ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 434
ตอนที่434 เปลี่ยนพระราชวงศ์
“พี่สาวเหตุใดข้ายิ่งฟังยิ่งเลอะเทอะนัก”อี้เซิงถอนหายใจปกติยังคิดว่าตัวเองฉลาดเหตุใดหลังจากอยู่กับหลินซีนเยียนมีหลายเรื่องที่เขาฟังไม่เข้าใจ?
หลินซีนเยียนยิ้มจางๆเอื้อมมือไปชี้ระหว่างหัวคิ้วอี้เซิง“เจ้าคิดสิฮ่องเต้นั่นมีความสามารถเช่นนี้กลับขุดถอนรากถอนโคนพ่อเจ้าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอนสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวการเปลี่ยนพระราชวงศ์แต่ละประเทศก็มีเพียงตระกูลลับไม่กี่ตระกูลเท่านั้นเองราชสำนักแคว้นหมันเหมือนเข้าสู่ทางสิ้นเอกราชเลยทีเดียวฮ่องเต้นั้นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่พระราชวงศ์แต่ยังมีอำนาจของตระกูลลับด้วยเวลาเช่นนี้ตระกูลลับที่เป็นเบื้องหลังเขาทำเป็นไม่เห็นจะเอาอำนาจที่โอบอุ้มอยู่ในมือให้คนที่ถูกกระทำหรือ?ไม่แน่นอน ดังนั้นข้าคิดว่าคนของตระกูลลับน่าจะเคลื่อนไหวในเร็วนี้แค่พวกเขามาข้าก็มีวิธีลงพันธสัญญากับพวกเขาถ้ามีความช่วยเหลือจากคนตระกูลลับเช่นนั้นข้าจะไม่หนีออกไปได้ง่ายรึ?”
ที่นางเล่าสุดท้ายทำให้คนที่ท่าทางไม่เข้าใจอย่างสวี่ห้าวและอี้เซิงพยายามฝืนฟังให้เข้าใจแต่อี้เซิงยังทนไหวจึงถาม“งั้นพี่สาวเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนตระกูลไหนจะมา?”
หลินซีนเยียนคิดเล็กน้อยพูดว่า“ข้าคิดว่าทั้งสามตระกูลจะมาแต่ที่สามารถช่วยแคว้นหมันได้น่าจะมีเพียงตระกูลเดียวถ้าข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นตระกูลหนานหลิงเพราะว่าอำนาจพวกเขาใกล้กับที่นี่มากที่สุดหลิงฮ่าวกำเริบเสิบสานที่แคว้นหมันได้น่าจะเป็นความสัมพันธ์สนับสนุนเบื้องหลังของราชวงศ์”
“พี่สาวข้าว่าที่เจ้าพูดมีเหตุผลดีทีเดียว”อี้เซิงยกนิ้วโป้งให้หลินซีนเยียนกวนจนนางหัวเราะฮ่าๆ
“ที่จริงเพียงแค่ยกความสัมพันธ์เบื้องหลังขึ้นมาเดาได้ไม่ยากรอให้อี้เซิงโตแล้วเจ้าจะวิเคราะห์สถานการณ์ได้มากกว่าข้าแน่นอน“หลินซีนเยียนพูดด้วยความประทับใจ
อี้เซิงพยักหน้า“อื้มข้าเรียนรู้ได้ดีแค่มีพี่สาวการตายของหลิงฮ่าวกับเจ้ามีความเกี่ยวสัมพันธ์กันมากงั้นถึงแม้ตระกูลหลิงจะมาแล้วก็น่าจะกลายเป็นพันธมิตรกับเจ้า”
“เรื่องนี้มีความสัมพันธ์อะไร?”ดูเหมือนหลินซีนเยียนขึ้นถึงเรื่องนี้นิดหน่อยจึงอธิบายอย่างไม่ลนลาน“เมื่อกี้ข้าไม่ไบอกหรือนอกจากสองตระกูลนี้จะมาเมื่อตระกูลหลิงอยากคุ้มครองอำนาจของราชวงศ์แคว้นหมันเช่นนั้นจะทำลายอีกสองตระกูลข้าเป็นพันธมิตรกับอีกสองตระกูลนั้นมันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
สวี่ห้าวและอี้เซิงฟังจนนับถือชื่นชม
“แม่นางเป็นจูเก๋อในร่างหญิงจริงๆ”แม้แต่สวี่ห้าวยังอดไม่ได้ยกนิ้วโป้งให้นาง
หลินซีนเยียนแค่ยิ้มท่าทางอ่อนโยนไม่มีท่าทีอิ่มอกอิ่มใจเพราะการวิเคราะห์ของตัวเองแม้แต่นิดเดียว
ระหว่างที่สองสามคนนั้นคุยกันรถม้าค่อยๆหยุดลงด้านหน้ารถม้ามีคนตะโกนไปถึงพระราชวังหย่งเหอ
ไม่นานโจว่เฉิงเดินเข้ามาด้านหน้ารถม้าด้วยตัวเองพูดกับคนในรถม้าว่า“พระราชนัดดาอี้เซิงหลังจากนี้พระองค์ทรงปทอดพระเนตรเสด็จอาฮ่องเต้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ห้าวกระโดดลงจากรถม้าก่อนหลังจากนั้นประคองอี้เซิงกับหลินซีนเยียนลงมาสามคนยืนอยู่หน้ารถม้าถึงจะเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แค่มองออกไปทั้งหมดเป็นหัวคนแน่นขนัดบนพระราชวังหย่งเหอถุกล้อมรอบจนเบียดเสียดเยียดยัดใบหน้าทหารทุกคนล้วนปิติยินดีที่ชนะจนได้รับชัยชนะครั้งสุดท้าย
ประตูพระราชวังหย่งเหิถุดทำลายไปแล้วด้านในคือทหารที่รอต้อนรับกันหนาแน่นแต่เมื่อเทียบกับทหารด้านนอกประตูหน้าพวกทหารในประตูล้วนเศร้าหมองมีหลายคนที่อายุยังเยาว์วัยในดวงตายังซ่อนน้ำตา
มือโจว่เฉิงจับมีดยาวข้างเอวเดินสับๆไปถึงประตูพระราชวังอี้เซิงเดินตามเขาโดยมีสวี่ห้าวคุ้มครองหลินซีนเยียนก็เดินท้ายสุดอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทเสด็จออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะพระราชนัดดาพระองค์มาเข้าเฝ้าพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดโจว่เฉิงแม้จะดูเกรงใจแต่ในน้ำเสียงกลับมีท่าทางเหยียดหยาม
ในประตูพระราชวังท่ามกลางผู้คนมีคนประคองชายอ่อนแอมายืนด้านหน้าคนๆนั้นอายุราวสามสิบกว่าปีหน้าตาคล้ายคลึงกับอี้เซิงสักสามส่วนเขาสวมชุดมังกรสีเหลืองดวงตาแห้งเหี่ยวมองไปทางประตูตอนเห็นอี้เซิงในดวงตารู้สึกฮึกเหิมหวั่นไหวขึ้นมาชัดเจน
“เจ้า เจ้าเป็นโอรสของพี่ข้าจริงๆหรือ?”ฮ่องเต้แคว้นหมันตรัสแม้ลมปราณยังอ่อนแอแต่ยังพอมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง
อี้เซิงพยักหน้ามองฮ่องเต้แคว้นหมันด้วยสายตาแปลกๆพูดตามความเป็นจริงชายคนนี้สังหารพ่อบังเกิดเหล้าของตัวเองเขาคงจะเกลียดของเขาแต่พอนึกถึงพ่อตัวเองใช้กำลังบีบบังคับแม่ตัวเองทำพวกเรื่องเลวทรามต่ำช้าออกมาเพราะต้องการให้สายเลือดคงอยู่เขาจึงรู้สึกโกรธแค้นพ่อตัวเองฉะนั้นได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้แคว้นหมันเขาไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป
ไม่รักไม่เกลียดแค่รู้สึกว่าเห็นคนแปลกหน้าที่น่าสงสารคนหนึ่งดิ้นรน
ฮ่องเต้แคว้นหมันทรงทอดถอนพระทัยทรงไม่ด่าประจานอี้เซิงแค่ทรงไม่มีทางเลือกจึงตรัส“นึกไม่ถึงว่าเขายังเหลือสายเลือดเอาไว้แต่น่าเสียดาย……ช่างเถิดถ้าสวรรค์ต้องการทำลายแคว้นหมันของข้าเช่นนั้นข้าก็จำใจ”
เวลานี้คำพูดอ่อนแอขี้ขลาดเช่นนี้ไม่ควรออกมาจากปากผู้เป็นกษัตริย์ยอมสละการต่อต้านยามประเทศเสียเอกราชยังน่าละอายกว่าตัวเองทำจนสูญเสียเอกราชเสียเอง
อี้เซิงพูดกับฮ่องเต้ตรงหน้าด้วยความไม่ละอาย“สวรรค์ที่ไหนกัน?โชคชะตาของคนควรจะอยู่ในกำมือของตัวเองตอนนี้เจ้าตกอยู่ในสนามแห่งนี้ไม่ใช่เพราะผลที่ตัวเองทำ?เจ้าไม่มีความสามารถจะมาเป็นฮ่องเต้เหตุใดยังไปแย่งชิงตำแหน่งอ่องเต้นั้นเจ้าแย่งมาได้แล้วปกป้องได้ไหวหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นหมันกระทบกระเทือนจิตใจจากคำพูดที่อี้เซิงกล่าวออกมาเขามองเด็กอายุสิบสองสิบสามด้วยความแปลกใจไม่เคยคาดเลยว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเด็กคนหนึ่ง
จากโบราณกาลการเปลี่ยนราชวงศ์คงเลี่ยงภัยสังหารบ้าคลั่งไม่พ้นคนมากมายยังคิดว้าวุ่นว่าขั้นตอนนั้นจะเหี้ยมโหดเกินไปหรือไม่แต่ฟังเด็กคนนี้พูดมาเช่นนี้ภัยสังหารบ้าคลั่งที่แสนเหี้ยมโหดไม่ใช่ขั้นตอนที่ราชวงศ์จะเลือกรัชทายาทเลยคนที่สามารถแบกรับประเทศหนึ่งได้ถ้าแม้เพียงภัยสังหารบ้าคลั่งยังแบกรับไม่ได้เช่นนั้นจะรักษาคุ้มครองประเทศได้อย่างไร?
ดังนั้นกษัตริย์สมัยหนึ่งไม่ว่าเขาจะใช้วิธียึดพระราชบัลลังก์อย่างไรขอแค่เขาได้นั่งตำแหน่งนั้นมันก็สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพจากโบราณมาถึงตอนนี้มีฮ่องเต้ตั้งเท่าไหร่ที่สูญเสียเอกราชเพราะขั้นตอนขึ้นเป็นกษัตริย์ได้มาง่ายเกินไปเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในเรือนกระจกไม่เคยผ่านสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อไม่เข้าใจคุณค่าในตำแหน่งนั้นก็ไม่อาจรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้
ดังนั้นตอนแรกที่เขาอาศัยกำลังภายนอกเพื่อให้ได้แคว้นหมันก็เพื่อได้หว่านเมล็ดทำลายตัวเองในเวลาต่อมาหรือ?เพราะว่ากำลังของเขาเองไม่ยิ่งใหญ่มากพอเขาจึงถูกคนอื่นจับกุมไร้ซึ่งอิสระหรือเพื่อถูกคนอย่างโจว่เฉิงโค่นล้มประเทศ?
คำพูดของอี้เซิงไม่เพียงทำให้ฮ่องเต้แคว้นหมันทรงตกพระทัยแม้แต่เหล่าขุนนางใหญ่ที่รายล้อมได้ยินคำพูดของเขาก็ตกใจมากเช่นกันใครจะคิดถึงว่าเด็กคนหนึ่งยังละเอียดถี่ถ้วนกับปัญหาใหญ่ผิดมหันต์เช่นนี้มากกว่าพวกเขาที่รับราชการในพระราชสำนักทั้งชีวิต