ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 265
ตอนที่ 265ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
จื่อซูมีสีหน้าฉงนสดับฟังนางถามเช่นนี้ “ได้ยิน แล้ว มีปัญหาอันใดหรือ”
ย่อมมีปัญหาสิ!
เรื่องที่นางกับโม่จื่อเฟิงแยกห้องกันนั้นเหตุใดจึง มีคนรับรู้มากมายเช่นนี้ เหตุใด! มันคือเหตุใด!
ต่อให้ในอกจะหวาดผวา หลินซีนเยียนกลับยัง คงรักษาความสงบเอาไว้มั่น หายใจหนัก หลังจากสูด ลมหายใจเสร็จ นาง พลางกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “เหตุ ใด พวกเจ้าล้วนได้ยินกันหมด”
คำถามของนางยิ่งทำให้จื่อซูรู้สึกอยากรู้อยาก เห็นเข้าไปใหญ่ “ฮูหยิน ท่านร้องเสียงสนั่นเช่นนั้น พวกข้าย่อมได้ยินแน่นอนอยู่แล้ว ข้าทายว่าคนทั้ง สวนล้วนสดับฟังชัดหมดกระมัง โดยเฉพาะเหล่า องครักษ์ที่มีวรยุทธ์ระดับสูงพวกนั้น ดูเหมือนว่า แม้แต่ยิบย่อยพวกเขาล้วนได้ยินทั้งสิ้น สาวใช้ที่มีวร ยุทธ์ครึ่งกลางอย่างข้ายังได้ยินแจ่มแจ้ง นับประสา อันใดกับพวกเขา”
จากคำกล่าวขานของจื่อซู หลินซีนเยียนรู้สึกว่าผุดความพลุ่งพล่านขึ้นผ่านมากลางแวบหนึ่ง นางคิด มาโดยตลอดว่าเสียงของตนได้กดต่ำลงมากแล้ว ไฉนจึงมีความรู้สึกว่าขุดหลุมฝังตัวเองเช่นนี้ ที่แท้ ทั้งโลกมีเพียงนางที่คิดว่าเสียงร้องของตนเบาหวิว คนเดียวรีนี่
ทุกครั้งที่เมื่อนึกถึงเรื่องเช่นนั้น คนรอบกาย จำนวนกว่าสิบคน ไม่สิ อย่างน้อยน่าจะร้อยกว่าคน ขึ้นไปกำลังฟังจากตีนกำแพง นางก็นึกอยากขุดหลุม หลบซุ่มตนเอง เช่นนี้จะให้นางมีหน้าที่ไหนเจอผู้คน ต่อจากนี้ไปเล่า
หลินซีนเยียนคว้าหมับเข้าที่ใบหน้าทั้งสองข้าง ของตน ที่แท้ก็เกินกว่าจะไม่มีหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว!
“ฮูหยิน…จื่อซูเห็นว่าการเคลื่อนไหวของนาง แปลกไป จึงถามด้วยความใส่ใจ “ท่านเป็นอันใดไป เหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่ เช่นนั้นกลับจวนอ๋องสัก หน่อยไหม ข้าจะไปต้มซุปในครัวให้ท่านดื่ม ท่าน อ๋องก็ด้วย กลั่นแกล้งท่านถึงเพียงนี้ ไม่ปราณี ร่างกายของท่าน…”
“จื่อซู!” ในที่สุดหลินซีนเยียนกลั้นไม่ไหวอีกต่อ ไป ตะโกนลอดไรฟันออกมาโกรธแค้น “จากนี้ ไม่ ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก! นับแต่นี้ต่อไป ก่อนกลับถึงจวน อ๋องก็ล้วนไม่ต้องพูดกับข้าอีก!”
จื่อซูเห็นว่าหลินซีนเยียนระเบิดเพลิงโทสะยิ่ง ใหญ่เยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก ระยะเวลาหนึ่งยังมีความ เกรงกลัวอย่างตะลึงงัน กุลีกุจอถอยไปนั่งอย่าง สงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างโดยฉับไว แต่ว่า ไม่ว่านางจะ คิดอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้ฮู หยินไม่สดชื่น กลับไปนี้ต้องขอคำชี้แนะจากแม่นม
อาวุโสเสียหน่อยแล้ว
ยามที่รถม้ากลับมาถึงจวนอ๋อง ท้องฟ้าได้มืด สงัดลงแล้ว
ไม่กี่คนเพิ่งลงจากรถม้า ก็มีคนโผงผางเข้ามา บอกว่าอ๋องอู่เสวียนกำลังรอฮูหยินมารับประทานมื้อ ค่ำ หากว่าฮูหยินกลับมาถึงแล้วให้รีบไปทันพลัน
เนื่องจากคำพูดที่ได้ยินในรถม้า บัดนี้หลินซีน เยียนยังคงไม่ได้สลัดความอึดอัดไป พอนึกถึงเรื่องนี้ ขึ้นมา นางยังโอดครวญกับอาชญกรรมร้ายของโม่ จื่อเฟิงอยู่เต็มเปี่ยม ดังนั้นยามที่ตามบ่าวที่นำทางไป ถึงห้องโถง สีหน้าของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เป็นอะไรไปเล่า โจวหลี่ยังกล้าดูหมิ่นเจ้าอีกรี” โม่จื่อเฟิงอุ้มเสี่ยวสวี่จิ้งนั่งอยู่บนตำแหน่งหลัก เงยหน้า ขึ้นมองสีหน้าปั้นยากของนาง จึงออกปากถาม
หลินซีนเยียนโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม นางถูก คนทำให้กลายเป็นตัวตลกคนสำคัญในโลกใบนี้แล้วเขายังทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น นางกลับยิ่งรู้สึก ในอกว่าไม่ทัดเทียม ก่อนออกคำสั่งกับผู้ที่รับใช้ ปรนนิบัติรอบด้านอย่างเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก “พวก เจ้าออกไปให้หมด!”
หลังจากกลุ่มคนถวายคำนับเสร็จก็รีบถอยร่น ออกไป ผู้ที่เดินเป็นคนสุดท้ายยังมีน้ำใจปิดประตู ห้องให้เสียสนิท
โม่จื่อเฟิงเห็นว่านางกระทำเช่นนี้ กังขาอยู่กลาง อก จึงเอ่ยถาม “สรุปว่าเป็นอันใดแน่”
“โม่จื่อเฟิง! ท่านยังมีกะใจมาถามว่าข้าเป็นอะไร เจ้าเช่นนั้น…ยามที่เช่นนั้นข้า เหตุใดไม่บอกข้าว่า อย่าส่งเสียง! ข้าเพิ่งรู้วันนี้ แท้จริงแล้วพวกเราสอง คนทำเรื่องนั้น คนที่อยู่ในสวนแห่งนี้ล้วนได้ยินหมด แล้ว! ท่านวิปริตรี คนได้ยินมากมายเพียงนั้นยังไม่ได้ กระทบต่อความรู้สึกบนเนื้อตัวท่านเลยรี”
“แค่เรื่องนี้โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าไฟ โกรธของนางนั้นมมีที่มาที่ไปจากแห่งใด “ตั้งแต่เล็ก จนโตข้างกายข้าก็มีองครักษ์ ล้วนเป็นผู้ยอมพลีกาย ถวายชีพ แม้กระทั่งทุกครั้งยามที่ข้าต้องปลดทุกข์ พวกเขาล้วนซ่อนในมุมมืดคอยอารักขาข้า อีกอย่าง จากที่วรยุทธ์ในระยะยี่สิบจ้างของพวกเขาล้วนต้อง ได้ยินชัดเจน นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาสมควรทำ”
“แต่ แต่นั่นต้องไม่รวมตอนที่พวกเราทำเรื่อง นั้น!” หลินซีนเยียนเหตุใดจึงมีความรู้สึกตึกตัก ประเภทนี้ เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องส่วนตัวของตนได้รับ การรุกรานบ้างเลยหรือ นางบังคับให้ตนเองสงบคำ ลง บอกตัวเองอยู่ไม่หยุด ทะเลาะเบาะแว้งไม่มี ประโยชน์อันใด สื่อสาร การสื่อสารถึงเป็นทางออก เดียวในการแก้ไขปัญหานี้!
ดังนั้น หลังจากนางมลายูไฟโทสะของตนลง จึง กล่าวต่อ “ท่านอ๋อง เช่นนั้นท่านไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่อง ส่วนตัวของพวกเราสองคน นอกจากพวกเราสองคน แล้ว ผู้ใดก็ไม่สมควรพบเห็น และได้ยินหรอกหรือ”
“เจ้าน่าจะรู้ ผู้มีอำนาจบารมีจำนวนมากมักถูก ลอบสังหารในเวลาใด” โม่จื่อเฟิงยิ้มเย็น “ก็คือยามที่ เจ้าพูดว่าต้องการพื้นที่ส่วนตัวทั้งหมดนั่นแหละ รู้ หรือไม่ว่าแต่ละปีผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ตายในหอนาง โลมมากน้อยเท่าใด พวกมือสังหาร ก็อาจถูกเลือกให้ ลงมือในยามที่พวกเขาต้องการเวลาส่วนตัว เทียบกับ ชีวิตแล้ว พื้นที่ส่วนตัว นับว่าเป็นอะไร”
ตั้งหลายปีมาแล้ว เขาใช้ชีวิตภายใต้สายตาของ องครักษ์ จากความไม่คุ้นชินแรกเริ่ม จนในที่สุดชิน จนเป็นเรื่องปกติ ในทรรศนะของเขา ไม่ได้มี “ส่วน ตัว” สองคำนี้ตั้งนานนมแล้ว
ทั้งที่หลินซีนเยียนอยากจะโต้แย้งคำที่เขากล่าว ทว่าคำติดที่ปาก กลับรู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นมีหลักการ อยู่มาก พิจารณาจากมุมมองของความปลอดภัย เฝ้า คุ้มกันควรจะเข้าสู่กระบวนการอารักขาในเวลาเช่นนี้ แต่ว่า ทฤษฎีเป็นเพียงทฤษฎี ในมุมของความรู้สึก ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ยอมรับไม่ได้!
นางหย่อนกายนั่งลงข้างโม่จื่อเฟิงอย่างโกรธ หนีบๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ราวกับอยากให้มันช่วยดับ เพลิงโทสะคุกรุ่นในกลางใจลง
เห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ โม่จื่อเฟิงคงภอนหายใจ ออกหนึ่งเฮือก ลูบไล้กระหม่อมนางอย่างรักใคร่ เอ็นดู “เอาเถิด หากว่าเจ้าไม่ชอบจริงๆ ล่ะก็ ต่อไป เวลาเช่นนี้ข้าจะให้พวกเขาถอยร่นออกไปจากสวน เสีย”
“เช่นนั้นท่านไม่กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยหรอกรี” เห็นว่าเขาประณีประนอม กลางอกของหลินซีนเยียน ก็ไม่อดกลั้นอยู่
“ข้า มิอาจให้หญิงเพียงคนเดียวเช่นเจ้าตายต่อ หน้าข้าแน่” ในน้ำเสียงของโม่จื่อเฟิง แฝงไปด้วย ความอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ได้สังเกตถึง
ประโยคที่ไม่จัดว่าเป็นถ้อยคำหวานหู กลับ ประสบความสำเร็จในการทำให้หัวใจของหลินซีนเยียนอ่อนยวบลงชั่วขณะ ฉับพลันนางรู้สึกเสียใจ ภายหลังที่ตะคอกตะเบ็งเสียงใส่เขา ใช้ตลอดชีวิต ใต้สายตาจับจ้องของผู้อื่น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ลำบาก และยากเข็ญยิ่งนัก ทว่าในตำแหน่งฐานันดรของเขา หากอยากมีชีวิตยืนนาน ก็จำเป็นต้องอดกลั้นกับเรื่อง เหล่านี้ให้ได้ ที่จริงแล้วเขาก็ทุกข์เข็ญมากสินะ แต่ นางกลับโวยวายไร้เหตุผลไปแล้ว อย่างน้อยในมุม ของเขาแล้ว นางเป็นพวกตีโพยตีพายอยู่ไม่น้อย
“โม่จื่อเฟิง พวกเราจะต้องไม่ตาย” บนใบหน้า ของหลินซีนเยียนแย้มยกรอยยิ้ม ไฟโกรธก่อนหน้า มลายหมดสิ้นแล้ว นางเอียงศีรษะซบลงบนไหล่ กำยำของเขา จ้องมองเสี่ยวสวี่จิ้งในอกเขาที่ยัง หลับตาพริ้มอย่างน่ารัก
นางคิด วันเวลาเช่นนี้ หากว่าสามารถเป็นเช่นนี้ เรื่อยไปจะดีงามเพียงใดหนอ
ทว่า ความจริงมักจะโหดร้าย ยามที่นางรู้สึก เป็นสุข บุคคลทั้งสองที่มาโดยกะทันหัน กลับทำลาย ความรู้สึกเป็นสุขนี้ลงอย่างไม่ไยดี
ด้านนอกประตู เซียวฉางเยว่และอวิ่นเสียวยิงยืน ไหล่ชนไหล่ มองเห็นฉากที่หลินซีนเยียนอิงแอบแนบ ชิดกับโม่จื่อเฟิงอยู่ สีหน้าของทั้งสองล้วนแข็งที่ออยู่ ครู่อย่างกลั้นไม่อยู่