ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 494
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 494 บทสรุปครั้งยิ่งใหญ่ (สี่)
“เป็นอะไรไปเล่า” โม่จื่อเฟิงเห็นท่าทางนางผิดปกติ จึงเดินตามไปบนชานชั้นสูงโดยพลัน
หลินซีนเยียนชี้ไปที่ลวดลายบนก้อนหินผันนั่นพลางกล่าว “ที่นี่คือพื้นที่สลับเวลา ทว่ากลับแตกต่างจากถ้ำนั่นก่อนหน้านี้ พื้นที่สลับเวลานี้ขอเพียงหลังจากเปิดกลไกแล้ว ก็คงทำได้เพียงรักษาเวลาเอาไว้ได้สามนาที นอกเสียจากว่าจะมีคนเฝ้าที่นี่เพื่อควบคุมกลไกนี้เอาไว้ตลอด”
ช่วงเวลาเพียงสามนาที ไม่เพียงพอให้พวกเขาตัดผ่านสระยะเยือกได้เลยสักนิด
“ดังนั้น จะต้องมีใครสักคนหนึ่งอยู่ที่นี่…” รอที่จะตาย สองคำข้างหลังนั้นโม่จื่อเฟิงไม่ได้เอ่ย ทว่าทุกคนล้วนสามารถฟังเข้าใจกันหมด
ปัจจุบัน ในหุบล้ำนี้ คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ ก็มีเพียงหลินซีนเยียน โม่จื่อเฟิง หลี่อวิ๋นซ่านและเสี่ยวหลงสี่คนนี้เท่านั้นแล้ว ความจริงนั้นโหดร้ายเพียงนี้ ไม่ว่าจะให้ใครเสียสละเพื่อใคร ก็ราวกับไม่ใช่หนทางที่ดีสำหรับการแก้ปัญหานี้
“เจ้านาย ข้าจะอยู่” เสี่ยวหลงอาสาลุกขึ้นยืน ไม่มีความลังเลเลยแม้สักนิด บนใบหน้ายิ่งไม่มีสีหน้ากระดากกระเดื่อง ราวกับเป็นเรื่องชอบธรรมที่เขาลุกขึ้นในตอนนี้
โม่จื่อเฟิงมุ่นคิ้ว ไม่ได้ตอบกลับในทันที ราวกับกำลังขบคิดถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอของเขา
เขาที่อยู่บนตำแหน่งสูงศักดิ์มานาน บางทีอาจคุ้นเคยกับความภักดีและเสียสละของคนใต้บัญชาไปแล้ว ทว่าหลินซีนเยียนไม่คุ้นชิน สำหรับนางแล้ว เสี่ยวหลงเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ติดตาม ดังนั้นให้เขาเสียสละเพื่อช่วยชีวิตนาง นางทำใจให้สงบลงไม่ได้เลย
ทว่า นางยังไม่ทันได้เอ่ยคำ กลับได้ยินหลี่อวิ๋นซ่านที่นอนแผ่หลาบนพื้นปริปากออกมา “ข้าจะอยู่”
ไม่กี่คนล้วนหันไปมองด้วยความพิศวง จากใบหน้าของหลี่อวิ๋นซ่านพวกเขาล้วนมองเห็นความรู้สึกที่เรียกว่าสิ้นหวัง
หลี่อวิ๋นซ่านยิ้มอย่างว่างเปล่า “ข้าบาดเจ็บ บ่อยะเยือกนั่นข้าข้ามไปไม่ได้ ปลากินเนื้อเหล่านั้นได้กลิ่นคาวเลือด ยังไม่ถึงขอบสระก็จะฉีกข้าเป็นชิ้นๆ แน่ แทนที่จะถูกฉีกเป็นชิ้น ข้ายินดีกลายเป็นศพอยู่ที่นี่ดีกว่า อีกอย่าง เนื่องจากการกระทำด่วนสรุปของข้า มาหากรุสมบัติลับอะไรนี่ ทำให้พวกท่านมีช่องโอกาส ถ้าหากตระกูลหลี่จะต้องดับสูญจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบเถิด ข้าไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษของตระกูลหลี่อีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้าตายลง ณ ที่แห่งนี้เถิด บางครั้ง ตายไป ยังผ่อนคลายกว่ามีชีวิตอยู่มากโขนัก”
ตอนที่เขาเอ่ยคำนั้นล้วนก้มหน้างุด ไม่ได้ไปมองหลินซีนเยียน และไม่ได้ไปมองโม่จื่อเฟิง เขาทำเพียงกล่าวระบายออกมาเบาๆ ราวกับผู้สำนึกผิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขากำลังสารภาพบาปต่อบรรพบุรุษของตนเอง หรือว่ากำลังสารภาพบาปต่อคนของตระกูลหลี่ที่ตายไปก่อนหน้าเหล่านั้นกันแน่
กล่าวตามจริง ไม่ว่าจะเสียสละผู้ใด หลินซีนเยียนล้วนไม่ยินดี ส่วนหลี่อวิ๋นซ่าน นางก็ไม่เห็นชอบด้วย ทุกๆ คนล้วนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตรอด ไม่มีใครควรไปตายเพื่อใคร แต่ว่า เผชิญหน้ากับหลี่อวิ๋นซ่านผู้สิ้นหวังนั้น นางกลับเอ่ยประโยคปลอบประโลมไม่ออกเลย
หากว่าสดับฟังอีกครั้ง ก็จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงสัจธรรมอันโหดร้ายได้ ดังนั้น นางจึงเอ่ยคำไม่ออก
“ก็ดี” ความเยือกเย็นของโม่จื่อเฟง ทำให้คนรู้สึกว่าโหดร้ายและน่ากลัว เขาเดินลงจากชั้นสูงแล้วแบกหลี่อวิ๋นซ่านขึ้นมาด้วยตนเอง จากนั้นก็วางไว้ด้านหน้าของก้อนหินผัน
ในใจของหลินซีนเยียนค่อนข้างไม่อดกลั้น จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้ “หรือไม่ก็ ข้าจะศึกษาดูอีกทีว่ามีหนทางอื่นหรือไม่”
“พวกเรายังมีเวลาอีกหรือ” โม่จื่อเฟิงกลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย มองไปที่หมอกอันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รอบด้านและหลินซีนเยียนที่สีหน้าค่อยๆ แดงก่ำทีละน้อย
หลินซีนเยียนรู้ดี โม่จื่อเฟิงพูดถูก พวกเขาไม่มีเวลากันแล้ว นางสามารถรับรู้ได้ถึงความเบาบางของอากาศรอบด้านที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีโอกาสให้นางค้นพบหนทางอื่นอีกเลยแม้เพียงสักนิด ความจริงก็คือความจริง ไม่ใช่ว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ได้ตามอำเภอใจ หากว่าอยากถ่วงเวลาต่อไป กลัวว่าพวกเขาอาจจะขาดอากาศหายใจตายกันหมดที่นี่แล้ว
“การตัดสินใจแบบไร้ความรู้สึกเช่นนี้ ข้าจัดการเองก็ได้แล้ว” โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนี้ ก็ได้หันไปส่งสายตาให้แก่เสี่ยวหลงเป็นที่เรียบร้อย เสี่ยวหลงพยักหน้า และเดินมายังข้างกายของหลินซีนเยียนโดยพลัน
หัวใจของหลินซีนเยียนกระตุกวูบ ก็มองเห็นมือของเสี่ยวหลงยกขึ้นมา ความหมายนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการจะทำให้นางสลบ
“ไม่ต้อง ข้าไม่ได้เป็นสัตตบรรณขาวอย่างที่พวกท่านจินตนาการขนาดนั้นหรอก” หลินซีนเยียนจ้องไปที่เสี่ยวหลงอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง ทำให้มือของเสี่ยวหลงชะงักกลางอากาศค้างเติ่งเนิ่นนาน
เขามองย้อนกลับไปทางโฒ่จื่อเฟิงอย่างเหยเก เห็นว่าโม่จื่อเฟิงพยัหน้าเล็กน้อย เขาจึงค่อยลดมือลงมา
ยามนี้หลี่อวิ๋นซ่านค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเชื่องช้า เขาจ้องโม่จื่อเฟิง พลางกล่าวอยากเยือกเย็น “หวังว่าอ๋องอู่เสวียนจะจำคำมั่นก่อนหน้านี้ของท่านได้”
โม่จื่อเฟิงพยักหน้า “แต่ไรมาข้าก็ทำตามสัญญา ตอบตกลงเจ้าจะไว้ชีวิตตระกูลหลี่ทั้งสายโลหิตก็จะต้องทำให้ได้ เจ้าวางใจ”
หลี่อวิ๋นซ่านพยักหน้า ก่อนหันหน้าไปมองหลินซีนเยียน ในแววตานั้น มีความสิ้นหวัง เวทนา และรักใคร่ ไม่อดกลั้น และความโทมนัส…
“หวังว่าจะมีชาติหน้า” หลี่อวิ๋นซ่านกล่าวประโยคนี้ต่อหลินซีนเยียนอย่างติดขัด ก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบไป
หลินซีนเยียนไม่ได้ตอบกลับเขาแต่อย่างใด ทำเพียงทอดถอนใจเฮือกยาวอย่างลุ่มลึก
โม่จื่อเฟิงค่อยๆ ลูบหัวไหล่ของนางแผ่วเบา จากนั้นก็กอดนางไปยังทิศทางของบ่อยะเยือก “ไปเถิด บนโลกนี้ เดิมทีก็คือความโหดร้ายเช่นนี้แล”
ยิ่งไม่ใช่ทุกช่วงเวลาล้วนมีโอกาสที่ทั้งสองต่างพึงพอใจทั้งสิ้น
หลักการนี้ หลินซีนเยียนเข้าใจดี ดังนั้นนางจึงสาวเท้าตามโม่จื่อเฟิงไปอย่างแข็งทื่อ เพียงแต่ยามที่ก้มหน้างุดนั้น น้ำตา ก็ไหลอาบลงมาจากพวงแก้ม นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงหลั่งน้ำตา แต่ว่า น้ำตาก็หลั่งรินลงมาอยู่เช่นนั้น
วี้ดตู้ม!
ยามที่เปิดกลไลสลับเวลา โม่จื่อเฟิงพาหลินซีนเยียนเข้าสู่ท่ามกลางบ่อยะเยือก เสี่ยวหลงตามติดอยู่ด้านหลัง เวลาไม่ถึงครึ่งเสี้ยวก็ข้ามผ่านบ่อยะเยือกไปได้แล้ว
หนีหว่านเฝ้าอยู่บริเวณปากทางเข้าบ่อยะเยือกตลอด ดินปืนในมือ หลังจากที่มองเห็นคนที่ปรากฏบนผิวน้ำคือหลินซีนเยียนและคนอื่นๆ นางจึงปรนลมหายใจลง
ขณะที่ทั้งสามคนขึ้นฝั่ง ยังไม่ทันได้สูดลมหายใจ ก็ได้ยินเสียงระเบิดตู้มดังขึ้น บ่อยะเยือกด้านหน้าค่อยๆ ทรุดตัวลง สิ่งที่มาแทนที่คือพื้นดินอันแข็งแกร่งที่เชื่อมเข้าด้วยกันจากด้านข้างทั้งสองฝั่ง
“ดูท่าหลี่อวิ๋นซ่านควบคุมเอาไว้ไม่อยู่แล้ว” โม่จื่อเฟิงกล่าวสรุปอย่างเยือกเย็น
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ที่อากาศหายใจน้อยได้นานเพียงนี้ ก็ถึงขั้นสูงสุดแล้ว
แววตาของหลินซีนเยียนมองทอดไปยังบนพื้นดินแข็งด้านหน้ากายสามนิ้ว ค่อยๆ เคลื่อนออกอย่างเนิบนาบ ราวกับว่ามองเข้าไปในพื้นดินแผ่นนั้น ก็สามารถมองเห็นเงาร่างของหลี่อวิ๋นซ่านที่ทรุดลงบนก้อนหินหินผัน
“ไปเถิด นี่คือการเลือกของเขา” โม่จื่อเฟิงกล่าว และกอดหลินซีนเยียนเดินออกไปข้างนอก “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะอาลัยอาวรณ์เขา รอพวกเราจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เสร็จเสียก่อน เจ้าค่อยอาลัยเถิด ตอนนี้ยังมีเรื่องราวสำคัญกำลังรอให้พวกเราไปทำอยู่”
“เรื่องที่สำคัญกว่า…” แววตาของหลินซีนเยียนมอดดับ ใช่แล้ว ยามนี้เป็นถึงช่วงเวลาที่จะลบล้างกองกำลังยึดรากของสามตระกูลหลัก โม่จื่อเฟิงมีพันธมิตรที่ร่วมมือขยันขันแข็งเท่าใดกัน
“อืม อีกอย่าง ข้ายังต้องพาเจ้าไปพบคนๆ หนึ่ง” โม่จื่อเฟิงกล่าวเช่นนี้ และส่งสัญญาณมือให้แก่เสี่ยวหลง
เสี่ยวหลงไม่ถ่วงเวลาอีกต่อไป แบกหนีหว่านขึ้นมา ไม่กี่คนเดินตามออกไปข้างนอก เพียงแต่ดอกท้อยังคงเป็นสิ่งของหาใช่มนุษย์ไม่ ตอนที่มา ขบวนคนยังขนัดแน่น ปัจจุบันออกจากหุบถ้ำนี้ กลับเหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คนเท่านั้น