ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 438
ตอนที่438 พิราบบินพันลี้
ขณะที่หลิงหงกล่าวประโยคนี้ออกมานั้น คนรอบข้างต่างมองเขาด้านแววตาประหลาด หลินซีนเยียนไม่ได้เอ่ยคำ ทำเพียงกระตุกยิ้มเย็นเยียบตรงมุมปาก แต่เป็นเขาเองซึ่งถูกคนรอบด้านมองด้วยสายตาแปลกประหลาดที่ดูแล้วยิ่งอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้า พวกเจ้ามองข้าเช่นนี้ทำการใด” ในที่สุดหลิงหงก็หนักแน่นไม่ไหว เอ่ยถามข้อฉงนในใจออกมา
อี้เซิงแค่นเสียงเย็น กล่าว “ต้องการให้พวกเราอ้อนวอนท่าน เป็นไปไม่ได้? หากท่านอยากไปพูดสนธิสัญญากับโจว่เฉิงก็ไปเถิด พวกเราไม่ขัดขวางท่าน ตอนที่ท่านดูหมิ่นพี่สาวของข้าแบบนี้ ข้าก็ไม่อยากทำความร่วมมือกับคนอย่างท่าน”
“พี่สาวเจ้า?” ราวกับหลิงหงเพิ่งจะรู้สถานะของหลินซีนเยียน ก่อนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ต่อให้เป็นพี่สาวเจ้าแล้วอย่างไร ก็ไม่ใช่เพียงคนที่ถูกกักขังคนหนึ่งเท่านั้น นางมีคุณสมบัติอะไรมาพูดจากับข้า”
หลิงหงหันหน้าไปถามหลี่ห่ายอีก “ผู้อาวุโสหลี่ ก็พูดสักหน่อยสิ ท่านก็สามารถทนเห็นเด็กคนนี้ตีตนเสมอพวกเรา? พวกเราเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งตระกูลใหญ่ เด็กตัวเล็กๆ นับว่าเป็นอะไร ถือเกือกให้ตาแก่ก็ล้วนไม่เหมาะ…”
เดิมทีเขาก็นึกอยากยืมข้อนี้ดึงความสัมพันธ์กับหลี่ห่ายให้ใกล้ชิดกว่าเดิม แต่ใครจะรู้ว่าเขาพูดเช่นนี้ หลี่ห่ายกลับหัวเราะขึ้น เพียงแต่การหัวเราะนั่นเป็นเสียงสรวลแห่งการเสียดสี
ได้ยินเพียงหลี่ห่ายเอ่ย “แน่นอนข้าย่อมไม่ถือสาจะนั่งด้วยกันกับแม่นางหลิน อนึ่งข้ายังรู้สึกว่ามีเกียรติยิ่ง สามารถมีโอกาสได้นั่งร่วมกับแม่นางหลิน ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เชียว”
“เจ้า…” ราวกับหลิงหงคิดไม่ถึงว่าหลี่ห่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ต่อหลินซีนเยียน ในขณะนี้ก็ค่อนข้างรับไม่ได้แล้ว “ผู้อาวุโสหลี่ ท่านคงไม่ได้ทำเพื่อออกความเห็นตรงกันข้ามกับข้าจึงจงใจกล่าวเช่นนี้กระมัง”
หลี่ห่ายไหวไหล่ กล่าวกลั้วหัวเราะ “ท่านคิดว่าท่านวิเศษวิโส? แม่นางหลินกับตระกูลหลี่ของข้าค่อนข้างมีความเป็นมา ข้าเคารพนาง แต่ไม่ใช่เพราะว่าท่าน”
ท่าทางของหลี่ห่าย ยังคงทำให้หลิงหงเกิดข้อกังขาในใจ เขามองทางหลินซีนเยียนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เห็นแววสงบและผ่อนคลายบนใบหน้าของนาง ราวกับไม่ได้เห็นพฤติกรรมของเขาและหลี่ห่ายอยู่ในสายตา เวลานี้เขาจึงเพิ่งตระหนัก เด็กสาวคนนี้เกรงว่าจะมิใช่บุคคลที่หาตัวจับง่าย หากเปลี่ยนเป็นเด็กสาวตัวเล็กคนอื่น มองเห็นบุคคลที่มีสถานะเช่นนี้อย่างเขา ไม่มีใครไม่หวั่นเกรงและแสดงความเคารพหรอก
“เจ้าเป็นใคร” หลิงหงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ในที่สุดเวลานี้ท่านก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องถามถึงสถานะของข้าแล้ว?” มุมปากของหลินซีนเยียนยังคงเปื่อนยิ้มเย็นเยียบ กลางดวงตาทอประกายวาบ “หากข้าบอกท่าน นามของข้าคือหลินซีนเยียนเล่า?”
“หลินซีนเยียน…” แรกเริ่มหลิงหงกลับไม่ได้ตอบสนองต่อชื่อนี้ ทว่าหลังจากพึมพำหลายรอบแล้ว ฉับพลันเขาตื่นตระหนกไร้สี ชี้ปลายจมูกของหลินซีนเยียนและตะโกนกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้า! นายน้อยตระกูลหลิงของข้าตายด้วยเงื้อมมือของเจ้า!”
“นั่นแหละ” หลินซีนเยียนปราศจากวี่แววการปิดบัง อย่างไรก็ต้องถูกเขารู้อยู่ดี ไม่สู้เป็นฝ่ายบอกเขาด้วยตัวเองดีกว่า ให้เรื่องฉับพลันแก่เขา ทำให้เขาไร้ซึ่งเกาะป้องกันแม้สักนิด
หลิงหงคิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างเรียบง่ายเพียงนี้ “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้าโดยทันที?”
“กลัว” หลินซีนเยียนดื่มชาหนึ่งอึกโดยไม่ลังเล ก่อนกล่าว “เพียงแต่ อยู่ในนี้ ท่านฆ่าได้หรือ”
“เจ้าเด็กบ้าบิ่น!” หลิงหงโกรธจนหน้าแดงก่ำ คำพูดที่หลินซีนเยียนเอ่ยออกมา สำหรับเขาแล้วง่ายต่อการยั่วยุให้แดงเดือด เขาโกรธจนชักดาบยาวติดกายข้างลำตัวออกมาหมายจะฟันไปบนใบหน้าของหลินซีนเยียน “นังเด็กสมควรตาย ข้าจะทำลายรูปแมของเจ้าก่อนให้เจ้าอยู่แบบซังกะตาย จะกรีดเฉือนผิวหนังเจ้าทีละแผ่นทีละชิ้น!”
หลินซีนเยียนไม่ได้ขยับ ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงดาบยาวเล่มนั้นเตรียมจะจู่โจมถึงเค้าหน้าของตนเองโดยสิ้นเชิง อีกทั้งนางยังเงยหน้าไปส่ายศีรษะทางด้านสวี่ห้าวอีกต่างหาก
สวี่ห้าวยังไม่ทันเข้าใจความหมายของนาง ก็เห็นหลี่ห่ายหยัดกายขึ้น ใช้ดาบกันดาบของหลิงหงเอาไว้ ส่วนที่ดาบของทั้งสองคนฟาดฟันกัน ห่างจากปลายจมูกของหลินซีนเยียนไม่ถึงหนึ่งฟุต
“หลี่ห่าย นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร” หลิงหงตวาดเกรี้ยว ออกแรงบนมือ ให้ดาบยาวของหลี่ห่ายร่นออกครึ่งส่วน
หลี่ห่ายกลับไม่ได้มีท่าทีจะถอยห่างสักนิด “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร แม่นางหลินได้ร่วมมือกับตระกูลหลี่ของข้าแล้ว ดังนั้นตระกูลหลี่ไม่อาจให้นางบาดเจ็บแม้สักเสี้ยว”
“หลี่ห่าย ท่านไม่ต้องหลอกลวงคนแล้ว! เห็นตระกูลหลิงของพวกเราเป็นคนไร้ค่าในสายตาจริงๆ เชียวหรือ” หลิงหงถูกหลี่ห่ายหักหน้าต่อสาธารณชน ซ้ำยังต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นใบหน้าจึงแดงก่ำด้วยความโกรธขึ้นไปอีก และไม่สนใจต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลอีก ชูดาบยาวขึ้นแล้วฟาดฟันกับหลี่ห่ายต่อ
เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว เหล่าผู้ติดตามของตระกูลหลี่และตระกูลหลิงก็เริ่มขยับเขยื้อน ช่วงเวลานี้ ภายในสวยกลายเป็นสนามรบโกลาหล
ท่ามกลางความโกลาหล พวกเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบก็คือหลินซีนเยียนและคนอื่น สวี่ห้าวขมวดคิ้วมองคนที่กำลังสั่นไหวเหล่านั้น อดกล่าวไม่ได้ “จะให้พวกเขารบกันอย่างนี้ต่อไป? ความเป็นตายของพวกเขานั้นข้าไม่ได้สนใจ ก็แค่กลัวจะดึงการสังเกตของทหารนอกประตูเข้ามา”
ถ้าหากถูกโจว่เฉิงรู้ว่าคนเหล่านี้มาที่นี่ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
“เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเข้ามาอย่างง่ายดายขนาดนั้นหรือ องครักษ์ที่เฝ้ายามเที่ยงยังจะลุกขึ้นอย่างมีสติอีกรึ” หลินซีนเยียนยิ้มจางๆ
จากการย้ำเตือนของนาง สวี่ห้าวพลันระลึกได้ มุ่งความสนใจที่กองกำลังภายใน และขยายขอบเขตความสนใจของตนเอง ที่แท้ก่อนหน้าที่รู้สึกได้ถึงเหล่าองครักษ์ที่เฝ้ารอบด้านของสวน นาทีนี้ต่างก็จมดิ่งสู่ภวังค์มึนเมา
สมกับเป็นตระกูลใหญ่เร้นลับ ลงมือภายในราชวังประเทศหมันก็ยังเรียบร้อยหมดจดขนาดนี้ นี่กลับทำให้สวี่ห้าวอดเลื่อมใสขึ้นมาไม่ได้
“พี่สาว เช่นนั้นพวกเขารบกันต่อไปพวกเราก็ไม่ไปยุ่งหรือ” อี้เซิงเองก็อดมุ่นคิ้วไม่ได้ ถึงแม้ปัญหาองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ถูกคลายแล้ว แต่ว่าคนสองฝ่ายรบรากันแบบนี้ต่อไป ก็ไม่ใคร่จะเหมาะสมกับเรื่องที่พวกเขาจะเจรจาเชื่อมสัมพันธ์กระมัง
หลินซีนเยียนไม่ได้ตอบคำของอี้เซิงโดยพลัน แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองแผ่นนภา นิ้วมืออดเคาะลงบนโต๊ะหินไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
อี้เซิงเห็นการเคลื่อนไหวของนิ้วมือนางเคาะลงบนโต๊ะ ก็อดพิศวงไม่ได้ หากว่าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ การกระทำนี้ เป็นการกระทำที่อ๋องอู่เสวียนโม่จื่อเฟิงชอบทำมาก และไม่รู้ว่าหลินซีนเยียนไปเรียนการกระทำนี้มาตอนไหน นั่นอธิบายได้หรือไม่ ในจิตวิญญาณ อันที่จริงนางเองก็รำพันถึงคนๆ นั้นอยู่
เพียงแต่ ความคิดของหลินซีนเยียน อี้เซิงไม่อาจล่วงรู้ แต่เป็นตอนที่เขากำลังอดกลั้นไม่อยู่ที่จะให้สวี่ห้าวออกหน้าไปแยกขบวนคนทั้งสองฝ่ายนั้น กลุ่มคนหนึ่งก็โรยตัวลงมาจากหลังคาห้องอีก และผู้นำทัพคนนั้น เป็นคนที่พวกเขารู้จัก เสี่ยวหลง
“เสี่ยวหลง เหตุใดท่านกลับมาอย่างรวดเร็วปานนี้” อี้เซิงงุนงงมาก เสี่ยวหลงกลับบ้านเกิดไปหาโม่จื่อเฟิง เวลาอันสั้นนี้ จะพอให้เขากลับมาที่ไหนกัน
เสี่ยวหลงเหลือบมองคนสองฝ่ายที่กำลังไหวติงอยู่ภายในสวนแวบหนึ่ง จึงกล่าวขึ้น “ว่ากันแล้วข้าเองก็เคราะห์ดีอยู่ บนทางขากลับบังเอิญพบคนของเจ้านาย ในมือของพวกเขามีพิราบบินพันลี้อยู่ ดังนั้นจึงนำเสียงสะท้อนของเจ้านายกลับมาอย่างรวดเร็ว”
“พิราบบินพันลี้?” ยังคงเป็นสิ่งที่อี้เซิงเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก และเพราะอายุยังน้อย ความใคร่รู้ก็มากกว่าคนอื่นสักหน่อย “พิราบบินพันลี้คืออะไร”
“นั่นหรือ ก็คือการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพิราบส่งสาส์น ความเร็วมากกว่าพิราบส่งสาส์นทั่วไปหลายเท่านัก เจ้านายข้าใช้เวลากว่าสิบปีกว่าจะฝึกเลี้ยงกลุ่มขนาดนั้นออกมาได้” เสี่ยวหลงอธิบายต่ออี้เซิงอย่างไม่หน่ายแหนงใจ