ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 227
ตอนที่ 227 ชุดเข้าพิธีแต่งงาน
หลินซินเยียนถูกหมอหลวงเฉินกึ่งผลักกึ่งไล่อออกมาน อกห้องครัว ได้แต่เดินส่ายหัวกลับอย่างจนใจ แต่เมื่อเดิน มาถึงในเรือน ก็มองเห็นภายในห้องของตนจากที่ไกลๆว่า บนโต๊ะนั้นจัดวางของไว้หลายอย่างดังที่คาด แต่ที่โต๊ะนั้นมี สองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว โม่จื่อเฟิงนั่งหันหลังให้กับนางจึง เห็นแค่เพียงเงาหลัง และที่นั่งอยู่ตรงข้ามของเขาคืออวิ๋น เสียวอิงที่นั่งหันหน้าให้กับประตูทางเข้า
ใบหน้าขงอวิ้นเสียวอิงเจือรอยยิ้มอันเขินอาย กำลังถือ ตะเกียบคีบขนมชิ้นหนึ่งส่งมาที่เบื้องหน้าของโม่จื่อเฟิง ถึง แม้หลินซินเยียนจะไม่เห็นใบหน้าของโม่จื่อเฟิง แต่ในขณะ ที่อวิ้นเสียวอิงถอนตะเกียบคืนกลับ ในตะเกียบนั้นว่างเปล่า นั่นแสดงว่าเขาทานลงไปแล้ว
“โม่จื่อเฟิง พวกท่านอยู่ในห้องของข้าอยู่นะ พวกท่านรอ ไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือ?” หลินซินเยียนทำมุมปากยิ้มเศร้า สร้อย ผ่านไปนานแค่ไหนกัน นางลืมได้อย่างไรว่าโม่ จื่อเฟิงเป็นผู้ที่ไร้น้ำใจคนหนึ่ง?
ดังที่คาด ความอ่อนโยนของบุรุษคือยาพิษ หากค่อยๆ หลงใหลรสความหวานของยาพิษ กลับได้พบว่า ความรู้สึก อันหวานล้ำเช่นนั้นสามารถกลืนกินจิตวิญญาณเข้าไปโดย ไม่รู้ตัว
นางไม่ได้เดินไปยังที่ห้อง ของนาง แต่กลับเดินไปอีกห้อง ที่อยู่ข้างๆ
จินมู่มองเห็นนาง แล้วหันไปมองบรรยากาศภายในห้อง สีหน้าดูแย่ เขาจึงเรียกรั้งหลินซินเยียนไว้ “แม่นางหลิน…
หลินซินเยียนหันกลับไป ฝืนฉีกยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่คิดถึงวี่จิ่งเล็กน้อย ดังนั้นจึงจะไปดู ว่าซิงจู่ดูแลดีได้ไหม”
สองวันมานี้วี่จิ่งอยู่ในการดูแลโดยชิงจู๋ คนภายในเรือน ล้วนเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากโม่จื่อเฟิง บางทีคง เพราะปัจจัยความไม่มั่นคงในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ถูกลบ เลือนออกไปแล้ว ดังนั้นโม่จื่อเฟิงที่ไม่เคยมีความรักในช่วง ที่ผ่านมาจึงอุ้มวี่จิ่งตลอดทั้งวันอย่างบ้าคลั่งโดยไม่วางมือ แต่ก็ไม่เคยให้เสี่ยวอี้จิ่งออกจากเรือนหลักนี่
แม่นมนั่งประคองเสี่ยวอวี้จิ้งที่ริมเตียง ขณะที่ป้อนนมชิง จู่ก็ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นหลินซินเยียนเข้ามาก็รีบ ถวายความเคารพ แม่นมก็จะลุกขึ้นมาทำความเคารพเช่น กัน หลินซินเยียนจึงรีบโบกมือห้ามเป็นความหมายว่าแม่นม ไม่ต้องเกรงใจ ให้รีบป้อนนมวี่จิ่ง
“สองวันมานี้เขาสบายดีไหม?” หลินซินเยียนนั่งลงที่ ข้างๆแม่นม เอื้อมมือไปจิ้มใบแก้มของเสี่ยงวี่จิ่ง หลังจากที่ นิ้วมือปล่อยออกจากผิวอันขาวนวลก็เด้งคืนตัวทันที ความ รู้สึกที่ยืดหยุ่นเช่นนี้ยากที่จะทำให้คนหยุดมือเสียจริง
นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่เมื่อนึกได้ว่าพฤติกรรมนี้เป็น สิ่งที่โม่จื่อเฟิงชอบ รอยยิ้มนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแข็งค้าง
โชคดี ที่ชิงจู่ตอบคำถามนางจนทำลายความทรงจำอัน น่ากระอักกระอ่วนของนาง “หลายวันมานี้นายน้อยทานเพียงน้ำนมของฮูหยิน ไม่ยอมทานน้ำนมของแม่นม แล้ว ท่านกลับต้องเข้าวัง แต่เมื่อเขาหิวอยู่มื้อสองมื้อก็เลยยอม ทานแล้วเพคะ หลายวันมานี้ก็ทานได้อย่างคุ้นเคยแล้ว จึง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี” หลินซินเยียนยิ้มพลางพยักหน้า เนื่องจาก ภายในใจมีภาพของโม่จื่อเฟิงกับอวิ๋นเสียวอิงตอนก่อนหน้า นี้จึงกลับลืมไปเสียหมด เห็นแม่นมที่ป้อนน้ำนมจนเสร็จ นางก็อุ้มวี่จิ่งขึ้นมา วี่จิ่งราวกับรู้สึกถึงการใกล้ชิดกับมารดา จึงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข สองมือยังคงแกว่งไหวไม่ หยุดจึงทำให้หลินซินเยียนยิ้มบางขึ้นมาอีกครั้ง
ชิงจู่สัมผัสได้ถึงฉากความกลมเกลียวที่อยู่ตรงหน้า จึง หัวเราะพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไร นายน้อยก็ยัง คงชื่นชอบมารดาของตนเอง หม่อมฉันและแม่นมอุ้มเขา ตลอดทั้งวันก็ยังไม่เคยเห็นเขาเบิกบานใจเท่านี้มาก่อน เพคะ”
คำพูดของนางทำให้หลินซินเยียนมีความสุข ภายในใจ ของหลินซินเยียนที่แต่เดิมนั้นก็ละอายใจอย่างยิ่งยวด นาง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แม่ที่ดี ตั้งแต่หลังจากที่เขาเกิดมา หลายครั้งหลายคราก็ไม่เคยได้ทำหน้าที่แม่ให้ดี ในยามนี้ เห็นเขายังชื่นชอบตนอยู่ จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร
“ใช่แล้ว ฮูหยินเพคะ…” ชิงจู่ราวกับอยากจะพูดอะไรบาง อย่างแต่ก็ชะงักลง
หลินซินเยียนเงยหน้าขึ้นมามองนาง “ชิงจู๋ มีอะไรก็กล่าว มาเถิด เจ้าก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรข้าไม่ใช่คนขี้รำคาญจุกจิก”
ชิงจู่พลันหยักหน้าจึงได้กล่าวว่า “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นงาน มงคลสมรสของท่านอ่องกับฮูหยินแล้ว ดูเหมือนว่าฮูหยิน จะยังไม่มีชุดเข้าพิธี.”
“ชุดเข้าพิธีแต่งงาน?” หลินซินเยียนทำหน้าประหลาดใจ ใบหน้าพลันร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ชุดพิธีแต่งงานการจะ ต้องเตรียมโดยข้างั้นหรือ?”
ชิงจู่ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็ยิ่งสงสัย “แต่ก่อนที่ฮูหยิน อยู่ในตระกูลเดิม ผู้อาวุโสในตระกูลไม่มีใครบอกท่านเลย หรือเพคะ? ชุดพิธีแต่งงานของสตรีที่ออกเรือนควรจะต้อง ตัดเย็บทุกฝีเข็มโดยสตรีที่จะออกเรือนจึงจะนับว่าเป็น มงคล และยังเป็นการแสดงฝีมือการเย็บปักถักร้อยของตน ต่อตระกูลสามี แต่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสเดิมทีนั้นก็ เร่งรัดมากอยู่แล้ว ฮูหยินทำชุดด้วยตนเองไม่ทันด้วย สถานการณ์ก็สมควรที่จะได้รับการให้อภัย เพียงแต่เพราะ ว่าประเพณีที่มีมาเช่นนี้ เกรงว่าพ่อบ้านก็คงยังไม่ได้เตรียม ดังนั้น.”
“ข้าทราบแล้ว ขอบใจเจ้ามากชิงจู๋” หลินซีนเยียนไม่ได้ นึกถึงว่าจะมีกฎเกณฑ์เช่นนี้อยู่ด้วย ในสมัยก่อนที่อยู่จวน แม่ทัพ ในฐานะที่นางเป็นบุตรีของอนุภรรยาที่ไม่จำเป็นจะ ต้องเรียกพบ แม่แท้ๆก็ด่วนจากไป ใครจะสามารถบอกสิ่ง เหล่านี้แก่นางได้ ก็ท่านแม่ทัพฮูหยินยังไงล่ะ คงทนรอไม่ ไหวที่จะได้เห็นเรื่องตลกของนาง ดังนั้นเรื่องเหล่านี้นางจึง ไม่รู้ประสีประสา พิธีการที่สตรีต้องแต่งออกจากเรือน นึก ไม่ถึงว่าจะมีกฎมากมายเช่นนี้
ตอนนี้มานึกดูยามแรกที่นางเข้าจวนอ่องมันก็น่าหัวเราะ อยู่หรอก
นางย่อมรู้ว่าชิงจู่มีเจตนาดีจึงได้บอกกล่าวนางล่วงหน้า ดังนั้นนางจึงยิ่งสนิทใจกับชิงจู่มากขึ้นหลายส่วน
มันสายเกินไปที่จะทำชุดแต่งงานด้วยตนเอง โชคดีที่ยัง พอมีเวลา นางนึกถึงร้านตัดเสื้อในกลางใจเมืองจะต้องมี ขายแน่นอน “ชิงจู่ เจ้าพอจะรู้จักร้านตัดเสื้อชื่อดังในเมือง หรือไม่ว่าคือร้านใด?”
“ฮูหยินอยากจะไปซื้อชุดแต่งงานหรือเพคะ? ข้าก็พอจะรู้ แต่ถ้าหากฮูหยินต้องการออกข้างนอกข้าจะต้องติดตาม ท่านไป ท่านอ๋องเคยสั่งไว้เจ้าค่ะ ต่อแต่นี้ไปความปลอดภัย ของฮูหยินข้าจะต้องรับผิดชอบ” ชิงจู่คาดเดาถึงวิธีการ ของนางได้ จึงเข้าใจในทันที
หลินซินเยียนพยักศีรษะ ให้ชิงจู่พานางไปย่อมสะดวก อย่างแน่นอน
“ฮูหยิน เช่นนั้นท่านต้องการไปเมื่อใดเพคะ?” ชิงจู่ถาม ขึ้นมาอีกครั้ง”
หลินซินเยียนหันออกไปมองนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศ กลับค่อนข้างดี “ไม่สู้ไปวันนี้เลยเถิด”
ชิงจู่นิ่งอึ้ง พลันยอบกายคารวะรับคำสั่ง
หลังจากที่หลินซินเยียนเย้าหยอกวี่จิ่งอยู่สักพัก วี่จิ่งก็ตา ปรือและหลังจากที่หาวอยู่หลายครั้งก็หลับลงในที่สุด วี่จิ่ง ยังเล็ก เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันล้วนเป็นการนอนหลับนางเพิ่งจะส่งตัววี่จึงให้กับแม่นม ชิงจู่ก็สับเปลี่ยนหญิงรับ ใช้คนอื่นเข้ามาปรนนิบัติจึงค่อยเตรียมตัวติดตามนางออก ไปข้างนอก
ทว่าในขณะที่ทั้งสองคนเดินมาถึงประตู กลับมองเห็นอ วิ่นเสียวอิงกำลังรั้งแขนของโม่จื่อเฟิงเดินไปทางสวน ดอกไม้อวิ่นเสียวอิงเดินและหันไปยิ้มด้วยอย่างอ่อนโยน กับโม่จื่อเฟิง
โม่จื่อเฟิงกลับไม่ได้หันไปมองนาง แต่ก็ไม่ได้ปัดป้องอวิ๋น เสียวอิงที่กำลังรั้งแขนของเขาอยู่
เมื่อได้เห็นฉากนี้ ภายในดวงตาของหลินซินเยียนกลับ เกิดประกายความสูญเสียโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ด้วยความ ทะนงตน นางจึงไม่ได้เผยท่าทีอันอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นซิงจู่ที่อดหยุดขมวดเรียวคิ้วไม่ได้
“ไปกันเถอะ” หลินซินเยียนไม่มีอะไรจะกล่าว มุ่งออกไป ยังนอกจวนโดยไม่หันกลับไปมองคนทั้งสองที่เดิน พะเน้าพะนอไปยังสวนดอกไม้ด้วยกัน
ชิงจู่ที่เดินตามนางอยู่ด้านหลังกลับจ้องมองไปยังแผ่น
เงาหลังของโม่จื่อเฟิง ดูเหมือนว่าจะมีความสงสัยอยู่บางๆ
อยู่ในแววตา