจะเคยคิดถึงมาก่อนเรื่องที่ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้เพียงแต่พวกผู้ชายไม่เคยให้โอกาสพวก เราก็เท่านั้นช่วงต้นของสังคมฐานะของผู้หญิงนั้นสูง กว่าผู้ชายหลังจากราชวงศ์เฉาเปลี่ยนเป็นซ่งฐานะของ ผู้หญิงก็ค่อยๆถูกลดลงวันหนึ่งในอนาคตฐานะที่ถูก เปลี่ยนเช่นนี้ก็จะถูกเปลี่ยนใหม่อีกครั้งเช่นกัน”
“ท่านกำลังพูดอะไร”อวิ่นเสียวอิงวางผลไม้เชื่อมที่ อยู่ในมือลงมองนางอย่างรังเกียจ”คำพูดของท่านนี่มัน ไม่เชื่อฟังพอแล้วข้าว่านะเรื่องนะก็ไม่ต้องเล่าแล้วเรื่อง ทำนองว่ายกย่องผู้หญิงผู้ชายต่ำนี่ไม่ลงโทษเจ้านี่ก็ดี
แค่ไหนแล้ว”
เซียวฉางเยว่เองก็ไม่อาจเข้าใจคำพูดของหลินซิน เยียนได้แต่ว่าสายตาที่มองนางนั้นอ่อนลงเล็กน้อย สำหรับหญิงที่อยู่ในบ้านที่ร่ำรวยนั้นก็จะมีเพียงแค่ หญิงทั่วไปที่ต่ำต้อยถึงจะสามารถเอะอะโวยวายเท่า เทียมกับสามี LEGO
LEGO ทั้งสองคนรู้สึกไม่ค่อยดีอีกทั้งทั้งสองคนยังขับไล่ หลินซินเยียนอย่างผิดปกติโดยพร้อมเพรียงกัน
พวกผู้หญิงขับไล่ผู้หญิงคนหนึ่งก็เพราะเกี่ยวกับ
ความชอบของผู้ชายก็เท่านั้นพวกนางรู้สึกได้ถึงความ
รู้สึกสนใจของโม่จื่อเฟิงที่มีต่อหลินซินเยียนดังนั้นการ
อยากจะไล่หลินซินเยียนให้รีบจากไปนั้นก็เป็นเป้าหมายที่เหมือนกันของทั้งสองคน
“เอาละข้าเองก็เหนื่อยแล้ววันนี้เท่านี้ก่อนแล้วกัน วันไหนมีเวลาค่อยให้ท่านมาเล่าเรื่องให้พวกเราฟัง ใหม่” เซียวฉางเยว่พูดเช่นี้นั้นมีความหมายคือ ต้องการไล่คนกลับไป
หลินซินเยียนเป็นคนรู้จักวางตัวก็รีบลุกขึ้นเตรียม อำลาแต่ว่านางยังไม่ได้หันหลังก็ได้ยินเสียงเรียบๆของ โม่จื่อเฟิงดังขึ้น
“ฮูหยินหยุดก่อน”สายตาของโม่จื่อเฟิงตกอยู่ที่ ร่างของนางสายตาของเขายังไม่ละออกจากนาง ราวกับว่าจะมองทะลุนางจากที่ไกลๆ “บ้านเกิดของฮู หยินอยู่ที่ไหน”
หลินซินเยียนตกใจไม่สบายใจเล็กน้อยลังเลใจ อยู่สักครู่กล่าวว่า”พูดไปแล้วท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรู้ หรอกบ้านเกิดข้าคือหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญใน เมืองอวิ๋น”
“เมืองอวิ๋น”โม่จื่อเฟิงทวนสองคำนี้เสียงต่ำเบาๆมุม ปากของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย”ข้า รู้สึกคุ้นเคยกับความคิดของฮูหยินเหลือเกินฮูหยินนั่ง ลงคุยกับข้าก่อนเถิด”
“เอ่อ…”หลินซินเยียนไม่รู้จริงๆว่าไปสะกิดโดน
เส้นประสาทไหนของเขาโม่จื่อเฟิงถ้าหากว่าเขารู้จัก
นางเขาจะต้องไม่มีท่าทีเงียบเช่นนี้แน่นอนถ้าหากไม่
พูดว่ารู้จักนางเช่นนั้นท่าทีของเขาก็ผิดปกติมากเกินไปแล้ว
เห็นนางสงสัยโม่จื่อเฟิงเลยพูดอีกว่า “พูดอย่างตรง ไปตรงมาเลยนะข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่มีบ้านเกิดเดีย วกับฮูหยินความคิดของนางนั้นต่างจากคนทั่วไปดังนั้น ข้าจึงคิดว่าบ้านเกิดของท่านกับเพื่อนข้าจะต้องเป็นที่ เดียวกันแน่เลยสนใจอยากจะเข้าใจความคิดของเขา ผ่านการพูดคุยกับฮูหยิน”
หลินซินเยียนถอนใจเงียบๆนางเดาออกได้ แน่นอนเพื่อนของเขาที่มีบ้านเกิดเดียวกันก็คือตัวนาง เอง “ท่านอ๋องอาจจะไม่รู้หมู่บ้านของเรานั้นห่างไกล ความเจริญมากคนที่นั่นจะล้าหลังมากกว่าที่อื่นมาก ความคิดของข้านั้นอาจจะไม่สามารถเป็นตัวแทนความ คิดของเพื่อนท่านอ่องได้หรอก”
“พูดไปก็ไม่เห็นเป็นไร”โม่จื่อเฟิงแสดงเจตนาให้
นางนั่งลง
หลินซินเยียนตกอยู่ในสภาวะจำยอมนางจึงเกาหัว
แล้วนั่งลง
“พวกเขานั้นเป็นหนึ่งสามีหนึ่งภรรยาใช่มั้ย”จู่ๆโม่ จื่อเฟิงก็ถาม
หลินซินเยียนใจหล่นฮวบใบหน้าของนางมีรอย ยิ้ม”หมู่บ้านของพวกเรานั้นเล็กๆและเป็นคนจนจะมี ใครรวยจนไปขอเมียได้ทั้งสองคนขอได้หนึ่งคนก็ ถือว่าไม่เลวแล้วดังนั้นจึงเป็นหนึ่งสามีหนึ่งภรรยา”
คำตอบนี้นับได้ว่าเป็นคำตอบที่กระชับแน่นไม่มี ช่องโหว่หลินซินเยียนคิดเช่นนี้มองการแสดงออกของ โม่จื่อเฟิงอย่างระมัดระวัง
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดในห้อง โถงเงียบมากความผิดปกติของโม่จื่อเฟิงนั้นทำให้คน อื่นๆนั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนดังนั้นจึงไม่มีใครกล้า ปริปาก
เมื่อทุกคนรอจนหงุดหงิดนั้นโม่จื่อเฟิงก็พลันลุก ขึ้นเดินออกไปจากห้องทันทีราวกับว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ส่งกลิ่นไอเย็นมารอบๆ
เมื่อเงาของโม่จื่อเฟิงนั้นหายไปจากห้องโถงคน ภายในห้องก็ยังไม่ได้สติกลับมา
หน้าของหลินซินเยียนซับซ้อนขึ้นไปใหญ่เขาขัด ขวางนางก็เพื่อที่จะถามคำถามนี้หรือ
โม่จื่อเฟิงเพิ่งจะเดินจากไป เซียวฉางเยว่และอวิ๋น เสียวอิงก็ไม่สนใจนางแล้วนางจึงใช้โอกาสนี้ในการ อำลา
ออกจากประตูหลังของจวนอู่เซวียนอ๋องแล้วหลิน ซินเยียนจึงไม่ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อครู่พบหน้าโม่ จื่อเฟิงมีเพียงฟ้าที่รู้ว่านางต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหน
แต่ว่าดูจากตอนนี้โม่จื่อเฟิงจะต้องจำนางไม่ได้แน่ เรื่องนี้นางวางใจได้เช่นกัน
สำหรับอวิ้นเสียวอิงและ เซียวฉางเยว่นางอยากจะผ่านเรื่องของวันนี้ไปพวกนางก็จะไม่ลงมื่อเรียกนางไป เล่าเรื่องที่จวนอ๋องอีก
นางหยิบตั๋วเงินที่อยู่ตรงอกเสื้อออกมามองเป็น ความร่ำรวยที่ได้มาไม่ง่ายเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่ อันตรายเป็นรายได้ที่คนทั่วไปใช้ชีวิตหลายชาติก็ หาไม่ได้
เมื่อกลับไปฝีเท้าของหลินซินเยียนราวกับว่าเบา ลงมากถ้าหากนางที่อยู่ตรงหน้าโม่จื่อเฟิงนั้นไม่ถูกจับ ได้เช่นนั้นนางก็คงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเพฟิ่งซีนี้ได้อย่าง สงบสุข
เพียงแค่นางไม่รู้หลังจากนางออกจากจวนอู่เซวีย นอ๋ององครักษ์ลับของจวนอู่เซวียนอ๋องนั้นก็ได้รับคำ สั่งของโม่จื่อเฟิงออกเดินทางไปยังเมืองอวิ๋นแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านยายหลิวก็เตรียมอาหารกลาง วันเสร็จแล้วเมื่อเห็นหลินซินเยียนกลับมายายหลิวก็ เรียกท่านโจวและสรือโถวมากินข้าวเวลาที่ทุกคนกิน ข้าวก็พบว่าหลินซินเยียนอารมณ์ดีทุกคนก็แปลกใจ ถามหลินซินเยียนหลินซินเยียนก็ตอบว่าก่อนหน้านี้พบ เรื่องน่าสนใจบนถนนทุกคนไม่สงสัยก็เลยไม่ได้ถาม อีก
เพิ่งจะเป็นคนรวยใช้เงินตามสบายในถุงของหลิน ซินเยียนมีเงินจะพูดหรือทำอะไรก็มีความมั่นใจวันที่ สองก็เดินทางไปภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดมีอาหารและ เหล้าดีๆของเมืองเฟิ่งซีบอกว่าอยากจะขอบคุณท่านโจวที่ช่วยเหลือในช่วงหลายเดือนมานี้
สรือโถวได้ยินว่ามีของอร่อยก็ดีใจจนลุกขึ้นเต้น แต่เดิมท่านโจวไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าร้านนี้มีเหล้าเหลืองเก่าสามสิบปีที่เขา อยากดื่มมากที่สุดก็รีบแสดงท่าทางว่าถ้าจะฟุ่มเฟือย เล็กน้อยก็ได้ยายหลิวที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วทุกคน ไปนางก็ไปโดยไม่พูดอะไร
ค่ำวันที่สองทุกคนเก็บของแต่งตัวเรียบร้อยแล้วถึง ได้ออกจากประตูมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด ของเมืองเฟิ่งซี
ภัตตาคารแบ่งเป็นสองชั้นชั้นบนเป็นห้องแยกแต่ ว่าราคาของห้องแยกนั้นจะแพงกว่าโต๊ะทั่วไปสองเท่า ถึงแม้ว่าหลินซินเยียนจะมีเงินแต่ว่าหลินซินเยียนไม่ได้ มีสถานภาพเป็นเจ้าถิ่นเช่นนั้นยิ่งพูดถึงพวกนางนั้นไม่ จำเป็นต้องใช้ห้องแยกดังนั้นจึงได้หาที่นั่งที่สงบเงียบ นั่งอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
“เหล้าเหลืองหนึ่งขวดสามตำลึง”ท่านโจวเปิดดู เมนูอาหารก็ร้องเสียงหลงก่อให้เกิดสายตาดูถูกจาก โต๊ะข้างๆเขาถึงได้ลดเสียงลงด้วยความแค้นใจ”ข้าว่า นะเด็กน้อยอาหารที่นี่แพงไปถ้าเช่นนั้นเราเปลี่ยนวัน เจ้าหนุ่มน่ารังเกียจเลี้ยงข้าวเราค่อยมาอีกทีดีไหม”
เจ้าเด็กหนุ่มน่ารังเกียจของเขานั้นก็คืออินฉีนั่นเอง หลินซินเยียนส่ายหัว”ไม่เป็นไรข้ามีเงินท่านวางใจเถิด”
“ข้าอยากกินลูกชิ้นน้ำแดง”สรือโถวไม่เข้าใจเมนูอาหารจึงสั่งแต่เมนูที่ตัวเองเคยกิน
หลินซินเยียนลูบหัวเขา”ได้สรือโถวของพวกเรา อยากกินอะไรก็กินข้าจ่ายได้”หลินซินเยียนหันไปถาม ยายหลิว”ยายหลิวท่านอยากกินอะไร”
“ข้า….”ยายหลิวคิดแล้วพูดว่า”ข้าสั่งเต้าหู้ผัด มะเขือแล้วกัน”
บ่าวที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ยินชื่ออาหารที่พวกเขาสั่งก็มี สีหน้าคว่ำ”แขกทุกท่านภัตตาคารเฟิ่งเสียงของพวกเรา ไม่มีอาหารทั่วไปอาหารของร้านเรานั้นล้วนเป็นอาหาร แบบเดียวกับอาหารในวังทุกรายการอาหารเป็นสินค้า คุณภาพดียกตัวอย่างเช่นเนื้อลาพะโล้เป็นอาหาร แนะนำของพวกเราแขกทุกคนที่กินล้วนบอกว่าดีเช่น นั้นท่านลองทานสักจานไหม”
ท่านโจวมองราคาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงต่ำ อีก”อาหารจากนี้สามสิบตำลึงพวกท่านโก่งราคานี่”
บ่าวได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี”ภัตตาคา
เฟิงเสียงของพวกเราราคาก็เป็นเช่นนี้แหละเช่นนั้น
เมื่อครู่ที่แม่นางท่านนี้ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีเงินจอง โต๊ะนั้นเงินของพวกท่านก็ซื้อกินไม่ได้ไม่มีเงินแล้วยัง แสร้งทำเป็นรวยอีก” | |
“เจ้าบ่าวนี่พูดอะไรของเจ้านะคนที่มานั้นเป็นลูกค้า หลักการนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ”ท่านโจวโกรธแล้วตบโต๊ะ ลุกขึ้นยืน
“คนที่สามารถกินอาหารของภัตตาคารเราได้ถึง จะเรียกว่าเป็นแขกพวกท่านเป็นคนประเภทอ้วน หน้าตาธรรมดายังกินของพวกเราไม่ได้ก็ไม่ใช่แขก ของพวกเรา”บ่าวดึงเมนูอาหารที่อยู่ในมือของท่านโจว ไป”พอได้แล้วพวกท่านที่อยากกินอาหารทั่วไปก็ไปกิน ร้านอาหารเล็กๆที่อยู่ตรงข้ามนั้นก็ได้อย่ากั๊กที่นั่งของ ร้านพวกเราเลย”
“เจ้าเจ้า”ท่านโจวโกรธมากขี้หน้าของบ่าวที่เย่อ หยิ่งนั้นแต่ไม่พูด
หลินซินเยียนอยากจะห้ามก็เห็นเจ้าของร้านเห็น คนก่อความวุ่นวายก็รีบเข้ามาเจ้าของร้านถลึงตามอง บ่าว”ทะเลาะอะไรกันไม่เห็นว่าลูกค้าโต๊ะอื่นถูกรบกวน หรือ”
ปาวคนนั้นไม่อยากถูกเข้าใจผิดสักนิดกลับชี้หน้า พวกหลินซินเยียน “ยังไม่รู้ว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนา ที่ไหนมาประเมินการชื่อเสียงของภัตตาคารเฟิ่งเสียง ของพวกเราก็มากินข้าวใครจะรู้ว่าเมื่อดูราคาก็บอกว่า ราคาแพงเกินไปรับไม่ได้แล้ว”
หลินซินเยียนคิดว่าบ่าวคนนั้นพูดเช่นนี้สำหรับ เจ้าของร้านนั้นคงจะต้องสั่งสอนบ่าวให้ดีหน่อยใครจะ รู้ว่าเจ้าของร้านได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมาพูดกับทุกคน ว่า”เหตุใดทุกวันจึงมีคนไม่มีเงินแต่แสร้งทำเป็นมีเงิน เช่นนี้เข้ามาไม่มีเงินพอที่จะซื้อก็ไม่ต้องมาภัตตาคา รเพิ่งเสียงและเจ้าด้วยเจ้าพูดจากไร้สาระกับพวกเข้าเยอะแยะไปเพื่ออะไรก็แค่ไล่พวกเขาออกไปก็เท่านั้น เองไม่ได้”
เห็นคนที่ทำธุรกิจประจบเอาใจผู้มีอำนาจแต่ว่าคน ที่มีแววตากล้าหาญเช่นนี้นั้นหลินซินเยียนไม่เคย พบเห็นมาก่อนต้องเป็นร้านค้าเช่นนี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะ เป็นภัตตาคารระดับหนึ่งของเมืองเฟิ่งซีมหัศจรรย์จริงๆ เลยตอนนี้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยภัตตาคารเฟิ่ง เสียงนี้ที่แท้เป็นดอกไม้บานที่งดงามอย่างมหัศจรรย์ ดอกไหนนะ
จากท่ามวยจีนที่อยู่ในละครเวลานี้หลินชินเยียน ควรจะดึงตั๋วเงินออกมาหลังจากนั้นก็เห็นใบหน้าของ เจ้าของร้านที่มีแววตาของหมาที่ดุร้ายมองคนอย่าง เหยียดหยามหลังจากนั้นก็คำรามเสียงดังอย่างใช้ อำนาจบาตรใหญ่”เอาอาหารที่ดีที่สุดของร้านเจ้ามา เอามาให้ข้ากินให้หมด”
แต่ว่านี่ไม่ใช่ในละครนางถูกร้านนี้ทำให้ขายหน้า นางต้องการที่จะเอาคืนและให้ร้านนี้ได้กำไรไปนะหรือ นางไม่ต้องการทำเรื่องเสียเปรียบเช่นนั้น
ดังนั้นหลินซินเยียนหัวเราะยกชาที่อยู่บนโต๊ะดื่ม อย่างไม่รีบร้อนหลังจากนั้นภายใต้สายตาที่มองมา อย่างเหยียดหยามของเจ้าของร้านและบ่าวนางพลัน ทุบแก้วชานั้นลงพื้น
เสียงใสนั้นดึงความสนใจของแขกที่มากินอาหาร ทั้งหมดคนหลายคนมองมาทางนี้หลินซินเยียนยิ้มอย่างดูถูกเจ้าของร้านหลังจากนั้นก็กุมท้องของตัวเอง คำรามว่า”ชาที่นี่ไม่สะอาด”
“เจ้าเจ้าหญิงบ้านนอกป่าเถื่อนพูดบ้าอะไรชาขอก พวกเราเป็นชาที่ดีที่เก็บปีนี้กล้าดีอย่างไรถึงได้มาขู่ กรรโชกภัตตาคารเฟิ่งเสียงของพวกเรา”เจ้าของร้านชี้ หน้าด่าหลินซินเยียนด้วยความโกรธ
หลินซินเยียนกลับไม่มองเขาเลยแต่นางไร้เรียว แรงไปพิงอยู่ในอ้อมแขนของยายหลิวแถมยังบีบน้ำตา อย่างรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม”ข้าแค่ดื่มชาไปอีก เดียวถ้าไม่ใช่ปัญหาของน้ำชาแล้วมันจะเป็นอะไรเล่า ไม่เชื่อพวกข้าเช่นนั้นก็ลองถามอาการของคนอื่นดูสิว่า เหมือนกันไหม”
ขณะที่นางพูดนั้นก็ส่งสายตาไปให้ท่านโจว”ท่าน โจวรบกวนท่านช่วยถามโต๊ะรอบๆหน่อย”
ท่านโจวตะลึง จากนั้นมีปฏิกิริยาตอบสนองทันใด รีบเดินไปที่ชายคนหนึ่งที่โต๊ะข้างๆ ราวกับรีบร้อนจะ ลากข้อมือของเขา”คุณชายท่านนี้ท่านดื่มชาหรือยังมี อาการอะไรไหม”
“ข้าดื่มชาไปแล้วแต่ว่า…โอยข้าก็ปวดท้องเหมือน กัน” ชายคนนั้นร้องโหยหวนออกมาเช่นกัน
ท่านโจวเดินไปถามโต๊ะอื่นเช่นเดียวกัน คนเหล่า นั้นที่ถูกท่านโจวสัมผัสตัวก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทุกคน ไม่มีใครเห็นเลยว่าขณะที่คนเหล่านั้นร้องโหยหวน ท่านโจวเก็บเข็มเงินอย่างไร้ร่องรอย