ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 191
ตอนที่ 191 เขาเปลี่ยนไปเหรอ
” ผู้เฒ่า.” โม่จื่อเฟิงพำพึม 2 คำอยู่ในลำคอ ทอด สายตามองไปไกล ๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จาก นั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม ” เช่นนั้น ครั้งนี้คน จากศาลาความลับแห่งสวรรค์มากี่คนหรือ? ”
ฮูเหยียนหลิวหยุนครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ทราบ จำนวนที่แน่นอน เพียงแต่ครั้งนั้นตอนที่พวกเขามาพบ ท่านพ่อของข้าที่จวนอ๋องมีประมาณ 7-8 คน ”
โม่จื่อเฟิงวางถ้วยชาลง นิ้ววางอยู่ด้านข้างแล้ว เคาะลงอย่างเบาๆ เสียงจังหวะกึกก้องอย่างเชื่องชา เนิ่นนาน เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก ” ในจำนวนคนพวกนั้น มี คนเดินขากะเผลกหรือไหม? ”
“เดินขากะเผลก? ” ฮูเหยียนหลิวหยุนรู้สึกตก ตะลึง “ข่าวไปถึงท่านอ๋องได้ครบถ้วนยิ่ง ไม่ผิด ใน จำนวนนั้นมีคนเดินขากะเผลกจริง แต่คนผู้นั้นดูแล้วไม่ น่ามีพิษมีภัยอะไร ตอนที่เดินยังมีอีก 2 คนช่วยพยุงอยู่ แต่คนเหล่านั้นดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับคนเดินขา กะเผลกอย่างมาก ราวกับไม่ยอมอยู่ห่างจากเขา ต่อมา ท่านพ่อของข้าได้บอกข้าว่า หนึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวลือ สนั่นว่าอาวุธที่สุดยอดศาลาความลับแห่งสวรรค์ เป็น คนเดินขากะเผลกผู้นั้นที่สร้างมันขึ้นมา” โม่จื่อเฟิงเงียบขรึมลง คิ้วขมวดคิ้วติดกัน เขาเพียง
บีบขมับให้ตนเองอย่างเบาๆ ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
เมื่อหลินซีนเยียนได้ยินถึงเรื่องนี้ ไม่รู้เพราะอะไร กลับรู้สึกอึดอัดในใจ ราวกับมีก้อนหินทับอยู่ในใจจน ไม่สามารถหายใจออกมาได้สะดวก
เธออยู่ในศาลาความลับแห่งสวรรค์ กลับไม่เคย ได้ยินเรื่องคนเดินขากะเผลกที่เก่งกาจผู้นั้นเลย งั้นก็ แสดงว่าเมื่อก่อนผู้คนนั้นยังไม่ได้ขากะเผลก แต่โม่ จื่อเฟิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงคนไร้ประโยชน์ ในเมื่อเขาเอ่ย ถึงคนเดินขากะเผลกผู้นั้นขึ้นมาเช่นนี้เพราะว่าเธองั้น
เหรอ?
เขาคลุกคลีอยู่ในศาลาความลับแห่งสวรรค์เพื่อ เป้าหมายของเขาเอง เดิมเขาไม่เคยห่วงเรื่องศาลา ความลับแห่งสวรรค์อยู่ สิ่งเดียวที่เขาห่วง ไม่ใช่ศิษย์พี่ ใหญ่ของเธอเหรอ? เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่ สำคัญมากสำหรับเธอ ดังนั้นเขาถึงเป็นห่วงคนเดินขา กะเผลกผู้นั้น จะใช่ศิษย์พี่ใหญ่หรือไม่?
หลินซีนเยี่ยนรู้สึกคอแห้งจึงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม อีกใหญ่ เมื่อน้ำชาร้อนได้เข้าสู่ท้อง เธอถึงจะสงบจิต สงบใจได้ ไม่ว่าอะไรหากศิษย์พี่ใหญ่อยู่เมืองเฟิ่งซี เธอ จะหาโอกาสไปช่วยเขาได้หรือไม่?
ฮูเหยียนหลิวหยุนเห็นว่าโม่จื่อเฟิงไม่ได้เอ่ยถาม อะไรอีก จึงรีบเอ่ยถามเรื่องของหลิวหลีทันที ” ท่าน อ๋อง ข้าได้บอกเรื่องที่ท่านอยากรู้แล้วเช่นนั้นท่านจะ บอกข้าเรื่องหลิวหลีได้หรือไม่?”
โม่จื่อเฟิงเรียกสติกลับมา ทันใดนั้นใบหน้าก็ปรากฏความสงสัยขึ้นมา “เพื่อสตรีนางหนึ่งแล้ว คุณชายหลิวหยุนจะต่อต้านท่านพ่อของตนเองให้ถึงที่ สุดงั้นหรือ? ”
“ท่านอ๋อง ท่านก็ทราบดีว่าเด็กที่อยู่ในท้องของ หลิวหลีเป็นลูกของข้า เหตุใดต้องถามด้วย? ข้าฮูเหยี ยนหลิวหยุนถึงจะทำเรื่องไร้สาระมามาก แต่ข้าเป็น บุรุษ ในเมื่อหลิวหลีได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าจึง ไม่สามารถมอบตำแหน่งให้นางเป็นชายาได้ หากไม่ สามารถปกป้องชีวิตแม่และลูกได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต่าง อะไรกับการมีชีวิตอยู่อย่างอดสู”
ฮูเหยียนหลิวหยุนยิ้มอย่างขื่นขม จะว่าไปก็แปลก อยู่ สตรีที่อยู่ข้างกายเขามีนับไม่ถ้วน สาวงามก็มีอยู่ไม่ น้อย เขาไม่กลับอาจมอบความรักที่ลึกซึ้งให้กับหลิว หลีได้ ตั้งแต่รู้ว่านางมีลูกของตนเอง เขากลับคิดหาทุก วิถีทางเพื่อเธอเป็นอย่างดี บางที นี่อาจจะเป็นห่วง เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็ได้
คิ้วของโม่จื่อเฟิงขมวดติดกัน ใช้มือลูบคางของ ตนเองอย่างเกียจคร้าน ความสงสัยบนใบหน้ากลับมี มากยิ่งขึ้น เจ้ายังถือว่าโชคดี ตอนที่ข้าช่วยหลิวหลีไว้ ได้ก็เคยเอ่ยถามนางว่า ได้รู้จักกับเจ้าแล้วเคยเสียใจ หรือไม่ หลิวหลีก็บอกว่าไม่เคยเสียใจ นางรู้ว่าฐานะ ของตนเองว่าไม่สามารถเป็นชายาของเจ้าได้ ดังนั้นจึง ไม่เคยเอ่ยขอร้องใดๆ เพียงขอให้อยู่ในจวนของ คุณชายได้ก็พอเพียงแล้ว
” นางพูดเช่นนั้นจริงๆหรือ ?” ฮูเหยียนหลิวหยุน แน่นขึ้นมาทันที
“ข้าสามารถหลอกเจ้าได้หรือ?” โม่จื่อเฟิงถอน หายใจออกมาอย่างระทมทุกข์ ” คุณชายอย่างเจ้าทำ ไม่ถึงโชคดีขนาดนี้ ไม่เหมือนข้า….”
คำพูดหลังไม่เอื้อนเอ่ยออกมา ถึงเขาจะไม่ได้พูด ออกมา แต่ในใจหลินซีนเยียนกลับกระตุกขึ้นมา ใน ช่วงขณะนั้น ราวกับใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอก อก เธอรู้ว่าโม่จื่อเฟิงตำหนิว่าเธอไม่รู้จักพอ เขาตำหนิ ว่าทำไมเธอถึงไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นของเขา ยอมรับผู้ชายที่มีภรรยาเยอะได้
เพราะว่าเขายังไม่เข้าใจ เขาจึงสงสัยบ้านเกิดของ หลินซีนเยียนขึ้นมา และอยากจะเข้าใจความคิดสุดที่ จะคาดเดาของเธอจากบ้านเกิดของเธอมากยิ่งขึ้น
“ช่างเถิด…” โม่จื่อเฟิงนั่งตัวตรง อดไม่ได้ที่จะ โบกมือขึ้น จินมู่ พาคุณชายหลิวหยุนไปพบหลิวหลี เถอะ
จินมู่รับคำสั่งแล้วพาเหยียนหลิวหยุนเดินออกไป ด้านนอกทันที อู่ฉือเป็นพี่น้องกับฮูเหยียนหลิวหยุน ย่อมเดินตามเขาไปอยู่แล้ว
บ่าวเพิ่งจะยกอาหารมาตั้งบนโต๊ะ แต่น่าเสียดาย เมื่ออาหารเพิ่งจะมา ผู้คนกลับได้เดินจากไปแล้ว สัก พักก็เหลือเพียงโม่จื่อเฟิง หลินซีนเยียนและอวินเสียว อิง
โม่จื่อเฟิงเดินมานั่งลงก่อน อวิ๋นเสียวอิงก็สะบัดกัน เดินตามไป หลินซีนเยียนลังเลอยู่สักพักก็เดินตามไป เพียงแต่ไม่ได้รับคำสั่งจากโม่จื่อเฟิง เธอจึงไม่กล้านั่ง ลง เธอยังจำได้ว่า เมื่อก่อนโม่จื่อเฟิงเคร่งครัดเรื่อง ฐานะทางชนชั้นมาก ครั้งนั้นเธอจดจำได้เป็นอย่างดี พวกเขานั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน เห็นว่ามีที่ว่างอยู่ แต่ยังให้ เธอไปนั่งทานข้าวบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้างคนเดียว
เพราะสำหรับเขาแล้ว เธอเป็นเพียงสาวใช้อุ่น เตียงคนหนึ่งไม่มีคุณสมบัติร่วมทานข้าวบนโต๊ะเดียว กับเขาได้
ความทรงจำที่ฝังลึกในใจ เธอจึงไม่รีบนั่งลงไป กลับยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
โม่จื่อเฟิงเห็นว่าเธอไม่ยอมนั่ง คิ้วก็ขมวดติดกัน “ทำไมไม่นั่งหรือ?”
“ท่านอ่องเป็นผู้สูงศักดิ์ ข้าเป็นเพียงชาวบ้าน ธรรมดา จะกล้านั่งร่วมโต๊ะเดียวกับท่านอ๋องได้ อย่างไร”หลินซีนเยียนก้มหน้าหลุบตาลงแล้วเอ่ยตอบ
โม่จื่อเฟิงเหยียดยิ้ม นี่ไม่เหมือนเรื่องของคน อย่างพวกเจ้าทำกัน ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นไม่ได้ให้นางร่วม ทานข้าวโต๊ะเดียวกับข้า แววตาของนางกลับมีความขุ่น เคืองอยู่มาก”
ที่แท้ เขายังจำได้ เขายังเห็นความขุ่นเคืองผ่าน สายตาของเธอ
ทันใดนั้นหลินซีนเยียนก็รู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจไม่ จื่อเฟิงได้อย่างแท้จริง อย่างน้อย เมื่อก่อนเธอคิดว่า เขาไม่เห็นความขุ่นเคืองหรือการไม่ยอมเชื่อฟังผ่าน สายตา กลับคิดไม่ถึงว่าเขามองเห็นอย่างชัดเจนมา โดยตลอด
“ท่านอ๋องพูดถึงน้องสาวคนนั้นที่มาจากบ้านเกิด ของเรางั้นหรือ? น้องสาวคนนั้นไม่เข้าใจกฎเกณฑ์อยู่ หน่อย เมื่อก่อนในหมู่บ้านน้อยคนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ จึงได้ตกระกรรมลำบาก หลินซีนเยียนพลั้งปากเอ่ย ขึ้น เพื่อทำให้เรื่องราวได้สมจริงขึ้นมา
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อโม่จื่อเฟิงได้ยินเข้า สายตากลับ เฉียดคมขึ้นมาทันที “ตกระกรรมลำบาก? ในชีวิตของ นางยังมีใครที่ทำให้นางตกระกรรมลำบากได้หรือ? ช่างหาได้ยากยิ่งแท้ นั่งลงพูดเถอะ”
” เอ่อ… “หลินซีนเยียนลังเลอยู่สักพัก ลากเก้าอี้ ที่อยู่ด้านข้างแล้วนั่งลง ซึ่งระยะห่างจากโต๊ะอยู่ 1 จั้ง คิ้วของโม่จื่อเฟิงขมวดอีกครั้ง “เจ้านั่งไกลขนาด นั้น แล้วจะทานข้าวได้ยังไง? มาตรงนี่ ”
ใบหน้าของหลินซีนเยียนฉายแววตกตะลึงพลัน หายไป นางลากเก้าอี้เข้าไปข้างโต๊ะแล้วนั่งลง ในใจ กลับรู้สึกสงสัยขึ้นมา เธอรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถนั่ง ร่วมโต๊ะกับเขาได้ เขาควรจะพอใจไม่ใช่หรือ? นี่เขา เปลี่ยนเป็นคนเข้าหาง่ายขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?