ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 383
ตอนที่ 383 การบาดเจ็บที่สาสมทั้งสองฝ่าย
ไม่จื่อเฟิงเคร่งขรึม ไม่ได้เอ่ยคำ นานแสนนาน เขาท่าเพียง หันหน้าไปทอดมองยังทิศทางข้างนอกหน้าต่าง นอกบ้าน หน้าต่าง วันนี้เป็นวันที่แสงแดดจ้า ทวาทอตกกระทบบนกิ่ง ไม้ ราวกับถูกกิ่งก้านต้นไม้ปรับเปลี่ยนเป็นเส้นเรียวเล็กแห่ง สีสัน ภายในโลกแห่งเส้นเรียวเล็ก ฝุ่นละอองลอยฟัง กระจายไม่ขาด ความเงียบสงบทำให้ผู้คนลืมเลือนทุกสิ่งทุก อย่าง
หนีหว่านมองตามสายตาของเขาออกไปนอกหน้าต่าง แต่ กลับไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่กันแน่
เนิ่นนาน ให้หลัง หลังจากที่ไม่จื่อเพิ่งบอกใบ้ให้ท่านหมอผู้ นั้นออกจากห้องไปแล้ว ในที่สุดจึงกล่าวประโยคหนึ่งอย่าง แช่มช้า “เตรียมความพร้อมออกเดินทางกลับเรือนตระกูลห รงเถิด”
“ตระกูลหรง?” หนีหว่านเข้าใจว่าตัวเองเพื่อนแล้ว เบิก ตากว้าง และถามด้วยความขยาด “ตระกูลหนึ่งแรกเริ่มมอง ว่าท่านเป็นเด็กนอกคอก เพื่อจะควบคุมท่าน ยิ่งร่วมมือกับ ตระกูลอนเล่นงานท่านอย่างเหี้ยมเกรียม พิษประหลาดใน กายท่านก็ไม่ใช่ว่าได้รับมาจากตระกูลหรงทั้งสิ้นหรือ ปัจจุบันท่านมีอำนาจทัดเทียมกับตระกูลทรงอย่างไม่ง่ายดายนัก ตระกูลทรงเองก็ไม่กล้าจะแหย่ท่านอย่างง่าย แล้ว ไฉนท่านจึงยังอยากไปยังเรือนนั้นอีก…
โจื่อเฟิงดึงสายตากลับมา สบสายตากับหนีหวานอย่าง ไม่ลดละ เขาขยับลำคอ ยิ้มอย่างเคืองขุ่น “ตอนนี้ ขายัง อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
มีชีวิตอยู่ ศัพท์ที่มองดูแล้วแสนธรรมดาคำหนึ่ง สำหรับ เขาที่เป็นแบบนี้แล้วกลับเห็นชัดว่าฟุ้งเฟ้อตั้งเท่าไร
“มีชีวิตอยู่… เป็นสาย ” หนีหว่านพึมพำ หยาดน้ำตาหลั่งรินลงมา
“เมื่อก่อนแต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยนึกกลัวความตาย มัก คิดอยู่เสมอ หากว่าต้องตายก็จะลากคนของตระกูลหรงไป ตายด้วยกัน เนื่องจากปราศจากความหวาดจึงไม่มีความ กลัว คนที่เดินเท้าเปล่ามักไม่กลัวผู้ที่สวมรองเท้า ดังนั้นตระ กูลหรงจึงกลัวข้า ทว่าตอนนี้ ข้ามีเสียวจึง มีซีนเยียน เพื่อ พวกนางแล้ว ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
น้ำเสียงของโจื่อเฟิงค่อนข้างสะอื้น กล่าวต่อไป “หนี หว่าน เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ข้ากลัวความตายเหลือเกิน ข้า กําลังคิด หากว่าเขาตายไปแล้ว เช่นนั้นตระกูลหรงจะล้าง แค้นพวกนางสองแม่ลูกอย่างไร ยังมีพวกที่คนเคยตายด้วย น้ำมือของผ้าเหล่านั้นอีก ครอบครัวของพวกเขาจะปล่อย พวกนางสองแม่ลูกหรือไม่ เป็นไปไม่ได้! ขอแค่าตายลงพวกนางสองแม่ลูกก็จะตายอย่างอนาถกว่าขานัก ดังนั้น เพื่อ พวกนาง ข้าไม่อาจตายได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ หนีหว่าน
หนีหว่านทั้งฟังทั้งร่ำไห้ พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่าเพียง กล่าวรำพัน “เข้าใจเจ้าค่ะ เข้าใจ”
“ตระกูลหรงอยากควบคุมข้า ทว่าตระกูลเองก็มีพลังที่จะ สามารถทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ร่างกายข้าในปัจจุบันได้ ร้าวรานอย่างสาหัสสากรรจ์แล้ว พิษประหลาดนั้นได้ถูกเลือด กิเลนกดทับเอาไว้จนถึงขีดสุดแล้ว กระทั่งขาเองก็ล้วนไม่ล่วง รู้วันใดวันหนึ่งจะถูกโลหิตกิเลนสัพยอกคืน จากนั้นเรือนร่าง จะดับลงกะทันหัน มูลค่าเรือนร่างของข้าในปัจจุบัน ตระกูลห รงจะทำใจให้ขาตายไปได้อย่างไร ดังนั้น ไปตระกูลทรง สามารถรักษาชีวิตของข้าไว้ได้…
“ทว่าท่านอ๋อง ตระกูลหรงไม่อาจช่วยท่านรักษาชีวิตไว้ ด้วยความประสงค์ดีขนาดนั้น จะต้องคิดทุกวิถีทางมาบีบ บังคับท่าน ควบคุมท่าน… ” หนีหว่านยังคงไม่เห็นด้วย ต้น ตระกูลหนึ่งที่สามารถลงมือสังหารกระทำต่อเด็กห้าขวบแบบ นั้น ยังเฝ้ารอจะช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งอย่างมีน้ำใจ? การไปครั้ง นี้ สิ่งที่จะต้องชดใช้คืนคืออะไร นางไม่กล้าไปคิดให้ถี่ถ้วน จริงๆ
“สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ก็พอแล้ว และค่างวดของทุก สิ่ง ล้วนคุ้มค่า” ไม่จื่อเฟิงค่อนข้างเมื่อยล้าแล้ว กล่าว ประโยคนี้จบก็หลับตาลง ราวกับไม่เต็มใจสานต่อบทสนทนาครั้ง อีก
ความอ่อนเพลียบนใบหน้าของเขาทำให้หนีหว่านมองเห็น ชัดในสายตา หนีหวานกัดปากล่างแน่น ไม่อยากให้ตนเอง ร่ำไห้ออกเสียง ทว่าท้ายที่สุดแล้วยังคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ ฟูมฟายขึ้นมา
โม่จื่อเฟิงกลับไม่ได้หยุดยั้งหยาดน้ำตาของนาง หลับตา ลงอย่างสงบเช่นนั้น เสมือนว่าได้นอนหลับไปแล้วเรียบร้อยก็ ไม่ปาน
ทว่าหนีหว่านรู้ เขาไม่ได้หลับ เขาเพียงรอให้นางสงบงัน ลงก็เท่านั้น รอกระทั่งหนีหว่านสงบลงในท้ายที่สุดแล้ว นางเช็ดคราบ
น้ำตา และถาม “เจ้านายหากว่าจะกลับตระกูลหรงล่ะก็
เช่นนั้นแม่นางซีนเยียนจะทําเช่นไร
ไม่จื่อเฟิงพลันเปิดเปลือกตาขึ้นมา เขาไม่ได้หลับมาโดย ตลอดจริงๆ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย พลางกล่าว “บางที ไม่ต้อง ให้ข้าปริปาก นางเองจะเป็นฝ่ายร้องขอถอยห่างในระยะนี้
หนีหว่านงงงวย “เพราะเหตุใด
แววโศกเศร้าในดวงตาของไม่จื่อเฟิงปรากฏแวบหนึ่ง ก่อนจะหายไป น้ำเสียงค่อนข้างลังเล แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วย แววช่วยไม่ได้และเคราะห์ดี “เชียวฝาน มีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่นาน และเขียวฝาน… ก็รักนาง
หนีหว่านยังคงไม่เข้าใจว่า ไม่จื่อเพิ่งหมายความว่า อย่างไรกันแน่ เพียงแต่ไม่จื่อเฟิงไม่เอ่ยคำ นางเองก็เอ่ยถาม ไม่ออก ทำเพียงตระเตรียมทุกสิ่งอันเป็นพร้อมจะออกเดิน ทางต่อไปอย่างเงียบเชียบ
แสงอาทิตย์ย้ายจากทิศตะวันออกมายังด้านตะวันตกแล้ว ยามโพล้เพล้ ในที่สุดหลินซีนเยียนก็ฟื้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์ อันหลับใหล นางถลาเข้าไปยังในห้องของโม่จื่อเพ่งอย่างไม่ รีรอ ก็เห็นไม่จื่อเฟิงเอนกายครึ่งหนึ่งอยู่บนเตียง หนีหว่าน กำลังยกโจ๊กใสถ้วยหนึ่งขึ้นป้อนเขา
ขอบตาของนางเปียกชื้น แต่กลับกล้ำกลืนทำนบน้ำตา กลับเข้าไปอย่างหนักแน่น เดินไปยังข้างเตียง กล่าวกับหนี หวาน “ให้ข้าเถิด”
หนีหว่านพยักหน้า มอบถ้วย ในมือให้แก่หลินซินเยียน จากนั้นจึงหยุดกายลุกขึ้นถอยออกมายังด้านข้าง
หลินซีนเขียนป้อนโจ๊กแกโม่จื่อเฟิงอย่างอ่อนโยน ไม่ ชื่อเฟิงกินโจ๊กอย่างสงบเงียบ ภาพโดยรวมนั้นหวานเสียจน ออกเลียน โดยเฉพาะสายตาของทั้งสองสอดประสานกัน อย่างไม่วางตา อาณาบริเวณล้วนเจิ่งนองด้วยทำที่แห่งห้วง เสน่หาลันออกมา
รอกระทั่งดื่มโจ๊กเสร็จแล้ว ไม่จื่อเพ่งพลันมั่นคิ้วแผ่วเบา”ซีนเยียน สองวันมานี้ เจ้าเคยไปเยี่ยมเยียวผ่านหรือไม่
ได้ยิน “เซียวฝาน” สองคำนี้ ในอกของหลินซีนเขียนก็ กระตุกเกร็ง ชามเปล่าในมือเกือบจะร่วงลงบนพื้น สองวันมา นี้เนื่องจากไม่จื่อเฟิง หัวใจทั้งดวงของนางผูกติดอยู่บนเรือน กายของเขา ล้วนยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมเซียวผ่านเลย
ความผิดบาปอันรุนแรงพลันประเดประดังสู่ต่อมความรู้สึก นานัปการของนาง นางรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง โดยสิ้นเชิง เวลาเช่นนี้กลับมองข้ามเซียวฝาน ถึงแม้มนุษย์ ต่างก็เห็นแก่ตัว ทว่าข้อนี้ก็ไม่ควรปรากฏบนกายของนาง อยู่ดี เหตุใดนางจึงทำให้ตนเองทำข้อผิดพลาดอันร้ายแรง เพียงนี้!
นึกคิดถึงการพลีเพื่อนางของเซียวฝาน นางก็นึกอยากจะ แทงดาบทะลุตนเองสักหนึ่งดอก เหตุใดนางจึงทำให้ตนเอง ทําข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงได้เพียงนี้
นางวางถ้วยลงอย่างไม่ปรานี ยังไม่ทันได้กล่าวสัก ประโยคเดียวหมุนกายถลาออกไปแล้ว
ไม่จื่อเพ่งมองเงาหลังอันสับสนและโทษตัวเองของนาง ทั้ง ที่มุมปากแย้มรอยยิ้มอยู่แท้ๆ ทว่ากลางแววตากลับเอ่อล้น ด้วยความโศกเศร้า
ห้องของเขียวผ่านห่างจากห้องของไม่จื่อเฟิงไม่ไกลนัก ระยะห่างไม่เกินสิบจ้างเท่านั้นเอง ฟ้ามืดแล้ว ภายในห้องจุดไฟเอาไว้ มีกลิ่นหอมเจือจางของโจ๊กใสลอยคลุ้งออกมา
ยามที่หลินซีนเยียนผลักเปิดประตูออก ก็มองเห็นเขียว ผ่านกำลังเอนกายครึ่งท่อนอยู่ข้างเตียง มือหนึ่งของเขาถือ ถ้วยโจ๊กใสเอาไว้ มืออีกข้างก็ถือซ้อน ราวกับอยากดื่มโจ๊ก ทว่ามือข้างที่ถือซ้อนกลับสั่นระริกไม่หยุด จะอย่างไรก็ได้ หนทางตักซ้อนโจ๊กใสป้อนเข้าในปากได้ โจ๊กใสสาด กระเซ็นลงบนอาภรณ์ของเขา โจ๊กค่อนข้างร้อนลวก ทำเอา ผิวหนังบริเวณอกของเขาแดงเป็นปื้น
ชั่วขณะนั้น ดวงเนตรของหลินซีนเยียนก็แดง นึกถึงยาม ที่นางเป่าโจ๊กให้โม่จื่อเฟิง ป้อนโจ๊กแก่ไม่จื่อเฟิงอย่างระ แวดระวัง เซียวผ่านกลับอยู่กลางห้องคนเดียวเช่นนี้เพื่อที่จะ ได้กินโจ๊กคำหนึ่งจึงพยายามไม่หยุดหย่อน นางก็ค่อนข้างจะ ทนไม่ได้ ความผิดบาปแต่เดิมนั้นกลับยิ่งเพิ่มเป็นการโทษตัว เองเจ็ดส่วนเข้าไปอีก
“ศิษย์พี่ ข้ามาแล้ว” หลินซีนเยียนสะอื้น กึ่งวิ่งกึ่งเดินมายัง ข้างเตียง รับเอาถ้วยในมือของเขามา ยังหยิบเอาผ้าฝ้าย ขาวด้านข้างมาช่วยเขาเช็ดตรงบริเวณแผ่นอก เรียวปากเอ่ย อย่างต่อเนื่อง “ขอโทษ ขอโทษ ศิษย์พี่ ข้าขอโทษท่าน….