ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 441
ตอนที่441 งานวิวาห์ของหนีหว่าน
นึกถึงโม่จื่อเฟิง สามารถมีชีวิตรอดในความไม่ลงรอยของตระกูลขุนนางเร้นลับเหล่านี้ อีกทั้งยังพัฒนากองกำลังของตนเองออกมา เขามีความไม่ง่ายดายมากมายเพียงใดกัน
หลินซีนเยียนทอดถอนใจแผ่วเบา มักจะคิดถึงโม่จื่อเฟิงขณะที่ไม่ตั้งใจเสมอ ทำให้หัวใจของนาง อดรวดร้าวเป็นระลอกไม่ได้ เขาล้วนปฏิบัติต่อเซียวฝานเช่นนั้น นางกับเขาได้ลิขิตว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่านางยังคงปล่อยวางไม่ลง วางไม่ลง…
หลังจากผ่านการหารือกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ทั้งสามตระกูลใหญ่เกือบจะร่างวางแผนอันเสร็จสมบูรณ์แล้ว สีท้องฟ้าก็ดึกดื่นมาก ดังนั้นทั้งสามนำขบวนคนของตนเองมาแล้วก็จรลีออกจากสวนห่างไกลของราชวังแห่งนี้
ลมยามเย็นยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ รอจนพวกเขาจากไปแล้ว อี้เซิงเองก็หาววอดออกมา มองไปที่หลินซีนเยียน กลับมีท่าทางแน่นิ่งมองท้องนภาอยู่ ในดวงตาของนาง มีความโศกเศร้าและอาวรณ์เป็นอย่างมาก ทำให้ขั้วหัวใจของเขาก็เจ็บปวดตามอยู่บ้าง
“พี่สาว…” อี้เซิงเอาเสื้อกันลมพาดไว้ตรงหัวไหล่ของหลินซีนเยียน มุ่นคิ้วกล่าว “ท่านกำลังคิดถึงเขาอยู่หรือ”
หลินซีนเยียนเรียกสติกลับไปมองนิ่งๆ นางย่อมรู้แน่อยู่แล้วว่าเขาในความหมายของอี้เซิงคือใคร แต่ว่า จะให้นางยอมรับว่าคิดถึงเขาโดยไม่ตั้งใจนั้น นางกลับพูดออกปากไปไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงทอดถอนใจยาวครั้งแล้วครั้งเล่า
“พี่สาว คนๆ นั้นเคยทำกับท่านขนาดนั้น ท่านกลับยังรักเขาอยู่หรือ” แวววิบวับในดวงตาของอี้เซิง ราวกับกลับสู่ยามที่ก่อนหน้าเขาจะจากไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้น ทอดมองผู้ชายคนนั้นที่ปฏิบัติต่อหลินซีนเยียนอย่างไม่สมเหตุเพียงนั้น ในใจของเขามีเพียงความคิดเดียว ก็คือต้องช่วยหลินซีนเยียนออกจากข้างกายเขาให้ได้
แต่ว่า เขาคาดไม่ถึง เป็นไปตามกงล้อโชคชะตา จนท้ายที่สุด คนๆ นั้นก็ร่วมเดินด้วยกันกับหลินซีนเยียน เขายากจะจินตนาการนัก คนๆ หนึ่งเช่นนั้น ก็สามารถปลุกใจเพื่อผู้หญิงนางหนึ่งเป็น
หลินซีนเยียนก้มหน้างุด ไม่ได้คำถามของอี้เซิง ทำเพียงความเศร้าโศกที่มุมปากของนางกลับยิ่งแผ่ขยายขึ้น “ใช่สิ ข้ามันด้อยค่านักใช่หรือไม่”
“…” ในใจของอี้เซิงเจ็บปวด ส่ายหน้าติดต่อกัน “ไม่ ข้ารู้ว่าพี่สาวต้องไม่ใช่คนหนึ่งที่หุนหันพลันแล่นแน่ หากเขาทำให้ท่านรักแล้ว จะต้องมีเหตุผลสมควรที่ท่านรักเขา เพียงแต่…ข้าแค่กลัวว่าพี่สาวจะได้รับความเจ็บปวดก็เท่านั้น”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ในอกของหลินซียเยียนก็ตื้นตันอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางอดดึงอี้เซิงเข้ามาสู่อ้อมกอดไม่ได้ “มีน้องชายอย่างเจ้านี้ ดีจริงๆ”
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไร สิ่งที่เขาเลือก ยังคงเชื่อมั่นนางเป็นอันดับแรก กลับไม่ใช่ข้องใจนาง สงสัยนาง
“พี่สาว หากว่าเขารักท่านล่ะก็ ท่านคิดว่าเหตุใดเขาจึงทำเรื่องทำร้ายจิตใจท่านเหล่านั้นกัน ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกระหว่างท่านสองคน ดังนั้นข้าไม่กล้าวิพากษ์ความจริงใจของเขาที่มีต่อท่านอย่างง่ายดาย แต่ว่าข้าเชื่อว่าท่านต้องรับรู้ได้แน่ สรุปแล้วเขาจริงใจหรือโป้ปด”
อี้เซิงไม่รอนางตอบคำ ก่อนกล่าวต่อไป “ดังนั้นข้าคิด หากว่าพวกท่านรักอีกฝ่ายจริงๆ แล้วล่ะก็ สามารถให้โอกาสอีกฝ่ายสักครั้งได้หรือไม่ อย่าพลางพลั้งทั้งชีวิตเพียงเพราะเรื่องเข้าใจผิด”
หลินซีนเยียนเงียบขรึมครู่หนึ่ง ขอบตารื้นร่องรอยน้ำตาขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว พลางกล่าวสะอื้น “อี้เซิง เจ้าโตแล้วจริงๆ…ยังคิดรอบคอบกว่าพี่มากนัก…”
อี้เซิงยิ้มเจื่อนๆ ในรูม่านตาเองก็มีความโศกเศร้าอย่างไม่อาจปิดบังไว้มิด “แต่ว่าข้ายังเป็นผู้หญิงช้าไปสักหน่อยแล้ว หากว่าเร็วกว่านี้อีกนิด บางทีข้าอาจจะช่วยเหลือธุระได้ คงไม่ปล่อยให้เรื่องราวบานปลายถึงขั้นนี้แน่”
“เด็กโง่ เจ้าทำได้ดีมากพอแล้ว พวกเราที่นั่น เด็กหนุ่มสิบกว่าปีคนหนึ่งไปเรียนยังต้องให้พ่อแม่คอยรับส่งอยู่เลย” หลินซีนเยียนรู้สึกปรีดานัก อดลูบกระหม่อมของเขาไม่ได้ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า ไม่ว่าเขาจะมีความทุกข์ร้อนหรือไม่ ผลลัพธ์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เขาใช้วิธีปฏิเสธผลักไสข้าขนาดนั้น บางทีสิ่งที่เขาเผชิญหน้าอยู่ก็คือความยากเข็ญแบบที่ข้าจินตนาการไม่ออกก็เป็นได้ ตอนที่เขาตัดสินใจเลือก เขาไม่ได้เชื่อมั่นข้า เขาไม่ได้ให้โอกาสข้าเลือกเลยสักนิด ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวลำพัง…นี่ไม่ใช่ปัญหาของผลลัพธ์แล้วหรือ แต่เป็นปัญหาของความเชื่อใจระหว่างข้ากับเขา”
อี้เซิงไม่เข้าใจความรู้สึก ดังนั้นจึงฟังอย่างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ทำได้เพียงจ้องมองนางด้วยแววตาเลื่อนลอย
หลินซีนเยียนกระชับเสื้อกันลมบนหัวไหล่มั่น แย้มรอยยิ้มหนึ่งออกมา พลางกล่าว “เอาล่ะ ดึกมากแล้ว กลับไปนอนเถิด พิธีปราบดาภิเษกในวันพรุ่งยังมีเรื่องลำบากมากมายให้ต้องเผชิญอีก”
อี้เซิงพยักหน้า หลังจากส่งนางกลับถึงห้องแล้วจึงค่อยกลับเข้าห้องของตนเอง เพียงแต่ ค่ำคืนนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถหลับอย่างสงบได้โดยแท้จริงกันเล่า
แสงทิวาทอกระจัดกระจายจากทางทิศตะวันออกผ่านก้อนเมฆส่วนบนของภูเขาอันปกคลุมด้วยหิมะ รัศมีทรงกลดสีเหลืองจางๆ ส่องประกายถึงความงดงามของสิ่งก่อสร้างกลางหุบเขา ในโลกภายนอกอันไกลโพ้นที่ตัดขาดการติดต่อเช่นนี้ วันนี้ก็เป็นวันที่ไม่ธรรมดาวันหนึ่งเช่นเดียวกัน
เนื่องจากนายน้อยหรงอวี๋นแห่งตระกูลหรงต้องรับอนุในวันนี้ อนุที่จะรับนั้นยังเป็นสาวใช้ข้างกายอ๋องอู่เสวียนผู้มีความเป็นมาทางสายเลือดไม่สะอาดเกลี้ยงคนนั้น…หนีหว่าน
หน้าคันฉ่องทองแดง หนีหว่านที่สวมชุดแดงทั้งกายกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ตนเอง เนื่องจากคนข้างกายของโม่จื่อเฟิงล้วนเป็นบุรุษเพศ มีเพียงนางคนเดียวที่เป็นองครักษ์หญิง ดังนั้นจึงไร้ซึ่งคนที่ไว้วางใจมาช่วยนางแต่งกาย ซ้ำนางยังปฏิเสธคนของตระกูลหรงมาทรงเครื่องให้ตนเอง ดังนั้นจึงทำได้เพียงดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น
เสียงเคาะบนประตูดังขึ้นสามครั้ง หลังจากที่นางตอบรับเสียงต่ำแล้ว คนข้างนอกประตูจึงผลักเปิดประตูเดินเข้ามา
หลังจากที่องครักษ์คุ้มกันโม่จื่อเฟิงเข้ามาแล้ว ก็ถอยร่นออกไปภายใต้สัญญาณของโม่จื่อเฟิง โม่จื่อเฟิงมองหนีหว่านในคันฉ่องทองแดง ใบหน้าไม่มีการแสดงออก น้ำเสียงกลับยิ่งเย็นชามาก
“หนีหว่าน เจ้าไตร่ตรองชัดแจ้งแล้ว?” หัวคิ้วโม่จื่อเฟิงค่อยๆ มุ่นขึ้น
หนีหว่านพยักหน้า “เขาบอกว่าเขามีวิธีการที่สามารถทำให้ท่านต่อต้านความหนาวเย็นของบึงยะเยือกได้”
“เจ้าเชื่อ?” โม่จื่อเฟิงยิ้มเย็น
หนีหว่านส่ายหน้า “ไม่เชื่อ แต่ว่าข้ารู้ว่ามีช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับท่าน หากว่าข้าไม่แสร้งทำเป็นเชื่อเขา เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าพวกเราไม่มีทางหนีทีไล่แล้วจริงๆ?”
“แต่ว่า งานวิวาห์ทางสายเลือดของผู้หญิงคนหนึ่งแฝงนัยยะอะไรอยู่ เจ้าเข้าใจนะ? ทำอย่างนี้คุ้มค่าหรือไม่” ในน้ำเสียงของโม่จื่อเฟิงเจือความไม่แน่ใจอยู่ หากว่าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่ลังเลให้หนีหว่านไปรับหน้าที่อันนี้เลยสักนิด เนื่องจากในมุมมองของเขา ขอเพียงเรื่องประสบความสำเร็จ การสูญเสีญส่วนบุคคลไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเขา
ทว่าตอนนี้ นับตั้งแต่หลังจากพบกับหลินซีนเยียนแล้ว เขาก็เริ่มที่จะค่อยๆ พิจารณาในส่วนสิทธิและอารมณ์ซึ่งในฐานะคนๆ หนึ่งพึงมี
“เจ้านาย นี่ไม่เหมือนคำที่ท่านจะเอ่ยได้เลย” หนีหว่านยิ้มขมขื่น ก่อนกล่าว “ใช่…นางเปลี่ยนท่านแล้ว”
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า
โม่จื่อเฟิงไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่ในลำคอเจือความปวดแสบเล็กน้อย “นางเคยพูดกับข้า เจ้า…เป็นผู้หญิงที่ดีมากนางหนึ่ง”
“ผู้หญิงที่ดีกว่านี้ ก็ไม่ใช่นาง และไม่อาจเข้าสู่กลางใจของท่านได้” หนีหว่านหัวเราะพลางกล่าวประโยคนี้ออกมา เพียงแต่ยิ้มอยู่แท้ๆ แต่สีหน้านั้นกลับไม่น่ามองกว่าการร้องไห้เสียอีก “ดังนั้น สำหรับข้าแล้ว วิวาห์ทางสายเลือดไม่สำคัญเลยจริงๆ บางทีชั่วชีวิตนี้ ข้าคงไม่อาจพบเจอใครคนหนึ่งที่เสียสละทุกสิ่งเพื่อข้าโดยไม่เกี่ยงแล้ว”
ตลอดเรื่อยมา หนีหว่านไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเองเลยแต่ไรมา ทว่าวันนี้ บางทีในอกคงอึดแน่นด้วยลมหายใจ นางจึงกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้