ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 471
ตอนที่ 471 ค่ำคืนที่ไม่ธรรมดา
พระอาทิตย์ร้อนแผดเผากลางศีรษะ สามตระกูลใหญ่รวมกองกำลังเพื่อชุมนุมกัน คาดคำนวณคร่าว ๆ ประมาณห้าสิบหกสิบคน ทุก ๆ คนล้วนมีอูฐคนละหนึ่งตัว เดินทางกันเรื่อย ๆ บนท่ามกลางเนินทะเลทราย ดูแล้วคล้ายกับเส้นบางๆหนึ่งเส้น
ไม่รู้ว่าเหตุใด หลินซีนเยียนรู้สึกเสมือนว่ามีสายตาจับจ้องมาที่ร่างกายของตนเองตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่นางเสาะหาต้นตอของสายตานั้น กลับไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย
ลมเริ่มพัดมาแล้ว ทำให้ค่อย ๆ เกิดฝุ่นทรายขึ้น นางจึงเอาผ้าพันคอด้านหนึ่งมาพันปิดปากและจมูกไว้ เหลือไว้เพียงดวงตาดำกลมสุกสกาวคู่หนึ่ง ด้วยเหตุบังเอิญ นางหันกลับไปเหลือบมองไปด้านหลัง สายตาที่ก่อนหน้านี้ยังหาร่องรอยไม่พบ ทว่ากลับเห็นท้ายสุดของขบวน บนอูฐผอมแก่ตัวหนึ่งแบกชายชราที่ก้มหมอบอยู่ เหมือนกับว่าเหนื่อยแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะนอนคว่ำฟุบหมอบโยกไปมาบนหลังอูฐ
ในใจของนางสั่นเทา อดไม่ได้ที่จะเรียกคนที่อยู่ด้านข้าง “เสี่ยวหลง”
เสี่ยวหลงขี่อูฐมาใกล้ยิ่งขึ้น แล้วถาม “แม่นางมีอันใด”
“เจ้าไปดูท่านลุงคนนั้นหน่อย อย่าให้เขาตกลงมาจากหลังอูฐ” หลินซีนเยียนขมวดคิ้ว คำที่พูดออกมานั้นแม้แต่ตัวนางเองยังประหลาดใจ
เสี่ยวหลงก็มึนงงเช่นกัน ในสายตาเหมือนกับมีอันใด แต่เขาก็กลับไม่พูดอันใดออกมา เพียงแค่ขานรับหลังจากนั้นก็ขี่อูฐไปท้ายสุดของขบวน
หลินซีนเยียนได้เหลือบดู ก็พบว่าเสี่ยวหลงกำลังจะปลุกเรียกชายชราคนนั้น ซึ่งชายชราคนนั้นยังเหลือบมองมาทางนางประเดี๋ยวหนึ่งก่อน นางจึงถอนสายตาออกมาได้อย่างโล่งใจ
เพียงแค่ ตอนที่นางถอนสายตาหันศีรษะกลับมานั้นไม่ทันได้เห็นว่าในสายตาของชายชราคนนั้น เต็มไปด้วยความชัดเจนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ความซาบซึ้งใจเพียงเท่านั้น
จวนใกล้ถึงแหล่งขุมสมบัติเกิงจีน บรรยากาศในขบวนก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แรกเริ่มผู้นำทั้งสามตระกูลใหญ่ยังพูดคุยสนทนากันอย่างคึกคักมาก แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าที่เคร่งขรึมกัน ทุกคนเหมือนกับกำลังวางแผนอันใดกันอยู่
เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ในที่สุดคนกลุ่มหนึ่งได้มองเห็นเทือกเขายาวติด ๆ กันอยู่ไกล ๆ ในพื้นที่ทะเลทรายโล่งกว้างนี้ กลับมีเทือกเขายาวแบบนี้ช่างคล้ายกับสิ่งมหัศจรรย์ ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วละก็ ใครจะเชื่อว่าในทะเลทรายโล่งกว้างนี้จะมีแหล่งน้ำและต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ และยังก่อตัวเป็นเทือกเขายาวอีก
“ถึงแม้ว่ามองแล้วดูใกล้ แต่คาดการณ์แล้วก็ยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งวัน อย่างไรวันนี้ก็มืดแล้ว ข้าว่าพวกเราตั้งค่ายพักกันที่นี่ก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มเดินทางเข้าไปในภูเขากัน”หรงเย่เดินไปหน้าสุดขบวน มองดูชัยภูมิโดยรอบแล้วพูดขึ้น
“ความคิดเห็นของข้าเหมือนกับประมุขหรง เข้าไปในภูเขาตอนมืดค่ำมีแต่อันตรายมากมาย และก็ เจ้าดูเนินทรายเล็ก ๆที่แปลกประหลาดไกล ๆ นั่น สีของทรายตรงนั้นกับที่อื่นดูไม่ค่อยเหมือนกัน อาจจะเป็นคนที่มีช่องทางเหล่านั้นบนเมืองมาขุดรอบนอกสถานที่เกิงจีน” หลิงสู่กล่าว
ผ่านคำชี้แนะของเขา ทุกคนก็เห็นตามนั้นจริง ๆ กับความผิดปกติของเนินทรายเล็ก ๆตรงนั้น ถ้าตรงนั้นเคยเป็นสถานที่เกิงจีนที่เคยถูกขุดจริง ๆ เยี่ยงนั้นโครงสร้างด้านล่างคงจะมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ถ้ามีหลุมโพรงลับแล้วละก็ เดินทางมืดค่ำคงมีอันตรายเป็นอย่างมาก อยู่ในทะเลทรายแล้วตกลงไปในหลุมโพรงลับ ถึงแม้มีวรยุทธ์สูงส่ง บางทีก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้
หลี่อวี๋นซ่านพยักหน้าเล็กน้อย นับว่าเห็นด้วยกับความคิดเห็นของอีกสองตระกูล
ประมุขของสามตระกูลใหญ่ล้วนมีความคิดเห็นตรงกัน ในเมื่อไม่มีผู้ใดเปิดปากโต้แย้ง ดังนั้นทุกคนก็ทำการลงจากหลังอูฐแล้วเริ่มตั้งกระโจม
หลินซีนเยียนกระโดดลงจากอูฐโดยมีเสี่ยวหลงประคองอยู่ และทั้งคู่กำลังจะประคองหนีหว่านลงมาอีกคน ในขบวนนี้ พวกเขาสามคนนับว่าเป็นแขก ดังนั้นจะให้ลงมือทำงานนั้น เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงมือพวกเขา พวกเขาสามารถหาที่พักบริเวณนั้นที่สะอาด ๆแล้วนั่งลงได้
ท่านลุงที่รับผิดชอบย่างแกะคนนั้นก็ลงมาจากหลังอูฐแล้วเช่นกัน แต่ว่าวันนี้ไม่มีแกะย่างแล้ว มีเพียงแค่ขาแกะแห้งจำพวกนั้น แต่ว่าฝีมือการทำอาหารของเขาไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ขาแกะแห้งจะผ่านการจัดการจากมือของเขามาแล้ว ก็ยังคงส่งกลิ่นหอมโชยมา
อยู่ ๆ หลินซีนเยียนก็อยากจะขอบคุณหรงเย่ขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดก็ได้เชิญท่านลุงที่ทำอาหารเป็นคนนี้มาในขบวนด้วย นี่คือทางเลือกที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด เปรียบเทียบกันแล้วดีกว่าพาเสบียงอาหารมาอีก ชีวิตเยี่ยงนี้ฟุ่มเฟือยมากอย่างเห็นได้ชัด
เพราะว่าวันพรุ่งนี้จะถึงจุดมุ่งหมายสุดท้ายแล้ว ฉะนั้นค่ำคืนนี้ดูเหมือนมีความกดดันกันอยู่บ้าง ทุกคนกินอาหารกันอย่างรีบเร่งแล้วต่างก็กลับไปพักผ่อนในกระโจมตนเอง ดูจากภายนอก เสมือนกับว่าทุกคนล้วนไม่ได้ทำอันใดกันมากเกินไป เพียงแค่ต้องการพักผ่อนกันเท่านั้น แต่หากว่าสำรวจอย่างละเอียดนั้น จะพบได้ไม่ยากว่าในทุกตระกูลจะมีคนหนึ่งถึงสองคนไปไปมามาระหว่างทุกกระโจม
มุมปากของหลินซีนเยียนประดับด้วยรอยยิ้ม นั่งอยู่ด้านหน้ากระโจมของตนเอง แล้วหันกลับไปถามเสี่ยวหลงที่อยู่ด้านข้าง “อาศัยสายตาของทหารชื่อโหวดู เจ้าคิดว่าพวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่”
เสี่ยวหลงคาดไม่ถึงว่าอยู่ๆนางจะถามเยี่ยงนี้ ฉับพลันในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสายตาชื่นชมแทน เขายิ้มแล้วพูด “แม่นางช่างมีสายตาแหลมคม คาดไม่ถึงว่าท่านจะมองออกแล้ว”
หลินซีนเยียนหัวเราะเบา ๆ ไม่พูดจาใด ๆ นางรอเขาพูดต่อ
“ไม่ผิด คนพวกนั้นที่ไปไปมามาระหว่างกระโจม ดูภายนอกเหมือนกับทำสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน คล้ายกับไปยืมไฟบ้าง ส่งน้ำบ้าง หรือไปเอาผ้าห่มบ้าง ถึงแม้ว่าคนที่ไปไปมามานั้นจะไม่เหมือนกัน แต่ข้าคิดว่าข้อมูลที่พวกเขาถ่ายทอดกันนั้นเหมือนกันอย่างแน่นอน”เสี่ยวหลงพูดอธิบายด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
“ถ่ายทอดข้อมูลอย่างนั้นหรือ?” หลินซีนเยียนกระพริบตาถี่ ๆ แต่อารมณ์บนหน้ากลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย นางคิดแล้วคิดอีกแล้วพูด “ดูแล้วสามตระกูลใหญ่ล้วนเตรียมตัวไว้ล่วงหน้ากันเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้คนที่สามารถเข้าไปในขุมสมบัติเกิงจีนจะเหลือสักกี่คน”
เสี่ยวหลงพยักหน้า “แม่นางท่านยังคิดได้ฉลาดหลักแหลมกว่าข้ามาก แม่นาง ท่านก็ควรรีบไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ไม่ค่อยราบรื่นอย่างแน่นอน คืนนี้……ข้าจะคุ้มกันอยู่หน้าประตูกระโจมเอง”
หลินซีนเยียนก็ไม่ได้เกรงใจเขา ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาพิเศษ นางก็ไม่กล้ารับรองว่าคืนนี้จะปลอดภัยแน่นอน นางไม่เข้าใจวรยุทธ์ หนีหว่านวันนี้ก็นับว่าเป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ดังนั้นถ้ามีอันใดเกิดขึ้นจริง ๆแล้วละก็ การที่พวกนางต้องปกป้องตนเองยังเป็นเรื่องที่ลำบากมาก มีเสี่ยวหลงคอยคุ้มกันก็ถือว่าได้ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีกขั้น
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว” หลินซีนเยียนพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่ลำบาก เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” เสี่ยวหลงไม่กล้าโค้งคำนับแม้แต่น้อย ในใจของเขาการคุ้มกันหลินซีนเยียนจะเป็นหน้าที่ของเขาตลอดไป
หลินซีนเยียนพยักหน้าให้เขาแล้วก็เข้าไปในกระโจม ในกระโจมดวงตาของหนีหว่านยังลืมตากว้างอยู่ ไม่มีอาการง่วงนอนแม้เพียงนิด
ไม่รู้ว่าหลินซีนเยียนเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ สองวันนี้ นางรู้สึกตลอดว่าสายตาที่หนีหว่านมองนางนั้นมีความแปลกประหลาด กี่ครั้งแล้วที่นางเห็นริมฝีปากของหนีหว่านขยับ แต่เมื่อนางรอคอยให้หนีหว่านพูดอันใดบางอย่าง หนีหว่านกลับหันหนีกลับไปทุกที สุดท้ายก็ไม่พูดอันใด
ในกลางดึก ก็มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
ตอนเช้าตรู่ของวันที่สอง หลินซีนเยียนเดินออกไปนอกกระโจมก็ได้เห็นหรงเย่กำลังออกคำสั่งให้คนจำนวนหนึ่งทำความสะอาดรอยเลือดที่อยู่ข้างกระโจม
นางเห็นเสี่ยวหลงกำลังเดินมาจากทิศทางนั้น ก็ได้ถามเขา “เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เสี่ยวหลงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เมื่อคืนมีหมาป่าไม่กี่ตัวมาหาอาหารกิน แล้วกัดคนไปจำนวนหนึ่ง”
“หมาป่าหรือ?” ใบหน้าของหลินซีนเยียนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สามตระกูลใหญ่แห่งหยิ่นซื่อคนที่มาในครั้งนี้ล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงแค่หมาป่าแค่ไม่กี่ตัวไม่น่าจะทำร้ายพวกเขาได้ ถึงจะถูก