ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 217
ตอนที่ 217 เขียนเสือให้วัวกลัว
ใจกลางโถงประดับเตาทองแดงที่มีความสูงเกือบ ครึ่งคน ในเตาเต็มไปด้วยถ่านไม้ ทำให้ภายในโถง รับรองล้วนอบอุ่นชื้นถ้วนหน้า มีเพียงราชวังสถานที่เช่น นี้เท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มต้นกระจายความร้อนทั้งที่เพิ่ง ย่างเข้าสู่หน้าหนาว โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายของเชื้อ ถ่านไฟแม้สักนิด
หลินซีนเยียนเดินตามหลังโม่จือเฟิงเข้ามาใน
ห้องโถงใหญ่ ความรู้สึกอุ่นวาบก็พลันโอบล้อมโถมถา
ใบหน้าเล็กซีดเซียวเริ่มเรื่อกำขึ้นมาเนื่องจากความ อบอุ่นที่มี ที่ประทับตรงตำแหน่งหลักเป็นของฮองเฮาเว่ย ชิงเฟิง นางกำลังจิบชาร้อนหนึ่งจอก ทอดเนตรเห็นโม่
จื่อเฟิงเดินเข้ามาก็ตรัสพร้อมสรวล “โอ้ว ลมอันใดพัดพา
อู่เซวียนอ๋องปลิวมากันหนอ”
โม่จอเฟิงเห็นฮ่องเต้ยังไม่คารวะ ยิ่งนับประสาอัน ใดกับฮองเฮา เพียงแต่เขาอาจไม่ต้องทำความเคารพ แต่มิได้หมายความว่าหลินซึนเยียนจะทำได้ ดังนั้นนาง ยังคงถวายความเคารพต่อฮองเฮาอย่างนอบน้อม
ยามที่มองใบหน้าของโม่จื่อเฟิง ฮองเฮากลับ อบอุ่นและกระตือรือรัน ผายมือออก “รีบลุกขึ้นเถิด ต่อไป ก็กลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว มิต้องมาก พิธีรีตองเยี่ยงนี้”
หลินซีนเยียนหยัดกายขึ้นแล้วถอยร่นไปยังข้าง หลังกายของโม่จื่อเฟิง โม่จื่อเฟิงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ โดยอำเภอใจ ทำเฉกเช่นที่ฮองเฮาตรัสไว้ไม่ผิดจริงๆ มิ ต้องมากพิธีรีตอง
“แม่นมซุน รีบรินชาให้อู่เซวียนอ๋องเร็วเข้า” ใน เรื่องไร้มารยาทของโม่จื่อเฟิง ฮองเฮามิได้แสดงออกถึง ความมิพอใจใดๆ กลับตรัสต่อเขา “มา อู่เซวียนอ๋องลอง ลิ้มรสชาเกลียวมรกตที่เพิ่งนำเข้าสักหน่อยเถิด หม่อม ฉันดื่มแล้วรู้สึกถึงกลิ่นหอมรัญจวนนัก”
“หรือ เช่นนั้นข้าก็นึกอยากลองชิมสักหน่อยแล้ว” แม่นมซุนรินชาร้อนยกถวายไว้บริเวณหัตถ์ด้านขวาของ เขาเป็นที่รียบร้อย โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนี้ ก็ยกจอกน้ำชา ขึ้น เพียงแต่เขาจิบแค่หนึ่งอีก ต้องมุ่นคิ้ว ยกชาจอกนั้น แล้วสาดไปทางหน้าของแม่นมซุน
ชานี้เพิ่งถูกรินเสร็จ น้ำยังคงร้อนลวก กระเซ็นใส่ ใบหน้าของแม่นมซุนทำให้นางรีบกุมหน้าพลางกรีดร้อง ลั่น นางทุรนทุรายทรุดกายลงกับพื้น จากง่ามนิ้วสามารถ มองเห็นผิวหนังบนใบหน้าของนางเริ่มบวมแดง
ฉากที่ปรากฏแบบกะทันหันนี้ ทำให้ทุกคนล้วน ตะลึงเพริศ
รวมถึงหลินซีนเยียน นางยืนอยู่ข้างหลังของโม่ จื่อเฟิง นับว่าต้องเห็นเหตุการณ์ของแม่นมซุนได้ชัดเจน เป็นธรรมดา แก้วชาร้อนที่สาดออกไป ใบหน้าของ แม่นมซุนล้วนประจักษ์โดยถี่ถ้วน
ไม่รู้เหตุไฉน ถึงแม้แม่นมซุนตบนางหนึ่งฉาด ก่อนหน้า ทว่าปัจจุบันเห็นนางถูกทำให้เสียโฉมซ้ำยัง เป็นวิธีโหดร้ายเช่นนี้ต่อหน้าตนเอง นางกลับมิอาจทน ได้ แม้นางจะรู้ โม่จื่อเฟิงแค่ดีโพยดีพายแทนนาง ทว่า กลางใจกลับไม่สบายอย่างประหลาด
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นเวลานานเนิ่น ไม่ เห็นความทุกข์ตรมของคนที่ต่ำต้อยด้อยศักดิ์กว่าเลยใช่ หรือไม่
แม่นมซุนทีกทักว่านางมีสถานะสูงกว่าหลินซีน
เยียน ดังนั้นจึงกดขี่ข่มเหงหลินซีนเยียน ต่อให้ตบนาง
หนึ่งฉาดตามอำเภอก็นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
โม่จื่อเฟิงเองก็เช่นกัน ในมุมมองของเขา แม่นม ซุนเป็นเพียงไพร่ทาสหนึ่งคนเท่านั้น ข้าทาสเยี่ยงนี้เขา เป็นถึงท่านอ๋องสั่งลงทัณฑ์แล้วก็ต้องได้รับทัณฑ์ ผู้ใดก็ มิบังอาจกล้าแย้ง
หรือว่า นี่จะเป็นธรรมชาติของสังคมแห่งชนชั้น วรรณะ นี่ก็คือห่วงโซ่อาหารแสนโหดร้ายในยุคโบราณ ผู้ ใดอยู่สูงศักดิ์ ผู้นั้นย่อมได้ตัดสินชะตาชีวิตของคนที่ ต่ำต้อยกว่าอย่างอำเถอใจ
ความรู้สึกเช่นนี้ หลินซีนเยียนกลับมิชอบเลย ฉะนั้นนางจึงมิได้แสดงออกถึงความชมชอบแม้สักนิด คิ้ว เรียวทั้งสองข้างกลับมุ่นขมวดแน่น
ฮองเฮาเรียกสติกลับมา หัตถ์บีบบนพนักผิงพาหา พระที่นั่งแน่น ในน้ำเสียงนั้นพยายามสะกดกลั้นความกริ้วโกรธเอาไว้ “ท่านอ๋อง นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่”
โม่จื่อเฟิงพ่นเสียงแผ่วเบา เอาจอกชาในมือทุบ ลงตรงข้างหน้าของแม่นมซุน “นางไพร่ช่างบังอาจนัก ยกน้ำชาที่ลวกร้อนเพียงนี้มาให้ นึกอยากเอาชีวิตข้าให้ ถึงฆาตหรือไร”
ถวายน้ำชาจอกนี้ เคลื่อนขับถึงขั้นประทุษร้าย ท่านอ๋อง เพียงแค่อาชญากรรมข้อนี้ นับว่าแม่นมซุนแม้น ตายก็มิอาจแทนได้
ฮองเฮาทรงกริ้วเสียจนพักตร์เบี้ยวบิด กระทั่งพอ แม่นมซุนได้ฟัง แผลบนใบหน้าล้วนมิได้ใส่ใจแล้ว หมอบอยู่บนพื้น เริ่มต้นโขลกศีรษะ “ท่านอ๋องโปรด อภัยโทษ ท่านอ๋องโปรอภัยโทษ บ่าวปรนนิบัติไม่ครบ ถ้วนถือเป็นความผิดของบ่าว แต่ขอความเมตตาจากท่าน อ๋องโปรดละเว้นบ่าวสักครั้งด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
โม่จื่อเฟิงทำเพียงจ้องนางด้วยแววประกายเย็น เยียบหนึ่งแวบ ก่อนหมุนกายไปกุมมือหลินซีนเยียนซึ่ง อยู่ด้านหลัง หลินซีนเยียนไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนัก แต่ ถูลู่ถูกังตามออกไป
กลับเห็นเขายกมือขึ้นกะทันหัน ฝ่ามือหนาค่อยๆ ไล้ลบบริเวณแก้มของนาง “มีคนกล้าแตะต้องของของ ข้า ช่างมิได้เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วเสียจริง เจ้าว่า ไพร่ ทาสเยี่ยงนี้ข้าสมควรปล่อยไปหรือไม่”
แม่นมซุนกับฮองเฮามองเห็นการเคลื่อนไหวของ โม่จื่อเฟิงจึงค่อยมีปฏิกิริยาเลิกลัก ที่แท้นี่ก็เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวของโม่จื่อเฟิง เพียงแต่เหตุเพราะแม่นม ซุนตบหลินซีนเยียนแค่ฉาดเดียวเท่านั้น ถ่องแท้ถึง ความหมายของเขา หลินซินเยี่ยนเป็นของๆ เขา แตะ ต้องของๆ เขา ก็ต้องรับผิดชอบ
วินาทีนั้น ฮองเฮารู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ไฉนนางจึงลืมอุปนิสัยพยาบาทอาฆาตแค้นของโม่ จื่อเฟิงไปสิ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ก็มิสมควรจะทำเพื่อผล ประโยชน์เล็กน้อยไปรับปากเซียวฉางเยว่จัดการหลิน ซีนเยียนผู้นนี้ ซ้ำยังให้อู่เซวียนอ๋องเคืองขุ่นโดยใช่เหตุ อีก
คิดถึงข้อนี้ สีหน้าฮองเฮาขรึมลง ตบลงบนโต๊ะ หนึ่งที่ พร้อมตรัสกับแม่นมซุนที่หมอบอยู่บนพื้น นาง ไพร่ช่างบังอาจนัก กระทำผิดหนักกับท่านอ๋องแล้วยังไม่ รีบขอรับโทษตายอีกรี”
ขอรับโทษตาย!
นี่เป็นการให้แม่นมซุนใช้ความตายเพื่อแลก เปลี่ยนสยบความโทสาของโม่จื่อเฟิง ประโยคนี้ของ ฮองเฮา คือการพิจารณาโทษตายแก่แม่นมซุน แม่นมซุน เองก็เป็นคนแก่ที่ตามถวายรับใช้ฮองเฮา แม้นจะไม่ใช่ คนที่ได้รับการวางใจมากที่สุด แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ งานดีชิ้นหนึ่ง ตำแหน่งของแม่นมซุนถือว่าสูงนักหาก เทียบกับนางกำนัลเล็กๆ คนอื่น ทว่าเนื่องจากเรื่องเล็ก น้อยนี้ กลับถูกฮองเฮาสลัดทั้งแล้ว
หลินซีนเยียนขอคารวะสายตาแหลมคมในการ มองคนของโม่จือเฟิงอีกครั้ง มนุษยธรรมของฮองเฮาผู้นี้ไม่เท่าใดจริงๆ
“พระนางฮองเฮาโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิต บ่าว ปรนนิบัติรับใช้พระนางมาสิบปีกว่าแล้ว พระนางได้โปรด ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเพคะ” แม่นมซุนเริ่มฟูมฟายจนน้ำมูก น้ำตาไหล ปราศจากท่าทีอวดดีเฉกเช่นก่อนหน้าที่รังแก หลินซีนเยียนโดยสิ้นเชิง
มนุษย์ ก็เป็นเช่นนี้ ยามมีอำนาจก็คิดว่าตนเลอ เลิศ ยามไร้อำนาจก็คิดว่าตนมิได้เป็นเช่นนั้น
“ทหาร! ลากนางไพร่นี่ออกไป เมี่ยนให้ตาย!” ฮองเฮารอฟังคำวิงวอนขอชีวิตจากแม่นมซุนเสียที่ใด นางบัญชาคำสั่งทันที
กระทั่งหลินซีนเยียน มองเห็นแม่นมซุนที่อายุปูน นี้ร่วงไปกองกับพื้นเช่นนั้น กลับใจอ่อนอยู่ไม่น้อย นาง ถอนหายใจเฮือกยาว ยืนอยู่ข้างหลังโม่จือเฟิง พลาง แอบดึงแขนเสื้อของเขา
โม่จอเฟืองมุ่นหัวคิ้ว เหลือบมองนางด้วยสายตา ถถึงทึ้ง ทว่านางกลับมิได้ออกอาการตื่นกลัว ซ้ำยังสาย ศีรษะอย่างหนักแน่น
ชั่วขณะนั้น แววตาของโม่จื่อเฟิงข้องไข แต่ว่า เขายังคงหมุนกายไปกล่าวกับฮองเฮา “เอาล่ะ ข้าฟัง เสียงครวญคร่ำเวทนาจนเบื่อหูแล้ว ช่างเถิด ข้าก็ไม่ อยากติดใจกับความมะงุมมะงาหราครั้งนี้ของนางนัก วัน นี้ข้าจะละเว้น ฮองเฮานับว่าช่วยธุระข้าหนึ่งอย่าง ไว้ชีวิต หนึ่งชะตานี้เถิด”
เมื่อฮองเฮาได้ฟัง ก็เบิกบานเป็นธรรมดา ถึงแม้จะ เฆี่ยนตายแม่นมซุนก็ไร้คนกล้าทักทัวง แต่ท้ายสุดก็ ทำให้นางสูญเสียบริวารรู้ใจไปหนึ่ง ดังนั้นจึงรีบรับคำ ทันใด “ในเมื่อท่านอ๋องล้วนเอ่ยปากแล้ว หม่อมฉันย่อม ไร้คำเป็นธรรมดา รีบไสออกไปเสีย ยังจะอยู่รกหูรกตา ท่านอ๋องอีกรี”