ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 496
ตอนที่ 496 บทสรุปครั้งยิ่งใหญ่ (หก)
เพียงแต่น่าเสียดาย สุขนาฏกรรมแห่งการพบปะยังไม่ทันได้ปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ หลินซีนเยียนก็รับรู้ว่าหลังกายมีลมยะเยือกพัดผ่าน หลังจากนั้น ร่างของนางก็กระแทกเข้าบนแผงอกอันแข็งแกร่งของอีกคน และตกลงท่ามกลางวงแขนแกร่งทั้งสองข้าง
“ผู้หญิง จนถึงป่านนี้ เหตุใดยังไม่รู้จักระมัดระวัง” โม่จื่อเฟิงแค่นเสียงเย็น มองไปทางอู๋อี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ แววตานั้น ฉายชัดว่าจะโทษที่เขามาไม่เป็นเวลา อีกประการ ในแววตานั้น ยังซ่อนกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าเจือจางเอาไว้อีกด้วย
หลินซีนเยียนไม่อาจกังขาเลยสักนิด ถ้าหากว่าบุคคลเบื้องหน้านี้ไม่ใช่อู๋อี้ ไม่ใช่ศิษย์พี่อู๋อี้ที่น่ารักใคร่ให้ความสำคัญคนนั้น เช่นนั้นยามนี้ บุคคลที่ อิงแอบแนบกายกับนาง จะต้องกลายเป็นคนตายไปแล้วแน่ๆ
“ข้ากอดกับผู้เป็นญาติแล้วอย่างไรเล่า ตอนที่เสี่ยววี่จิ่งอยู่ข้างกาย วันๆ ข้ายังเอาแต่จูบเสี่ยววี่จิ่งเป็นหมื่นๆ รอบเชียว แม้แต่น้ำส้มสายชูแบบแห้งนี้ท่านก็จะกิน ท่านอ๋อง…นี่มันค่อนข้างมากเกินไปหน่อยใช่หรือไม่” หลินซีนเยียนกำหมัดทุบเข้าที่แผงอกของโม่จื่อเฟิง
โม่จื่อเฟิงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว พลางกล่าว “เจ้านับวันจะยโสขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“อะแฮ่ม” หลินซีนเยียนไม่ได้โต้แย้ง นับตั้งแต่รู้ว่าเขาตายแล้วฟื้นนั้น ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ก่อนหน้านี้ นางอาจจะมีความเกรงกลัวต่อเขาอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ นางกลับไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ชีวิตคนเราสั้นนัก ใครจะรู้ว่าวินาทีถัดไปอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางไม่เต็มใจจะข่มกลั้นความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
รัก ก็คือรัก นางรักเขา ดังนั้น ต่อจากนี้ไปนางจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจที่สุด
มองดูบทวิวาทะระหว่างคนทั้งสอง อู๋อี้คิดว่าตนเองตาฝาดแล้ว สักพักใหญ่ความรู้สึกคุ้นชินพัดโบกกลางแรงลม หากว่าไม่ใช่เอ้อร์ยากระตุกชายเสื้อของเขา เขาก็ยังคงไม่เรียกสติกลับมา
“ศิษย์น้อง…” อู๋อี้เปล่งเสียงอย่างติดขัด อย่างไรเสียเขาก็ยังยืนอยู่ข้างๆ ทั้งคน พวกเจ้าจะเป็นอย่างดีต่อไปจริงหรือ”
“ศิษย์น้อง…สองปีนี้ เจ้าสบายดีหรือไม่”
ไม่ได้พบหน้ากันนาน ดูเหมือนว่าจะต้องได้เอ่ยประโยคเช่นนี้ เจ้าสบายดีหรือไม่ กลับไม่รู้ว่า ประโยคที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย กลับคือความอาทรที่โอบอ้อมที่สุดระหว่างคนสองคน
หลินซีนเยียนขอบตาแดง กลางดวงตาของอู๋อี้เองก็มองเห็นหยาดน้ำอันยากจะมองเห็นเช่นกัน เขาพยักหน้า มองยังโม่จื่อเฟิง ราวกับค่อนข้างหวาดหวั่นอยู่ ก่อนกล่าว “เจ้ากับเขา…”
เขายังจำได้ว่าตอนที่เขาจากไปนั้น โม่จื่อเฟิงกับหลินซีนเยียนยังเป็นดุจน้ำกับไฟ ตอนนั้น สิ่งที่นางนึกถึงมากที่สุด ไม่ใช่ว่าคือการหลบหนีออกจากขอบเขตอิทธิพลของเขาหรอกหรือ ทว่ายามนี้เห็นท่าทางของทั้งสอง กลับให้ความรู้สึกโอบอ้อมอารี
หลินซีนเยียนยิ้มพลางพยักหน้า และกล่าว “เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้ข้ากับเขาดีมากๆ ว่าแต่ท่าน ข้าล้วนไม่ได้มีโอกาสไปตามหาท่านที่ประเทศเป่ยหมิง และไม่รู้ว่าท่านสบายดีหรือไม่ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ได้ยินว่าข้างหายหน่วยคุ้มกันประเทศเป่ยหมิงมีช่างฝีมือผู้มีพรสวรรค์ฟ้าประทานอยู่คนหนึ่ง ข้าก็คิดว่าเป็นท่านใช่หรือไม่ เดิมทีครั้งนี้นึกอยากไปเสาะหาท่าน คิดไม่ถึงว่าเป็นท่านที่มาหาข้าก่อนแล้ว”
“ใช่ ข้าอยู่ประเทศเป่ยหมิงเองก็มีเรื่องเยอะแยะเกิดขึ้น ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยคุ้มกันประเทศ ช่างเป็นวาสนาของข้าแล้ว เพียงแต่…” กล่าวถึงข้อนี้ อู๋อี้ดูเหมือนจะลำบากใจ
ตอนที่เขากำลังไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรนั้น และตอนที่หลินซีนเยียนน้ำตาไหลอาบแก้มนั้น ปากประตูสวน ก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมาดมั่น
และคนๆ นั้น ก็เป็นคนสนิทของหลินซีนเยียน
“หมิงเช่อ?” หลินซีนเยียนคาดไม่ถึง เขาในฐานะหน่วยคุ้มกันประเทศเป่ยหมิง จะปรากฏกายบนอาณาเขตของประเทศหนานเยว่ในตอนนี้เช่นนี้ นางหันหน้ากลับไปมองโม่จื่อเฟิง กลับไม่เห็นแววมองเห็นศัตรูในสายตาของโม่จื่อเฟิงเลย นี่ก็หมายความว่า สองคนนี้รู้จักกันมาแต่เนิ่นแล้ว อีกอย่างกลับไม่ได้มีท่าทีของศัตรูเลย
ยามนี้เป็นเวลาศึกระหว่างสองประเทศ คนหนึ่งคืออ๋องอู่เสวียนแห่งประเทศหนานเยว่ที่ข่าวแพร่ออกมาว่าตายไปแล้ว สาเหตุมาจากที่ประเทศหนานเยว่ส่งกองกำลังไปโจมตีประเทศเป่ยหมิง อีกคน คือหน่วยคุ้มกันผู้เป็นแม่ทัพนำสามกองกำลังร่วมทัพของประเทศเป่ยหมิง ทั้งสองคนนี้ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใด ก็ล้วนไม่น่าจะปรากฏกายในฉากเดียวกันได้เลย
“ท่านอู๋ ตอนนี้ท่านเชื่อได้หรือยัง ข้าไม่ได้หลอกท่าน โม่จื่อเฟิงรักใคร่ถนอมต่อศิษย์น้องผู้นี้ของท่าน ท่านจะคีบข้ามาร่วมมือกับเขา ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ไม่ใช่หรือ” หมิงเช่อเดินมายังเบื้องหน้าของคนไม่กี่คน ยกล่าวพร้อมกับยิ้ม
“นี่สรุปว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่” หลินซีนเยียนเองก็เริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ นางจำได้ แรกเริ่มตอนที่นางหลบหนีจากโม่จื่อเฟิงนั้น ก็พบกับหมิงเช่อแล้ว ซ้ำยังช่วยชีวิตเขาเอาไว้ โม่จื่อเฟิงมาเพราะอยากตามสังหาร และพบเข้ากับคนของหมิงเช่อที่ด่านตรวจชายแดน…
ใช่แล้ว ตอนนั้น นางก็เริ่มมีความสงสัย จากทักษะของโฒ่จื่อเฟิง ในเมื่อล้อมหมิงเช่อได้แล้ว แล้วไฉนจึงปล่อยให้เขาจากไปอย่างง่ายดายขนาดนั้น ตอนนี้มองย้อนกลับไปดู ขณะนั้นทั้งสองได้แอบติดต่อกันอย่างลับๆ แล้ว เผลอๆ อาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ นับแต่เริ่มต้น ทั้งสองก็เป็นคู่หูหาใช่ศัตรูไม่?
วางแผนรัดกุมตั้งหลายปีเพียงนี้ ทั้งสองตระเตรียมการเหล่าใดเอาไว้กันแน่
ทันใดนั้นหลินซีนเยียนรู้สึกว่ามันสมองของตัวเองไม่ค่อยได้การสักเท่าไรนัก ทุกคนที่อยู่บนหลักจิตทยาเหล่านี้ นักแสดงฟอร์มยักษ์ผู้วางแผนบนจิตวิทยาอันรัดกุมที่แท้ก็คือนักแสดงแห่งราชาภาพยนตร์รางวัลออสการ์ระดับสูงหรือนี่
หมิงเช่อไหวไหล่ ชี้ไปทางโม่จื่อเฟิง “ข้อนี้ ให้ผู้ชายของท่านอธิบายแก่ท่านนะ หากไม่ใช่ว่าเขาพบกับท่านก่อน ผู้หญิงอย่างท่านคนนี้อันที่จริงข้าเองก็ค่อยข้างชื่นชอบ…”
“ไสไป!” โม่จื่อเฟิงเปล่งเสียงเย็น ตัดบทของหมิงเช่อ
หมิงเช่อกุมหน้าผาก ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “คนข้าก็ไม่ได้ ยามนี้แม้แต่พูดก็ไม่ยอมให้ข้าพูดสักหน่อยแล้วหรือ เอาเถิด ไม่ให้ข้าพูดก็ได้ รีบอธิบายแก่ท่านอู๋เร็วเข้า มิฉะนั้นเขาก็จะไม่เอาอาวุธลับที่เพิ่งศึกษาออกมาให่ให้แก่คนของข้า ตอนนี้ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาสำคัญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ ท่านคิดว่าข้าข้ามน้ำข้ามทะเลระยะทางตั้งไกลมาที่ชายแดนแห่งนี้โดยไม่มีเรื่องทำหรือ ข้าเองก็นึกอยากเอารอยแค้นตั้งหลายปีมานี้กลับไปชำระเร็วๆ อยู่เหมือนกัน”
อู๋อี้ถูกเรียกชื่อ จึงค่อยมุ่นหัวคิ้วและปริปากหันไปถามหลินซีนเยียน “เจ้าไม่ได้ชิงชังเขาแล้วจริงๆ หรือ”
หลินซีนเยียนส่ายหน้า “ศิษย์พี่ ไม่มีแล้วจริงๆ ว่าแต่ระหว่างท่านกับหมิงเช่อสรุปว่ามีข้อตกลงอะไรกันแน่”
คราวนี้อู๋อี้ทอดถอนใจพลางกล่าว “หลังจากที่ข้าไปถึงประเทศเป่ยหมิง สิ่งที่ระลึกในใจก็มีแต่เจ้ากับศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นจึงนึกอยากย้อนกลับมาช่วยชีวิตพวกเจ้าอย่างโดดเด่นให้ได้ ข้ากลายเป็นคนสนิทของหน่วยคุ้มกันประเทศได้อย่างไม่ง่ายดายนัก เดิมคิดว่าเขาจะต้องร่วมมือกับโม่จื่อเฟิง ทว่าการเปิดศึกครั้งนี้กลับถูกข้าค้นพบถึงความผิดปกติเข้า ในใจข้าฉงน ก็ให้คนไปแอบตรวจสอบ และค้นพบว่าตลอดเรื่อยมานี้หน่วยคุ้มกันประเทศล้วนมีการติดต่อกับโม่จื่อเฟิงเป็นนิจ พวกเขาก็คือพันธมิตรโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ศัตรู! ดังนั้นสิ่งที่ข้าศึกษาออกมานั้น จะให้เขาใช้ได้อย่างไรกัน”
“ดังนั้น จึงมีฉากที่พวกเขาพาท่านมาพบข้าในครั้งนี้?” หลินซีนเยียนนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ถึงแม้กระบวนการนี้อู๋อี้จะพูดอย่างเรียบง่าย ทว่านางเองก็รู้ หากจากคนไร้ตัวตนคนหนึ่งกลายเป็นคนสนิทของหน่วยคุ้มกันประเทศ ความตรากตรำด้านในนั้นไม่ใช่ว่าจะใช้สองคำสามประโยคก็สามารถบรรยายออกมาได้
แต่อู๋อี้ กลับทำได้แล้ว เพื่อนางและศิษย์พี่ใหญ่ เขาทำสำเร็จแล้ว
กลางใจของหลินซีนเยียนตื้นตัน ขอบตาก็เริ่มแดงก่ำมากขึ้นบ้างแล้ว อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ “น่าเสียดาย…ศิษย์พี่ใหญ่เขา…”
“เขาเป็นอะไรไป” สีหน้าอู๋อี้ซีดขาว