ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 94
ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต
ตอนที่ 94 ไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้
หลินซินเยียนเดินเข้าไป บอกชายวัยกลางคนคนนั้นว่า “ท่านชายออกไปทำธุระ วันนี้ไม่อยู่บ้าน ท่านมีธุระอะไรกับ ท่านชายหรือ”
“ไม่อยู่บ้านหรือ แย่จัง” ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็ม ไปด้วยความสิ้นหวัง แล้วหยิบบัตรเชิญออกมาจากอกเสือ “ในเมื่อท่านชายไม่อยู่ งั้นข้าคงไม่รบกวน มีเพียงแค่การ์ด เชิญให้คุณชายอู๋เหิน อยากจะให้แม่นางมอบให้เขาแทน หน่อย เจ้าของบ้านของพวกเราสั่งมา วันนี้เป็นวันปีใหม่ ก็ เลยเตรียมของขวัญไว้ให้ท่านอู่เหิน โปรดรับไว้เถิด”
เขาพูดเช่นนี้หลินซินเยียนก็รู้เลยว่ากล่องที่อยู่ข้างกาย เขาเป็นของที่จะมอบให้นาง
หลินซินเยียนกลับไม่ยื่นมือออกไปรับ “พี่ชายท่านนี้ เจ้า บ้านของท่านมีน้ำใจข้าไม่กล้ารับไว้หรอก คุณชายไม่อยู่ ข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจ เลย”
“แต่ว่าของชิ้นนี้ราคาไม่ได้แพงเลย แม่นางไม่ต้อง
เกรงใจ ถ้าข้าไม่มอบของชิ้นนี้ให้ผู้อื่น ข้าจะต้องโดนตำหนิ แน่” ชายวัยกลางคนยื่นกล่องนั้นมาตรงหน้าจองหลินซิน เยียนแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เขาเดินไปเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็เหลือไว้เพียงแค่ กล่องเล็กๆนั้น หลินซินเยียนถอนหายใจ ทำได้แค่ให้เอ้อร์ ยานำกล่องนั้นกลับไปด้วย
เมื่อเข้ามาถึงห้องโถง สาว เปิดกล่องดู แท่งเหลืองอร่ามอยู่ตรงหน้า จิตใจของนางก็ไม่อยู่กับเนื้อ กับตัว “แม่นาง นี่คือทองแท่ง เขาบอกว่าเป็นของที่ไม่ได้มี ราคาแพงมาก สงสัยเจ้านายของเขาคงจะมีเงินเยอะมาก”
ความตกตะลึงของเอ้อร์ยาทำให้หลินซินเยียนชำเลือง ตามอง อี้เซิงก็เดินตามมาสมทบดูด้วย แล้วเขาก็สูดหายใจ เข้าลึกๆ มีเพียงแค่หลินซินเยียนเท่านั้นขมวดคิ้วแน่นโดย ไม่รู้ตัว คนแรกที่มาหานางก็เปิดตัวชัดเจนว่าเป็นคนร่ำรวย และคาดว่าจะต้องมีผลกระทบที่ใหญ่มาก ดูแล้ว คนรวยที่ อยู่ในเมืองเฟิงซีนี้จะเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมากกว่าที่นางเห็น
เมื่อมีคนให้ความสำคัญกับการสร้างอาวุธขนาดนี้ เป็นไป ได้หรือไม่ว่าเมืองเฟิ่งซีกำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
หลินซินเยียนรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย นางเข้ามาพัวพัน กับสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ตอนนี้ความอันตรายนั้นก็ดู จะมากขึ้นด้วย
“แม่นาง ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เอ้อร์ยาเห็นนางนั่ง นิ่งไม่ขยับ เลยอดไม่ได้ที่จะถามดู
หลินซินเยียนนได้สติกลับมา นางส่ายหัวแล้วยิ้ม แต่ก็ไม่ ได้พูดอะไร แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีก
“นี่เป็นบ้านท่านชายอู่เหินใช่หรือไม่” ชายหลังค่อมคน หนึ่งเดินเข้ามามองหาด้านใน
เอ้อร์ยาหันกลับไปมองหลินซินเยียน ผ่านไปแค่ครู่เดียว ก็มีคนมาหาอีกแล้ว
เวลาของชายหลังค่อมคนนี้กับชายวัยกลางคนเมื่อกีต่าง กันไม่มาก แล้วยังให้การ์ดเป็นของขวัญวันปีใหม่อีกด้วย
ครั้งนี้หลินซีนเยียนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร นางเพียงให้ เอ้อร์ยาส่งแขกกลับไป
เวลาสั้นๆในหนึ่งวันก็มีคนมาหานางถึงสี่ห้าคนแล้ว
เมื่อตกกลางคืน ของทั้งหมดที่หลินซินเยียนได้มาก็ถูก เก็บรวมไว้ในกล่อง พบว่าเป็นการ์ดเชิญสามใบจากขุนนาง ชั้นผู้ใหญ่ อีกสองใบเป็นของพ่อค้าร่ำรวยจากเมืองเฟิ่งซี
ขุนนางพวกนั้นไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สูงที่สุดก็ไม่เกิน
ขุนนางขั้นสี่ข้าราชการพวกนี้ ตามหลักแล้วไม่น่าสนใจ
เรื่องอาวุธ การที่พวกเขาส่งการ์ดเชิญมาน่าจะมีผู้ที่บงการ อยู่เบื้องหลัง “แม่นาง คำเชิญพวกนี้ ท่านจะไปหรือไม่” เอ้อร์ยาเติม
น้ำมันลงในตะเกียงทำให้ไฟสว่างขึ้นมานิดหน่อย
หลินซินเยียนส่ายหัว “สัตว์ปีที่ดีจะเลือกเกาะต้นไม้ สิ่ง ต้องห้ามก็คือการเหยียบเรือสองแคม ถ้าหากข้าไปตามคำ เชิญทั้งหมดจะทำให้คนของข้าไม่สบายใจได้”
“เช่นนั้นท่านจะไปตามคำเชิญของบ้านไหน” เอ้อร์ยา รู้สึกว่าเจ้านายของตนพูดจากเต็มไปด้วยหลักการ แต่ ตนเองก็ยังเข้าใจได้แค่เพียงครึ่งหนึ่ง
หลินซินเยียนไม่พูดไม่จา เดินไปเปิดหน้าต่างรับลม ไม่ ตอบคำถามใดๆ มีเพียงรอยยิ้มลุ่มลึก
เช้าวันที่สองบ้านตระกูลหลี่ก็เตรียมงานศพให้เหล่าหลี่ชื่อเดิมของบุตรชายคนโตชื่อว่าหลีหลง ตอนเช้าเขามา ขอแรงคนจากบ้านหลินซินเยียน ท่านหลิวที่เดิมเป็นเพื่อ นกับมู่เจียงที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานได้บอกเรื่องราวกับ เพื่อนสนิทของมู่เจียง แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่ามีเรื่องกับคน ที่มีอิทธิพลพวกเขาก็ไม่กล้ามาร่วมงานศพของเหล่าหลี่ กลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
เหล่าหลี่ที่แต่เดิมเข้ามาอยู่ในเมืองเฟิ่งซีนี้ก็ไม่ได้รู้จักใคร มาก เพื่อนมิตรที่ทำงานร่วมกันก็ไม่มาก งานศพของเขา เงียบเหงามากจนต้องมาขอคนจากบ้านหลินซินเยียนไป ช่วย
หลินซินเยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ นางยังให้เอ้อร์ยาและอี้เซิง ไปช่วยงานด้วย
ที่ห้องเซ่นไหว้ สะใภ้เหล่าหลี่ร้องไห้หลายครั้ง หลี่หลง และหู่เอ่อก็คุกเข่าอยู่ที่หน้าโลงศพของเหล่าหลื่อย่างเศร้า ใจ ที่จริงโลงศพต้องถูกเคลื่อนไปแล้ว แต่มีเพียงแค่หลี่ หลงคนเดียวที่เป็นผู้ชาย เมื่อถึงเวลาตกฟาก เขาก็ค่อยๆ แบกโลงศพของพ่อไปยังชานเมือง
หลินซินเยียนถอนใจ นางจูงอี้เชิงเดินไปอยู่ด้านหลังของ หลี่หลง มองชายหนุ่มหัวรั้นกำลังแบกโลงศพของพ่อตัวเอง ทุก ย่ำก้าวของเขานั้นต้องใช้แรงมากจนขาของเขาสั่น ระริก
คนที่อยู่ชนชั้นล่างจะทำอะไรก็ลำบาก แต่คนรวยจะทำ อะไร แค่ใช้เงินก้อนสองก้อนก็ทำได้แล้ว พวกเขากลับต้อง ใช้ความพยายามมากกว่าเป็นร้อยเท่า นางไม่มีเงินทองมากมายล้นฟ้าพอที่จะมาช่วยเหลือพวกเขา เรื่องของตระ กูลหลี่นี้มีแค่หลี่หลงคนเดียวที่จะสามารถแบกรับเอาไว้ได้ นางช่วยได้แค่ช่วงเวลานี้แต่ไม่สามารถช่วยตระกูลหลี่ได้ ตลอดไป
สุสานนอกเมืองหรือสุสานในเมืองหลวงก็คือสุสานเหมือน
กัน ที่จริงสุสานในเมืองก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าสุสานที่ถูกฝัง อยู่อย่างสะเปะสะปะเท่าใด ที่แห่งนี้ก็เป็นแค่ที่ที่ข้าราชการ มอบให้คนที่ไม่มีเงินจะซื้อสุสานมาฝังศพเท่านั้น ที่แห่งนี้ อยากจะขุดฝังตรงไหนก็ได้ตามใจ
หลี่หลงค่อยๆแบกโลงศพของพ่อเดินมา ถึงเวลาตกฟาก ถึงจะมาถึง เขาวางโลงศพลง ยังไม่ทันได้พักเขาก็ขุดหลุม ต่อ หู่เอ่อเช็ดน้ำมูกแล้วหยิบจอบเข้าไปช่วยพี่ขุดหลุม
เอ้อร์ยากับอี้เซิงก็ไม่ได้เป็นคนแล้งน้ำใจก็เลยเข้าไปช่วย ด้วย ถึงแม้ว่าหลินซินเยียนจะร้องไห้แต่ก็เข้าไปนั่งใต้ ต้นไม้เป็นเพื่อนสะใภ้เหล่าหลี่
“แม่นางหลิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก ถ้าหากไม่ใช่ ท่านพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” สะใภ้เหล่าหลี่ปาดน้ำตา แล้วพูดต่อว่า “แค่ต้นปีนี้ข้าก็มองได้ทะลุปรุโปร่งเลยว่า คน ดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รับใช้ดี แม่นางหลินเป็นคนดี ดัง นั้นข้า สะใภ้เหล่าหลี่ก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ท่านอีก หลังจากฝังศพท่านหลี่เสร็จ เรื่องของครอบครัวข้าท่านไม่ ต้องเข้ามาช่วยแล้ว วุ่นวายเหลือเกิน ท่านที่เข้ามามีส่วน ร่วมช่วยเหลือครอบครัวข้า ทั้งชีวิตก็ไม่อาจทดแทนได้”
“สะใภ้เหล่าหลี่ อย่าพูดเช่นนั้นเลย ถ้าหากมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไข ท่านวางใจเถิดข้าเอาตัวรอด ได้ ต้องละอายใจเลย ขอเพียงแค่ข้ายังไม่ถอนตัวก็ยังมี โอกาสนะ” หลินซินเยียนพูดอย่างจริงใจ นางไม่มีความ จำเป็นอะไรที่จะต้องหลอกพูดกับคนอื่นว่าไม่ต้องช่วยแล้ว พูดตามจริง ไม่ต้องแสดงคำพูดที่ไพเราะแต่อย่างน้อยก็ ทำให้หัวใจของผู้อื่นมีจุดหมายปลายทาง
สะใภ้เหล่าหลี่ไม่คิดว่าจะได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำตาของ นางก็ไหลออกมาอีก กุมมือของหลินซินเยียนแล้วร้องไห้ ออกมาอย่างเงียบเชียบ
วันนี้หิมะตกอีกแล้ว โดยปกติหน้าหนาวของเมืองเฟิ่งซี
มักจะไม่ค่อยมีหิมะตก แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้หนาวมาก คาดไม่ ถึงว่าผ่านเทศกาลปีใหม่จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วยังมีหิมะตก อยู่
ในลมหิมะ หลินซินเยียนเห็นหลี่หลงฝังศพของพ่อแล้วก ลบดิน เขาอยู่ในสุสานแล้ว แต่ที่น่าเศร้าคือไม่มีแม้แต่ป้าย หลุมศพ
นี่เป็นสภาพปกติของชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด เอ้อร์ยากางร่ม ให้หลินซินเยียนกันลม เมื่อกลับออกมาก็ไม่มีใครหันกลับ ไปมองที่สุสานอีก
หลังจากฝังเหล่าหลี่ไว้ที่สุสานแล้ว หลี่หลงก็ทำตามคำ แนะนำของหลินซินเยียน เขาสะกดรอยตามท่านชายอู๋
หลินซินเยียนกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนชุดผู้ชายแล้วออกจาก บ้านไป เอ้อร์ยาอยากจะตามไปด้วยแต่กลับถูกนางสั่งให้ ไปดูแลสะใภ้เหล่าหลี่
ในเมืองเฟิงซีมีร้านนำชาชื่อดังร้านหนังตงอยู่ทถนนผง ตะวันออก ภายในร้านมีชาราคาแพง แก้วหนึ่งนั้นมีราคาไม่ เบา แต่จำนวนคนที่เข้ามาในร้านก็ยังคงเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่เพราะว่าชาร้านนี้หอมกว่าชาร้านทั่วไป คนจำนวน มากมาที่ร้านนี้ไม่ได้มาเพื่อที่จะดื่มชา แต่มาเพื่อที่จะฟัง เรื่องเล่า
ในร้านน้ำชานี้มีนักเล่าเรื่องคนหนึ่งชื่อ ท่านเฟิง เขาไม่ใช่ นักเล่าเรื่องทั่วไป แต่ในเมืองเฟิ่งซีนี้เขาเป็นเหมือนผู้นำนัก เล่าเรื่องของเมืองนี้ เขามีลูกศิษย์มาก ส่วนมากจะเข้ารับ ราชการในวัง แต่เขามีความชอบส่วนตัวคือการเล่าเรื่อง ทุกวันที่สิบห้าของเดือนเข้าจะมาเล่าเรื่องที่ร้านน้ำชานี้ เขา พูดเรื่องทุกเรื่องใต้ฟ้า ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่ได้หา ฟังได้ทั่วไป
วันนี้แม้จะเป็นวันแรกของปี แต่ว่าท่านเฟิงนี้เมื่อถึงเวลาที่ อยากจะเล่าก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางเขาได้ ดังนั้นเมื่อท่านเฟิ งมาถึงร้านน้ำชา ก็เห็นเขาเป็นคนแก่ที่มีหนวดขาวคนหนึ่ง ยืนอยู่บนเวที
ภายในร้านน้ำชาที่นั่งส่วนใหญ่แทบจะเต็มแล้ว หลินซิน เยียนเดินหาตามมุมถึงจะได้ที่นั่งหนึ่งที่ โต๊ะหนึ่งมีเก้าอี้สี่ตัว แต่มีคนนั่งแล้วสามคน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นอายุราวๆยี่สิบ ปี ทำท่าขอเป็นพิธีแล้วนั่งลง สามคนที่เหลือก็พยักหน้า เบาๆ เป็นการตอบรับ
“ตาเฒ่าคนนี้จะมาเล่าเรื่องอะไรให้พวกเราฟังเนี่ย” ผู้ชายใส่หมวกที่นั่งอยู่ซ้ายมือของหลินซินเยียนพูด รูปร่างท่าทางดูสง่างามแต่ทว่า แต่เวลาพูดนั้นหยิ่งยโสเหลอเกน
เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านขวามือของหลินซินเยียนที่ดูจะ อายุเยอะกว่าเล็กน้อย พูดกับคนที่พูดก่อนหน้านี้มีรูปร่าง หน้าตาคล้ายๆกันว่า “น้องเจ็ดเจ้าอย่าดูถูกตาเฒ่าคนนี้เลย เขาเล่าเรื่องได้ลื่นไหลยิ่งนัก ไม่เชื่อเจ้าถามพี่สามสิ”
“น่าฟังจริงๆแหละ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาจะมาเล่าในวันนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เรื่องนี้น่าจะน่าสนใจมากแน่ๆ” พี่สามที่ถูก กล่าวถึงอ้าปากพูด พูดอย่างงดงามมีสง่าแล้วก็ดื่มชาไป
หลินซินเยียนไม่ได้พูดอะไร แค่พิจารณาคนกลุ่มนี้อย่าง เงียบๆ แต่เดิมสามคนนี้น่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่นับดูแล้วมีพี่ น้องถึงเจ็ดคน พอของพวกเขานั้นมีความสามารถในการให้ กำเนิดบุตรจริงๆ พอเห็นแบบนี้ อยากจะรู้จริงๆว่าเป็นลูก บ้านไหน
ไม่ต้องรอให้หลินซินเยียนประหลาดใจ ท่านเฟิง เห็นคน มาถึงจำนวนมากแล้ว ก็ดื่มชาอีกหนึ่งแล้วก็เริ่มเล่าเรื่อง “วัน นี้ข้าจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับความรัก กับเรื่องดีงามที่ถูกพูด ถึงไปพันลี้ เรื่องราวความรักลึกซึ้งมีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ พวกท่านอยากฟังเรื่องของใครก่อน”
เขาเปิดหัวเรื่อง กระตุ้นในผู้ที่เข้ามาฟังในวันนี้ตอบรับ พอผู้ฟังได้ยินคำถามเช่นนี้ ก็มีวัยรุ่นบางคนส่งเสียงขึ้นมา ว่า “อยากฟังเรื่องในเมืองเฟิ่งซี ตอนนี้เรื่องที่เป็นประเด็น ร้อนไม่ใช่เรื่องคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลหนานกงกับบุตร สาวตระกูลเว่ยหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านอยากจะนำมาเล่า หรือ”
“เด็กๆอยากฟังก็ย่อมได้”ท่านเฟงส่ายหัวไปมา หลงจาก ยั่วให้ทุกคนเกิดความสนใจแล้วก็เล่าต่อว่า “การค้าขาย ของตระกูลหนานกง เป็นผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งของแดนใต้ ด้านบนเป็นการค้าใหญ่โตอันดับหนึ่ง ด้านล่างเป็นการค้า เกลืออันดับหนึ่ง ท่านชายของตระกูลหนานกงพอที่จะพูด ได้ว่ารวยเทียบเท่าระดับประเทศ แต่บุตรีตระกูลเว่ยเป็นผู้ หญิงของท่านนายทหารของราชสำนัก นี้เป็นเรื่องราวความ รักที่ของสองครอบครัวขุนนางใหญ่ ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ ของเมืองเฟิ่งซีในวันนี้หรือ”
“แต่ว่า ทุกท่านสามารถรู้ได้เพียงแค่หนึ่ง ไม่สามารถรู้ เรื่องต่อจากนี้ได้” เขาดื่มชาอีกครั้งแล้วเล่าต่อ “ถ้าหากจะ เล่าแบบผิวเผินก็ต้องง่ายๆเช่นนี้และ จะให้ข้าที่เล่าเรื่อง อะไร”
“ท่านเฟิง ท่านไม่ต้องมาสร้างสถานการณ์เลย ท่านรีบ เล่าเถอะ พวกเราได้ยินมาแล้ว ดูท่าทางเรื่องนี้จะสร้าง ความวุ่นวายให้ภายในบ้านตระกูลเว่ยไม่น้อย ดูท่าทางจะ ไม่ยินดีกับงานแต่งครั้งนี้ ต้องเป็นเรื่องนี้แหละ” มีคนส่ง เสียงมาทางด้านหน้าอีกที
หลินซินเยียนมองไปยังคนที่พูดขึ้นมาเมื่อกี้ โต๊ะของเขา มีคนนั่งอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นมีคนที่แต่งตัวอำพรางกาย แต่แค่ นางมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว มู่เหอ เขามาปรากฏตัวอยู่ ที่นี่ได้อย่างไร พวกเขาลุกขึ้นส่งเสียง ถามคำถามพวกนี้ โม่ จื่อเฟิงบอกให้พวกเขาทำรี
“โอ้โฮ พวกท่านฉลาดยิ่งนัก ข้ายังไม่ได้เล่าพวกท่านก็รู้เสียแล้วหรือ”เขาชีไปทางกลุ่มคน แล้วก็พูดต่อ ” เม่ผิด วน นี้พวกเราจะมาพูดถึงเรื่องของบุตรีตระกูลเว่ย เรื่องมีอยู่ว่า บุตรีตระกูลเว่ยเป็นอนุภรรยาของนายพลคนนี้ หลายปี ก่อนก็อาศัยอยู่ในบ้านเก่า แต่เมื่อปีก่อนถูกพากลับมาที่ บ้านตระกูลเว่ย แต่บ้านเก่านั้นตั้งอยู่ที่บริเวณนอกสี่เมือง ใหญ่ ในเมืองที่ห่างไกลนั้นมีปัญญาชนคนหนึ่ง เกิดมามีรูป ลักษณ์ล้ำเลิศ เขียนกลอนได้ดี โดยเฉพาะกลอนรัก ”
เรื่องต่อจากนั้น ไม่ต้องฟังก็รู้ได้เลยว่า ก็คือ บุตรสาวตระ กูลเว่ยกับปัญญาชนนั้นรักกัน เรื่องราวก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีบุตรตระกูลเว่ยไม่ได้รับความสนใจอะไร มากมาย แต่เมื่ออยู่ภายใต้ความใส่ใจของปัญญาชนสอง คนก็ติดต่อมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว แต่เวลานี้ บุตร สาวตระกูลเว่ยกลับถูกนำตัวกลับบ้านตระกูลเว่ย
“เป็นเรื่องราวความรักจริงๆ แค่น่าเสียดายเรื่องของคู่ ครอง” เสียงของเขาพร้อมก็เล่าต่อ “แต่ว่าชีวิตคู่นั้น ตั้งแต่ โบราณก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของแม่สื่อ เรื่องหลักๆเลยคือการ แต่งงานของบุตรสาวตระกูลหลี คู่ครองจะต้องไปรับหน้าที่ ทหาร คนจนอย่างเขาจะ มาเลี้ยงดูบุตรสาวตระกูลเว่ยได้อย่างไร”
เมื่อเรื่องราวชีวิตส่วนตัวถูกพูดถึงขึ้นมา ก็มีเสียงดังเซ็ง แซ่หน้าเวทีขึ้นมา คนที่สามารถนำเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมา เล่าบนเวทีนี้ได้ก็คงมีแค่ท่านเฟิงคนเดียวเท่านั้น อย่ามอง ว่าท่านเฟิงคนนี้ที่มีเครางามสีขาว ไม่มีตำแหน่งขุนนาง แต่ เขาเป็นผู้ที่รู้ลึกรู้จริงดั่งผู้เป็นเจ้า เมื่อจักรพรรดิองค์ ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ก็ได้รับคำชี้นำจากเขาไปเหมือนกันแต่ทว่าเขานั้นชอบการเล่าเรือง มาก และจา ชื่นชมเขามาแล้ว เลยมีการอนุมัติให้เขาเล่าเรื่องได้เป็น กรณีพิเศษ นั่งก็คือสิทธิ์ในการเล่าเรื่องของเขา
ดังนั้น เขาจึงกล้าเล่าเรื่องพวกนี้ แต่กลับยังไม่มีใคร สามารถเล่าเรื่องได้แบบเขา แต่ว่า เขานั้นเล่าเรื่องมีน้ำหนัก ดังนั้นเรื่องราวส่วนตัวทั้งหลายที่แต่เดิมไม่เกี่ยวเนื่องกับ การเมือง ดังนั้นคนที่อยู่ในวังก็จะทำได้แค่ปิดตาข้างหนึ่ง
“ดีจริง มีอย่างที่ไหน เจ้าโง่เว่ยจุน มาแย่งผู้หญิงแบบนี้ กับข้า หรือว่าไม่เห็นพวกเราชาวหนานกงอยู่ใน สายตา”ชายที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของหลินซินเยียนตบโต๊ะ ทำให้ชาที่อยู่บนโต๊ะหก
“น้องเจ็ด อย่าพูดเพ้อเจ้อสร้างปัญหา” ชายที่นั่งข้างเขา ตำหนิเสียงเย็น แล้วก็มองตาของหลินซินเยียน
แต่เดิม มีคนบ้านหนานกงทั้งหมดกี่คนกันแน่ หลินซิน เยียนไม่คิดเลยว่าตนเองมาดื่มชาแล้วแถมยังจะได้พบคน ร่ำรวยที่ทำอะไรเกินจริงไม่มีรสนิยมสมัยโบราณแบบนี้ นางยิ้มมุมปาก ก้มหน้าดื่มชา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูด ของเขา
“ท่านพี่ จะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร ฟังความหมายจากที่ ท่านพูดแล้ว ท่านไม่รู้หรือ” หนานกงฉีกำหมัดแน่น แล้วก็ หยิบตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้หลินซินเยียน “เอ้า เจ้า ไสหัวไปที่ไกลๆเลย ตั๋วเงินใบนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
หลินซินเยียนก้มหัวลงพยายามลดความรู้สึกที่มีอยู่ กับ ถูกคนอื่นโยนตั๋วเงินมาให้ ตั๋วเงินนั้นเบามาก ถูกเขาเอาเงินมาฟาดหน้าก็ไม่เจ็บ แต่มันก็ทำให้ตาของนางดำขึ้นมา เหมือนกัน
นางร้องเฮอะ แล้วก็หยิบตั๋วเงินนั้นขึ้นมา แล้วก็ขยี้ตั๋วเงิน นั้นในมือ แล้วโยนกลับไปแบบเดียวกันทางทิศของคนที่ โยนเงินให้นางเมื่อครู่
หนานกงฉีชีวิตนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเอาเงินตบหน้า เขา นิ่งอึ้งไป
“เจ้านี่มันไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ ข้าให้ตั๋วเงินแล้วไม่อยากได้ หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันจำนวนเงินเท่าไหร่” หน้าของหนาน กงฉีกลายเป็นสีเขียวดำ ชี้ไปที่จมูกของหลินซินเยียนแล้ว คำรามเสียงต่ำ ราวกับจะระบายความโกรธไปบนร่างของ หลินซินเยียน
หลินซินเยียนหัวเราะ ไม่สนใจเขา ขณะที่นางยิ้มนั้นก็พ่น ชาร้อนๆที่อยู่ในปากใส่หน้าของหนานกงฉีเต็มๆ “มีจำนวน เงินเท่าไหร่งั้นรึ ขอโทษด้วยนะท่านชาย ข้าไม่รู้หนังสือ อ่านไม่เข้าใจ” หลินซินเยียนยิ้มแล้วก็ลุกขึ้น ไม่ขอโทษ สำหรับเรื่องพ่นชา “ท่านพูดในเรื่องที่ข้าไม่อยากจะฟังขึ้น มา ไสหัวไปเร็วๆไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าหรือ”
“เจ้ากล้าพูดว่าไสหัวออกไปกับคุณชายของพวกเรา รี”หนานกงฉีโกรธแล้ว ยืนขึ้นมาหมายจะตบหลินซินเยียน หนานกงถิงถึงที่นั่งอยู่ข้างๆเขารีบกดบ่าเขาลงไป
“น้องเจ็ดอย่าวู่วาม เขาไม่ใช่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง” “ก้าวก่ายเรื่องของเขาเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว สรุปได้ว่าตอนนี้
ยาเกิข้าไม่พอใจ ท่านไม่ทำข้าจะตีเขาให้พิการเอง” หนานกงฉ์ ผลักหนานกงถิงแล้วเดินง้างกำปั้นมาหาหลินซินเยียน
หลินซินเยียนไปหลบอยู่ด้านหลัง ตากระพริบเฉียบคม แล้วก็คำรามเสียงดัง “หนานกงฉี เจ้าไม่สามารถเริ่มทำดี กับแล้วสุดท้ายก็ทิ้งขว้าง เจ้าบอกว่าไม่รังเกียจข้าเป็น ผู้ชาย เจ้าชอบผู้ชาย ไม่ชอบบุตรีตระกูลเว่ย ตอนนี้ได้ยิน ว่าบุตรีตระกูลเว่ยไม่ต้องการท่าน นายถึงเอาความโกรธข องท่านมาลงกับข้า”
หลินซินเยียนทั้งถอยและคำราม ถอยหลังไปถึงประตู โรงน้ำชาแล้ว จนตรอกจนทิ้งตัวอยู่บนพื้น หลังจากนั้นก็ โอ้อวดทำมือเออร์คัง คำรามว่า “หนานกงฉี ข้าเป็นลูกของ ตระกูลที่ยากจน แค่ท่านบอกว่าต้องการให้ข้านอนด้วย ท่านจะเลี้ยงดูพ่อแม่ข้าจนแก่เฒ่า ตอนนี้ท่านต้องการจะ ทอดทิ้งข้า เริ่มก็ทำดีสุดท้ายก็ทอดทิ้ง ฟ้าจะต้องลงโทษ 2 ท่านแน่”
เมื่อคนจำนวนมากได้ยินเช่นนั้น “หนางกงฉี” แค่สามคำนี้ เข้าหูไปก็ทำให้เขาตกใจ เพราะต้องการที่จะได้ยินประเด็น ร้อน คนจำนวนมากก็ขวางทางหนานกงฉีโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ก็เลยเป็นโอกาสที่จะให้หลินชินเยียนได้พูดหลายประโยค
เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า จะมาได้พบเรื่องราวความ รักของคนตระกูลหนานกงเช่นนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าหนา นกงฉีจะเป็นพวกชายรักชายจริงหรือ
ช่วงเวลาหนึ่ง โรงน้ำชานั้นเดือดพล่าน ท่านชายเฟิงก็พูด
ว่าอย่าเอะอะโวยวาย
หลินซันเยียนเดินมาจนถึงประตูและ คิดชีวิต มองกลับไปแบบรีบๆก็มองเห็นสายตาของมู่เหอกับ วัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่มีนัยยะว่า “ไม่ระวังเลย” กำลังเบียดกัน อยู่ที่หน้าประตู
ดูท่าทาง มู่เหอจะรู้แล้วว่านางเป็นใคร
ภายในโรงน้ำชา ปัญหาร้อนๆเหมือนน้ำเดือดในหม้อ คน ที่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลตระกูลหนานกงก็ ทยอยเดินเข้าไปด้านหน้า มีความปรารถนาอยากจะพูดกับ คนตระกูลหนานกงไม่กี่ประโยค เพียงแต่จุดอ่อนของ ตระกูลหนานกงก็ไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำ พวกเขากิน ทั้งชาติก็ไม่หมด
หนานกงฉี อยากจะอธิบายแต่ว่าดูจากคนรอบข้างแสดง ถึงความเจ็บปวดแล้วดูท่าทางพวกเขาไม่แม้แต่จะฟังคำ อธิบายของเขาเลย เป็นความเชื่อถือในการปฏิบัติตนของ เขาต่อผู้อื่น จะต้องเป็นเพราะคนนั้นพูดสร้างปัญหาเอาไว้ แน่ๆ แต่ว่าคนเหล่านั้นภายในตาบ่งบอกชัดเจนแสดงจุดยืน ของตนเองเลยว่าเลยว่าไม่เชื่อในตัวเขา แต่ว่าทำไปก็เพื่อ เอาใจหนานกงฉีก็เท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใคร เชื่อเขาอยู่ดี
หนานกงถึงกับหนานกงเหยียนมองตากัน ในขณะที่มอง ทิศทางที่หลินซินเยียนกำลังเดินจากไป สีหน้าของทั้งสอง คนนั้นดูแทบไม่ได้ พวกเขาดูแคลนคนแปลกหน้าคนนี้มาก เกินไป แค่เพียงสองประโยคก็ทำให้หนานกงฉีตกอยู่ในสภาวะกลื่นไม่เข้าคาย ไม่ออกแบบ นี้ พวกเขา จากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ ชื่อเสียงของหนานกงฉีนั้นนับ ว่าลดน้อยจนแทบไม่เหลือแล้ว
หลังจากหลินซินเยียนวิ่งจนแบบหายใจไม่ทันผ่านถนน มาหนึ่งสายแล้วก็หยุดพัก นางไม่เสียใจภายหลังเลยที่ได้ ลงโทษคนตระกูลหนานกง คนรอบๆแถวนั้นดูจากบุคลิก แล้ว ก็ไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้
ตกกลางคืน อากาศค่อยๆหนาวเย็น
เมื่อหลินซินเยียนกลับถึงห้องโถง สาวใช้ก็กลับมาถึงแล้ว นางเพิ่งจะกลับมาถึงห้องโถง สาวใช้ที่กำลังยืนอยู่หน้า ประตูก็ตะโกนว่า “ท่านอ๋องเพิ่งมา”
หลินซินเยียนตกใจ หลังจากพยักหน้าให้นางแล้ว ก็เดิน ไปทางห้องโถงใหญ่
หลังจากนางเดินเข้าห้องไป โม่จื่อเฟิงที่นั่งอยู่ที่นั่ง ประธานก็กวาดตามองนาง ไม่ปรากฏสีหน้าใดๆ “แต่งตัว แบบนี้ออกไปข้างนอกรี”
“ใช่ แต่งเสื้อผ้าผู้ชายคล่องตัว ใบหน้าของข้านั้นงดงาม ถ้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงกลัวว่าจะมีคนจำนวนมากมาสร้าง ปัญหาให้ท่าน หลินซินเยียนมานั่งตรงใกล้ที่วางมือของ เขา รินชาให้ตัวเอง วิ่งมารวดเดียว แค่จะดื่มชานางก็ เหนื่อยแล้ว
โม่จื่อเฟิงฮีเบาๆ “เจ้านี่มีความมั่นใจเหลือเกินนะ แต่งกาย เป็นชายแต่ก็ยังยั่วยุบ้านตระกูลหนานกงได้นะ”
เขารู้เรื่องเร็วขนาดนี้เลยหรือ หลินซีนเย้ยนรอนใจ แต่ สักพักก็ปล่อยวางได้ ในฐานะที่เป็นอู่เซวียนอ่อง การได้รับ ข่าวก็ถือเป็นเรื่องปกติ
“ท่านอ๋องให้ข้ายุยงตระกูลเว่ยและตระกูลหนานกง ข้า แค่เติมไฟไปอีกหน่อย ข้าไม่ได้รู้สึกว่าข้ากำลังก่อเรื่อง แต่ เป็นเพราะข้าหวังดีต่อท่านอ๋องต่างหาก” เมื่อหลินซินเยียน กำลังพูดอยู่นั้นก็ไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา สองแขน โอบรอบคอเขา ออดอ้อนใกล้หูเขา
บางที ถ้าหากว่านางทำให้เขาพอใจอีกครั้ง เขาอาจจะ ช่วยหนุนหลังนางก็ได้ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดได้เฉียบคม มากกว่าข้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะให้เจ้ายุแยงตะแคงรั่ว”
“ท่านอ่อง ท่านโยงมู่เหอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มี หรือข้าจะดูไม่ออก” ขณะที่หลินซินเยียนพูดเช่นนั้น มีอ ของนางก็สอดเข้าไปในเสื้อคลุมของเขา ใบหน้าของนางมี รอยยิ้ม แต่ในใจของนางมีรอยยิ้มที่เยือกเย็น พูดมาก ขนาดนี้ เข้ามาที่นี่ไม่ได้หมายจะมานอนกับนางหรอก รี นาง รู้นางยอมทำตามให้เขาพอใจแล้วจะได้จากไปเร็วๆดีกว่า