ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 474
ตอนที่ 474 เขาก็เคยจู้จี้จุกจิก
ในการเดินทางครั้งนี้ หลินซีนเยียนสามารถพูดได้ว่าเป็นจุดสมดุลและจุดเชื่อมต่อระหว่างทั้งสามตระกูล ดังนั้นข้อสรุปใน “อุบัติเหตุ”ครั้งสุดท้ายนี้ออกมาจากปากนางเอง เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นตอนที่นางพูดว่าความตายของคนจำนวนมากเช่นนี้เป็นเพราะเฉ่าซินจื่อ คนที่โชคดีรอดตายของทั้งสามตระกูลล้วนเชื่อ
“ในเมื่อนี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ เยี่ยงนั้นพวกเราไม่ควรล่าช้ากันอีก อย่างไรก็รีบไปแหล่งขุมสมบัติเกิงจีนกันเถอะ ถึงอย่างไรเสียถ้าลากช้าถึงตอนค่ำจะไม่ง่ายต่อการเดินทาง” หลี่อวี๋นซ่านเป็นคนแรกที่สนับสนุนหลินซีนเยียน ดังนั้นรอจนนางพูดเสร็จจึงกล่าวแนะนำทันที
หรงเย่และหลิงสู่เหลือบมองตาซึ่งกันและกัน จึงค่อยพยักหน้า นับว่าเห็นด้วยคำชี้แนะของหลี่อวี๋นซ่าน
หลังจากอุบัติเหตุหนึ่งฉาก เหลือเพียงแค่ประมุขและผู้อาวุโสของตระกูลเพียงไม่กี่คน ยังมีพวกหลินซีนเยียนอีกสามคน คนที่ทำให้คนรู้สึกน่าสงสัยที่สุดคือชายชราที่รับหน้าที่ย่างแกะคนนั้นคาดไม่ถึงว่าจะโชคดีรอดตายมาได้
เขายืนอยู่ในกลุ่มคนด้านหลัง ดูเหมือนว่าตกใจไม่น้อย ตัวสั่นด้วยความโกรธอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้เขาเดินอยู่หลังสุด เห็นว่าข้างหน้าผิดปกติ ลงจากหลังอูฐแล้วเดินถอยหลัง คาดไม่ถึงว่ากลับทำให้พ้นภัยมาได้
“คนไม่มีประโยชน์คนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะโชคดีหลบพ้นเคราะห์ร้าย น่าสงสารกองกำลังตระกูลหลิงของข้า!” หลิงสู่ไม่พอใจอย่างมาก จ้องมองชายชราย่างแกะอย่างโหดเหี้ยม เสมือนรู้สึกว่าการโชคดีที่รอดตายของเขาเป็นเรื่องที่น่าเกลียดชังจนไม่สามารถยอมรับได้
หรงเย่ก็ถอนหายใจ กล่าว : “บางทีนี่ก็คือชีวิต ก่อนหน้าชายชราคนนี้เดินทางอยู่ด้านหลังสุด คาดไม่ถึงว่ากลับได้เปรียบ”
หลินซีนเยียนเหลือบมองไปทางทิศทางของชายชรา พบว่าเขาไม่เป็นอันใด จึงยกยิ้มมุมปากให้เขาบางเบา ชายชรานั้นไม่ได้ตอบกลับอันใด ยังคงเข้าไปรวมกลุ่มด้านหลังอย่างไม่ได้สนใจ
เพราะว่าอูฐทั้งหมดถูกพิษในอุบัติเหตุครั้งนี้ไปแล้ว ดังนั้นเหล่าคนที่เหลือทำได้เพียงเดินเท้าแล้ว คนที่เหลือนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของทุกตระกูลที่มีวรยุทธ์ไม่เลว ต่อให้เดินเท้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แก่พวกเขา แม้แต่ชายชราที่รับหน้าที่ย่างแกะคนนั้นบางทีอาจเคยชินกับการทำงานหนัก คาดไม่ถึงว่าสามารถเดินตามทันเบื้องหน้าได้
ในขบวน หนึ่งเดียวที่ไม่สามารถเดินเท้าได้เป็นเวลานานคือหลินซีนเยียนและหนีหว่าน สองคนนี้เดินได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็เดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ
“ถ้าแม่นางหลินไม่ถือสาละก็ ให้ข้าแบกเจ้าเถอะ” หลี่อวี๋นซ่านเข้ามาด้านข้างของหลินซีนเยียน กล่าวพูดคุย
หลินซีนเยียนขมวดคิ้วและยิ้มเยาะหยัน “ประมุขหลี่ใจดีจะช่วยขนาดนี้ อย่างไรกันละ หรือเป็นไปได้ว่าอีกสักครู่พอข้าไปในถ้ำแล้ว จะให้ข้าดูแลท่านเป็นพิเศษหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ?” กลัวว่าหลิงสู่และหรงเย่จะพบความผิดปกติ หลินซีนเยียนโต้ตอบอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขามุ่งอยู่กับการค้นหาสมบัติ
หลี่อวี๋นซ่านเข้าความหมายในคำพูดของหลินซีนเยียน ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ เพียงแค่คุกเข่าลงด้านหน้านาง “ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่จากแม่นางหลินเพียงนิด แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดต่อตระกูลหลี่ของข้า”
หลินซีนเยียนยังคงลังเล มองแล้วมองอีกบนเขาหลายลูกที่ซ้อนกันไกล ๆ แสงพระอาทิตย์ค่อยๆมืดลง ในที่สุด นางก็กัดฟันแล้วปีนขึ้นหลังของหลี่อวี๋นซ่าน
หลิงสู่ทำเสียงไม่พอใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “ประมุขหลี่ยังสามารถยืดได้หดได้จริง ๆ ดูแลแม่นางหลินอย่างทั่วถึง ทำให้พวกเราคนแก่คร่ำครึเหล่านี้ดูเหมือนไม่น่าเป็นมิตรเสียเลย
คำพูดของหลิงสู่ช่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ความหมายนั้นชัดเจนว่ากำลังหัวเราะเยาะหลี่อวี๋นซ่านประมุขของตระกูลแห่งหยิ่นซื่อที่สง่าผ่าเผย เพื่อค้นหาสมบัติสามารถดูแลได้ทั้งหมด คาดไม่ถึงว่าจะไปแบกผู้หญิงนางหนึ่งได้
หัวคิ้วของหรงเย่ก็ขมวดตึง ในดวงตามีแสงประกายรุนแรง แต่เขานับว่ายังระงับความโกรธไว้ได้ จนไม่ได้พูดอันใดออกไป
ไม่มีใครรับรู้ได้ ตอนที่หลินซีนเยียนปีนขึ้นไปบนหลังหลี่อวี๋นซ่าน ชายชราที่ย่างแกะคนนั้นเหลือบมองมาทางนี้อย่างเงียบเชียบ
หลี่อวี๋นซ่านแบกหลินซีนเยียน ในขบวนเหลือเพียงหนีหว่านหนึ่งคนที่เคลื่อนไหวอย่างลำบาก เสี่ยวหลงไม่พูดจาใด ๆก็แบกหนีหว่านขึ้นหลังเรียบร้อยแล้ว พูดไปหนีหว่านวันนี้ มองกำแพงชายหญิงได้ทะลุปรุโปร่งนานแล้ว ฉะนั้นนางเลยไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย
กลุ่มคนเริ่มออกเดินทางอีกรอบ ตามไปยังสถานที่ที่พระอาทิตย์ตก มุ่งเดินไปทางเทือกเขายาวที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตานั่น
ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าใกล้จะมืด ในที่สุดก็มาถึงขอบของเขตเทือกเขา บางทีอาจจะใกล้เทือกเขามาก ดังนั้นจึงมองเห็นลักษณะกลุ่มหญ้าที่เจริญงอกงาม แม้แต่ฝุ่นทรายที่อยู่ในอากาศก็น้อยลงมาก
ผู้ติดตามที่ตามมาล้วนตายหมดแล้ว เสบียงอาหารที่นำมา ระหว่างนั้นก็รีบร้อนจนไม่ได้เอาลงมาจากบนอูฐ อย่างไรเสีย ตอนนั้นอูฐล้มลงในเขตการโจมตีของเฉ่าซินจื่อ ใครจะกล้าเสี่ยงอันตรายไปเอาเสบียง?
ฉะนั้น เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลนั้น ๆก็หาฟืนมาก่อกองไฟ โชคดีที่วรยุทธ์พวกเขาดีมาก หลายคนใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปบนเขา เวลาครู่เดียวคาดไม่ถึงว่าจะจับสัตว์ป่ากลับมาเป็นอาหารได้
บางครั้งหลินซีนเยียนก็อิจฉายอดฝีมือบู้ลิ้มเหล่านี้ที่ไปมาได้อย่างรวดเร็ว เหมือนว่าขอเพียงมีเป็นสถานที่ที่มีสิ่งชีวิต ล้วนไม่ยากสำหรับพวกเขา
มีอาหารป่าแล้ว ชายชราคนนั้นที่รับหน้าที่ย่างแกะก็ได้โชว์ฝีมืออีกครั้ง ถึงแม้จะไม่มีเครื่องปรุง แต่ฝีมือของเขาช่ำชอง แล้วยังเข้าใจลึกซึ้งอย่างมาก อาหารป่าเหล่านั้นคาดไม่ถึงว่าจะถูกเขาทำออกมาได้รสชาติหอมดั้งเดิมที่สุด
ทุกคนแบ่งอาหารป่ากัน และพอใจกับอาหารป่านั้นเป็นอย่างมาก อารมณ์บนหน้าก็ผ่อนคลายไปมาก
หรงเย่กินไปพลาง อดไม่ได้ที่จะถามเหย้าแย่ชายชราที่รับหน้าที่ย่างเนื้อคนนั้น “ชายชราอย่างเจ้า ถึงแม้ไม่เข้าใจวรยุทธ์ รูปร่างหน้าตาก็หยาบกร้าน แต่ว่าฝีมือการทำอาหารไม่เลวเลยจริง ๆฝีมือการทำอาหารของเจ้าไปเรียนมาจากที่ไหน”
ชายชรานั้นถือดาบสั้นกำลังหั่นเนื้อบนขากระต่ายป่าตัวหนึ่งอยู่ ถูกหรงเย่ถามเยี่ยงนี้ เพียงแค่ยิ้มกลับอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เสียงแหบแห้งตอบกลับว่า: “คนแก่อย่างข้าทั้งชีวิตล่าสัตว์ประทังชีวิต ฝีมือการทำอาหารนี้ล้วนฝึกฝนจากการย่างสัตว์ป่ากินในป่า”
“ไม่เลว ไม่เลว รอหลังจากพวกเราจัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นกลับไป เจ้าก็ตามข้ากลับตระกูลหรงเถอะ ย่างเนื้อให้ข้าโดยเฉพาะ แต่มันจะดีกว่าเจ้าล่าสัตว์มากนัก” หรงเย่ กล่าวอีกครั้ง
ชายชรานั้นได้ฟัง ยิ้มหัวเราะจนตาหยี่ แต่กลับส่ายหัว “เยี่ยงนั้นไม่ได้ ในบ้านชายชราอย่างข้ายังมีภรรยา และลูก ข้าไปแล้ว ภรรยาและลูกที่บ้านก็ไม่มีคนดูแลแล้ว”
“แค่เพียงภรรยาและลูก? พามาด้วยกันก็ได้แล้ว ตระกูลหรงข้าจะเลี้ยงพวกเจ้ากี่คนไม่ได้เชียวหรือ?” หรงเย่พูด แล้วกัดเนื้อไปอีกคำ อดไม่ได้ที่จะฮึมฮัมชื่มชม
“ไปด้วยกัน? เยี่ยงนั้นก็ดีอย่างแน่นอน ภรรยาข้าลำบากมาทั้งชีวิต นับว่าจะได้รับความสบายแล้ว” ชายชราพูดเยี่ยงนั้น รีบเอาอกเอาใจทันที แล้วยังส่งเนื้อไปให้หรงเย่เพิ่มอีก
หรงเย่เป็นประมุขของตระกูลแห่งหยิ่นซื่อบางทีทั้งชีวิตอาจไม่เคยพูดคุยเยี่ยงนี้กับชายชราธรรมดา แม้แต่ตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ฉะนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับชายชราคนนั้นอีกประโยค
หลินซีนเยียนฟังอยู่ตลอด พร้อมกับกัดเนื้อในมือคำเล็กๆไปด้วย ในสมองของนางกลับปรากฏภาพใบหน้าของโม่จื่อเฟิง ชายที่เย่อหยิ่งและสง่างามคนนั้น เคยมีความดื้อรั้นต่อการย่างเนื้อมาก่อน แต่ไหนแต่ไรเขาชอบจู้จี้จุกจิก ต้องการทำทุกเรื่องให้ดีที่สุด แม้เพียงอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด เขาล้วนไม่ยอมให้ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าเขาอยู่ที่นี่ละก็ จะรู้ว่าเนื้อย่างนี้ยังสามารถเข้าปากได้หรือไม่?”