ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 216
ตอนที่ 216 ความอบอุ่นที่มาจากโม่จื่อเฟิง
นางยังคงเปลือยเท้าเปล่า ขากางเกงพับถลกขึ้น มาถึงใต้หัวเข่า ถึงแม้ทั้งขาจะเปรอะโคลนตม ก็ปฏิเสธ มิให้ผู้พบเห็นบังเกิดความคิดแสนบันเจิดอย่างอื่นเป็น แน่ ทว่าในสังคมที่โบราณคร่ำครีเช่นนี้ ยังมีบางคนที่ ยอมรับมิได้อยู่ดี
โม่จื่อเฟิงเงยหน้าเสมองคนที่ร่วมขบวนผู้อื่นแวบ หนึ่ง คนเหล่านั้นรีบกระวีกระวาดคารวะขอตัวลาทันที
พอพวกเขาไป โม่จื่อเฟิงช้อนอุ้มร่างหลินซีนเยียน ขึ้นมาวางลงยบนก้อนหินประดับ หลินซีนเยียนกำลัง กังขาว่าเขาจะทำการใด กลับเห็นเขาล้วงผ้าแพรวิจิตร ออกมาจากอกเสื้อ มือหนึ่งจับข้อเท้าของนางไว้ ส่วน อีกมือถือผ้าแพรวิจิตรเริ่มเช็ดทำความสะอาดให้นาง
ใต้แสงแดด ภายในสวนผกาหลวง ท่ามกลางกลิ่น หอมหวนของตฤณชาติขี้เขียว เขาคุกเข่าต่อหน้านาง พลางเช็ดลูบเท้าสองข้างให้นางอยู่เช่นนั้น หากเปลี่ยน เป็นยุคปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้ของบุรุษเพศยังทำให้ สตรีใจอ่อนระส่ำ นับประสาอะไรกับสมัยโบราณ ยุค สมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่ผู้หญิงเป็นรองเช่นนี้
“อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ เจ้าวิ่งโร่มาถึงสระบัว ทำการอันใด อยากให้ตนเองเจ็บไข้จริงๆ หรือเยี่ยงไร” โม่จื่อเฟิงก้มศีรษะ การเคลื่อนไหวของมือหนามิได้ หยุด คำพูดที่เอ่ยจากปากกลับค่อนข้างเย็นชา
ก็มิรู้เพราะการกระทำของเขาหรือไม่ ในใจของ หลินซีนเยียนอ่อนยวบ น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาบ้าง “ฮองเฮาใคร่จะเสวยโจ๊กใบบัว จึงให้พวกข้ามาเก็บใบ บัว ข้าเองมิอาจขัดบัญชา”
“นางให้เจ้าไปตาย เจ้าก็จะไป เจ้าไร้สมองหรือไร” โม่จื่อเฟิงเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง เอาเท้าที่เช็ด ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ววางไว้บนขาของตนเอง ก่อนจับขาอีกข้างขึ้นมาเริ่มต้นเช็ดลูบอีกครั้ง
หลินซีนเยียนยกมุมปาก รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย “นางเป็นฮองเฮา แล้วข้าเป็นอะไรเล่า นางสั่งให้ข้าไป ตาย ข้ายังจะขัดขืนได้หรือ
“ข้ายังมิรู้เลยว่าเจ้าฟังความขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด กัน ยามที่ขัดขืนข้า มิใช่ว่าเจ้าทำอย่างสุดฤทธิ์หรอก หรือ” โม่จื่อเฟิงกลอกตาใส่นาง ยามที่พูดนั้นได้จัดการ เช็ดทำความสะอาดเท้าทั้งสองข้างของนางเสร็จเป็นที่ เรียบร้อย
ขจัดคราบโคลนจนเกลี้ยงแล้ว เท้าทั้งสองข้าง ของนางก็พาดวางอยู่บนขาของเขา เนียนลื่นกระเมี้ยน ขาวดุจรากสัตตบงกรไม่ปาน ยามอยู่ภายใต้ประกาย แสงทิวา ทองยิ่งเพาพิลาสจนคนต้องตะลึงงัน
ถูกเขาจ้องมองตาเขม็ง หลินซีนเยียนรู้สึกเหนียม อายเล็กน้อย มองรอบด้าน โชคดีที่มีเพียงนางกำนัลทั้ สองที่เก็บใบบัวอยู่ในสระเท่านั้น และนางกำนัลทั้งคู่ก็ ล้วนรู้ความ จงใจเดินไปยังจุดที่ไกลที่สุด
นางนึกอยากชักเท้ากลับ แต่กลับถูกโม่จื่อเฟิงจับ เอาไว้ก่อน มือใหญ่ของเขาจับหมับขาทั้งสองข้างของ นางด้วยมือเดียว ความรู้สึกร้อนผ่าวจากมือของเขาแผ่ ซ่านไปบนเรียวขาเล็กที่แข็งกระด้างของนาง ความ รู้สึกนี้ช่างชัดเจนเหลือเกิน
บรรยากาศเช่นนี้ออกจะอึดอัดใจสักหน่อย หลิน ซีนเยียนมักรู้สึกว่าควรหาคำอันใดสักอย่างมาเอื้อน เอ่ย ทำลำคอให้โล่ง พลางถามตามอำเภอใจ “ใช่แล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงมิบอกข้าว่าฮองเฮาและชายาของ ท่านเกี่ยวพันเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
โม่จื่อเฟิงยังคงก้มหน้า จ้องขาของนางอย่างตั้ง อกตั้งใจ มือหนาทั้งสองนวดคลึงที่ขาเรียวของนางไม่ หยุดหย่อน “มีอันใดให้น่าพูดกัน ใช่หรือไม่ใช่ เจ้าต้อง ไปเรียนกฎระเบียบกับฮองเฮาเช่นเดิม อีกอย่าง พูด ก่อนหน้านี้ รังแต่ทำให้เจ้ารู้สึกระส่ำระสายเพิ่มมากขึ้น เท่านั้น เปลี่ยนแปลงอันใดมิได้ เพียงแต่ ข้าคิดไม่ถึง ฮองเฮานั่นกล้าทำกับเจ้าเช่นนี้ คิดว่าข้าเป็นเพียงหุ่น เชิดจริงๆ รี”
“เอ่อ..ปัญหาข้อนี้ หลินซีนเยียนคิดว่ามิต้องยื่น ปากไปแทรกจะดีกว่า ทำเพียงตั้งคำถามอีกครั้ง “ฮองเฮากับเซียวฉางเยว่ ไม่ ข้าหมายถึงกับชายาของ ความสัมพันธ์ดีมากเลยหรือ”
ราวกับว่าโม่จื่อเฟิงไม่เบื่อหน่ายกับเรียวขาเล็ก ของนาง ยังเสพติดถึงขึ้นเป็นนิสัย พลางเอ่ยถาม “มิน่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องรู้ว่าวัฏจักรนี้ ระหว่างคนกับคน ด้วยกันจะหาความสัมพันธ์อันดีงามขนาดนั้นได้เสีย ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะอำนาจก็เท่านั้น ต่อให้เป็น สหายแสนดีหรือญาติแท้ๆ หากมีอำนาจเข้ามาเอี่ยว ก็ สามารถกลายเป็นศัตรูกันได้”
คำที่แสนเป็นสัจธรรมเช่นนี้ ออกมาจากปากโม่ จื่อเฟิงนับว่าธรรมดานัก เพียงแต่ เหตุใดตอนนี้หลินซีน เยียนกลับรู้สึกว่าเขาพูดอย่างมีหลักยิ่งนัก เพราะ ประสบการณ์มากมายยิ่งเพิ่มความผิดหวังต่อมนุษย์ โลกอย่างนั้นเชียวหรือ ไม่! นางนึกถึงท่านอาจารย์ นึกถึงศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง ยังมีอี้เชิง นึกถึงพวก เขา นางกลับรู้สึกยังหลงเหลือคนที่ไม่มัวเมากับอำนาจ อยู่
เพียงแต่โม่จื่อเฟิงยังไม่ได้พบเจอก็เท่านั้น คิดได้ แบบนี้ นางพลันรู้สึกว่าโม่จื่อเฟิงน่าสงสารขึ้นมาเล็ก น้อย อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ ตั้งแต่เล็กก็ปราศจากมิตร สหายหรือไม่ ทุกวินาทีล้วนแต่คิดวางแผนกลยุทธ์มิ หยุดหย่อนหรือไม่ ใช้ชีวิตท่ามกลางความคดโกงไม่ วางใจเช่นนี้สืบเรื่อย เขาเองก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าใช่ หรือไม่
ดังนั้น เขาจึงไม่เชื่อใครเลย บางที ในสายตาของ เขา มนุษย์ต้องเป็นอย่างที่เขาเคยรู้จักถึงเรียกว่าปกติ กัน
“เจ้ากำลังสงสารข้านี” โม่จื่อเฟิงผู้สายตาแหลมคมจับสังเกตแววตาทอประกายเช่นเดียวกันนั้นของนาง รวดเร็วเพียงนี้ฤา
“ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดให้ข้าต้องชวนเห็นใจกัน เล่า” หลินซีนเยียนถามกลับ เอาปัญหานี้ย้อนถามเขา
โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงมีแววไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ ขาของเจ้าก็เช็ดสะอาดแล้ว รองเท้าของเจ้า อยู่ที่ใด”
หลินซีนเยียนยกมือขึ้นชี้ไปยังราวบันไดข้างหนึ่ง ที่อยู่ข้างสระบัวในที่ไกลออกไป รองเท้าปักบุหงาหนึ่ง คู่พาดวางอยู่บนราวบันไดนั้นเอง
โม่จื่อเฟิงวางเท้านางบนศิลาประดับ จากนั้นก็หยัด กายลุกขึ้นหยิบรองเท้าก่อนเดินกลับมา หลินซีนเยียน กำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับเห็นเขาจับเท้าของนาง สวมใส่เข้าไป
“เอ่อ…” หลินซีนเยียนตะลึงพรึงเพริศ มองเขาตัว แข็งที่อ
“ทำไม ข้ายอมลดตัวลงมาสวมรองเท้าให้เจ้ายังไม่ เบิกบานอีกรี ไม่ใช่เจ้าพูดเองว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน หรือไร ดูเจ้าเป็นหญิงสาวปราศจากความรู้มาจากหลัง เขาไกลโพ้น ข้าเพียงแค่อยากให้พวกเจ้าคุ้นชินก็ เท่านั้น” โม่จื่อเฟิงเลิกคิ้ว มิเห็นนางซาบซึ้งจนน้ำตา ไหลพราก ราวกับค่อนข้างไม่พอใจนัก
หลินซีนเยียนกลืนน้ำลาย หัวเราะเจือความขุ่นเคือง “มิใช่ ข้าย่อมดีใจยิ่งนัก ข้าเพียงอยากเตือนท่าน อ๋อง ก่อนสวมรองเท้า ควรจะสวมถุงเท้าก่อน…”
โม่จื่อเฟิงตะลึง หน้าตึงเครียดหมุนกายแล้วเดิน จากไป ยามที่จากไปมิได้หันกลับมา ทำเพียงเอ่ยหนึ่ง ประโยคเย็นเยียบทิ้งท้ายเอาไว้ “ข้าจะไปรอเจ้าที่ ตำหนักยงเหอ เจ้าสวมถุงเท้ารองเท้าเสร็จแล้วรีบกลับ ไปเสีย”
จากไปแบบฉุนเฉียวเช่นนี้ หลินซีนเยียนยกมุม ปาก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าส่อแววเลิ่กลั่กของ เขา อู่เซวียนอ๋องผู้เกรียงไกรก็มียามที่ขายหน้าเหมือน กัน นางอดมิได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมา
เพียงแต่แค่สวมถุงเท้ารองเท้านั้นจะกินเวลาได้สัก เท่าไหร่เชียว เขาเผ่นหนีความพ่ายแพ้ไปเยี่ยงนี้ หลิน ซีนเยียนส่ายหน้าอย่างช่วยมิได้ ยังคงสวมรองเท้าให้ เสร็จสรรพแล้วตามไปอย่างรู้ความ
โม่จื่อเฟิงเดิมทีก็มิได้เดินทิ้งห่างไปไกล เมื่อครู่ ย่างก้าวอย่างเร่งรีบ ก็เพียงเพราะเลิกลักจนต้องโกย อ้าวออกมาเท่านั้น เมื่อความอึดอัดใจทุเลาลง เขาก็ ย่างเก้าอย่างเชื่องช้า ยามที่หลินซีนเยียนเดินตามมา เขาเพียงแค่จ้องนางแวบหนึ่ง กลับคว้าหมับเข้าที่มือ ของนาง ดุนให้นางเดินไปทางข้างหน้า
ทินกรเคลื่อนขับมาเกือบกลางฟากฟ้า แต่น่า เสียดายที่ย่างสู่ยามเหมันต์ ต่อให้เป็นยามเที่ยง กลับ ยังทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านอย่างมองข้ามมิได้
โม่จื่อเฟิงจูงมือหลินชีนเยียนเข้ามายังพระตำหนัก ยุงเหอ นางกำนัลทุกนางที่พวกเขาเดินผ่านล้วนหมอบ กายเป็นระนาบเดียว ทุกคนเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดี จึงไม่มีผู้ใดกล้ากีดขวาง