ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด - ตอนที่ 656 ไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาก่อน / ตอนที่ 657 เจ้ายอมยิ้มให้ข้าแล้ว
- Home
- ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด
- ตอนที่ 656 ไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาก่อน / ตอนที่ 657 เจ้ายอมยิ้มให้ข้าแล้ว
ตอนที่ 656 ไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาก่อน
“เช่นนั้นขอเสด็จแม่อย่าได้ทรงเสียพระทัยภายหลังก็แล้วกัน นับตั้งแต่นี้ไป ฮ่องเต้คือฮ่องเต้ ขุนนางคือขุนนาง”
เฉินมั่วฉือลั่นวาจาจบก็ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมู่หรงกวานเย่ว์อีก เขาพาหลิงอวี้จื้อขึ้นเกี้ยวทันที
ส่วนมู่หรงกวานเย่ว์ก็ซวนเซจวนเจียนจะล้มเสียให้ได้ นางกำชายเสื้อของจื่ออีเพื่อค้ำจุนร่างกายที่โงนเงนแทบทรุดงไปของตัวเองเอาไว้
“ลูกชายที่นางฝากความหวังทุกอย่างเอาไว้ พูดจากับนางเช่นนี้ แล้วความพยายามที่ผ่านมาตั้งหลายปีของนางมันคืออะไร เป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?”
“ขึ้นเกี้ยว”
เฉินมั่วฉือสั่งการด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
ขบวนเสด็จเดินหน้าต่อ ส่วนมู่หรงกวานเย่ว์ที่ยืนอยู่ข้างๆ มือกำชายเสื้อของจื่ออีแน่น ข้อนิ้วแข็งเกร็ง จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของจื่ออีบางส่วน แม้จะเจ็บปวดอยู่บ้างแต่นางก็มิกล้าเอ่ยร้องออกมา ด้วยรู้ดีว่า จิตใจของมู่หรงกวานเย่ว์ในตอนนี้ต้องกำลังเสียใจอย่างมากเป็นแน่
“ไทเฮา พวกเรากลับตำหนักเถิดเพคะ”
มู่หรงกวานเย่ว์รู้ดีว่ารั้งเฉินมั่วฉือเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าบุตรชายยอมที่จะละทิ้งทุกอย่างเพื่อปกป้องหลิงอวี้จื้อ หากนางยังคงดึงดันที่จะเอาชนะรังแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเท่านั้น
มู่หรงกวานเย่ว์ฝืนเรียกสติกลับคืนมา แล้วขึ้นนั่งเกี้ยวที่จอดอยู่ไม่ไกลออกไป รู้สึกอยากร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน นางไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วตนเองทำอะไรผิดไปกันแน่ นางทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายโดยไม่เคยคำนึงตนเองเลยแม้แต่น้อย ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมายี่สิบกว่าปี สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการทอดทิ้งจากบุตรชาย
“จื่ออี ข้าทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่?”
มู่หรงกวานเย่ว์เอนหลังพิงเกี้ยวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า จื่ออีปรนนิบัติรับใช้มู่หรงกวานเย่ว์มาหลายปีจึงรู้ดีว่านายของตนกำลังเจ็บปวดเสียใจยิ่งนักในเวลานี้
“ไทเฮา ทรงปล่อยวางเสียบ้างเถิดเพคะ ในเมื่อฝ่าบาทมิทรงโปรดให้ไทเฮาเข้าไปยุ่ง เรื่องบางเรื่องก็อย่าทรงเข้าไปยุ่งเลย ปล่อยให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง จะได้ไม่ต้องทำลายน้ำใจระหว่างแม่ลูกนะเพคะ”
“บางที ต้าเว้ยคงถูกลิขิตให้ต้องล่มสลาย”
“ฮองเฮา อย่างทรงตรัสวาจาเป็นลางร้ายเช่นนั้นสิเพคะ”
มู่หรงกวานเย่ว์ปิดเปลือกตาลงโดยมิได้กล่าวอะไรออกมาอีก นางกำลังรำลึกทบทวนชีวิตที่ผ่านมา จู่ๆ จึงได้ค้นพบว่า ดูเหมือนว่านางมิเคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาก่อน
หลังจากเข้าวังมา นางก็ลืมเลือนทุกอย่างที่เป็นของตน ทุ่มเทให้กับลูกเพียงคนเดียว
เซียวเหยี่ยนคือความลับที่นางซุกซ่อนอยู่ในใจ ทุกครั้งที่นางนึกถึงเซียวเหยี่ยนนางถึงได้รู้สึกว่าตนเองยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อมาเซียวเหยี่ยนทอดทิ้งนาง มาตอนนี้บุตรชายก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับนางอีก ในตอนนี้นอกจากตำแหน่งไทเฮาแล้ว นางไม่เหลืออะไรเลย บุคคลที่ดูราวกับเป็นห่วงเป็นใยนางก็ค่อยๆ ห่างเหินไปเรื่อยๆ ตกลงแล้วใครถูกใครผิดกันแน่
เกี้ยวของเฉินมั่วฉือหลังใหญ่เป็นพิเศษ จึงสามรถจุคนได้เจ็ดแปดคนทีเดียว ส่วนด้านในของเกี้ยวก็ประดับตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม ที่พื้นปู้ด้วยพรมหนา มีเก้าอี้ตัวใหญ่วางคู่กับโต๊ะตัวเล็กสองสามตัว ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีผลไม้และของว่างสีสันสวยงามหลากหลายชนิดวางอยู่
เฉินมั่วฉือหน้าตึงราวกับลูกหนังที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
ความเจ็บปวดเสียใจในดวงตาของมู่หรงกวานเย่ว์หลิงอวี้จื้อเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่านางจะไม่ชอบมู่หรงกวานเย่ว์ก็ตามที แต่เฉินมั่วฉือช่วยเหลือนางเอาไว้สองครั้งสองครา แม้จะไม่ถึงกับเป็นเพื่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเขาก็พิเศษยิ่งนัก เฉินมั่วฉือผิดใจกับมารดารุนแรงเพียงนี้ แน่นอนว่าในใจของเขาย่อมต้องไม่สุขสบายมากถึงขั้นเจ็บปวดเสียใจก็ว่าได้ทำให้หลิงอวี้จื้ออดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากขึ้นมาว่า
“ฝ่าบาท ขอทรงอภัยที่หม่อมฉันกราบทูลตามตรง หม่อมฉันรู้สึกได้ว่าไทเอาทรงห่วงใยฝ่าบาทยิ่งนัก จึงไม่ถึงขั้นต้องตัดแม่ตัดลูกกันแต่อย่างใด หากตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฝ่าบาทเองก็จะต้องทรงเจ็บปวดพระทัยนะเพคะ”
คนทั้งสองต่างก็ปากแข็งด้วยกันทั้งคู่ แต่เฉินมั่วฉือเองก็มิใช่คนที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณต่อมารดาแต่อย่างใด ปัญหาใหญ่ที่สุดระหว่างพวกเขาในตอนนี้นั่นก็คือการไม่พูดคุยกัน และด้วยความที่มีนิสัยแข็งกร้าวด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครยอมก้มหัวให้ใคร ดังนั้นเมื่อคิดเห็นไม่ตรงกันจึงส่งผลให้เกิดการกระทบกระทั่งกันรุนแรง
“ข้าผิดใจกับเสด็จแม่ เจ้าต้องดีใจต่างหากถึงจะถูก”
เฉินมั่วฉือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค
“ฝ่าบาทมิทรงหลอกใช้หม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็มิอยากหลอกใช้ฝ่าบาท เรื่องในวันนี้หม่อมฉันต้องกราบทูลว่า ‘ขอบพระทัยฝ่าบาท’ เพราะหากไม่มีฝ่าบาท หม่อมฉันจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ แต่แม้ว่าไทเฮาจะทรงต้องการฆ่าหม่อมฉัน แต่ทรงห่วงใยฝ่าบาทด้วยพระทัยจริงนะเพคะ อีกทั้งสองเรื่องนี้ก็เป็นคนละเรื่องกัน”
หลิงอวี้จื้อเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ
ตอนที่ 657 เจ้ายอมยิ้มให้ข้าแล้ว
เฉินมั่วฉือนึกไม่ถึงเลยว่าหลิงอวี้จื้อจะกล่าววาจาเช่นนี้กับเขา ฮ่องเต้ที่มีฐานะสูงส่งมาโดยตลอดคราวนี้ถึงกับแสดงสีหน้าแววตาสับสน ดูราวกับกดดันอัดอั้นมาเป็นเวลานาน
“ข้ารู้ว่าเสด็จแม่ทรงเป็นห่วงข้ามาก หากไม่มีเสด็จแม่ ข้าก็คงไม่มีวันนี้”
“แต่ข้าไม่ชอบการที่เสด็จแม่ทรงเห็นข้าเป็นเสมือนเด็กน้อยตลอดเวลา ทรงยื่นเงื่อนไขที่เคร่งครัดกับข้ามาโดยตลอด เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กข้ากลัวเกรง ต่อมาเมื่อไร้ซึ่งความกลัวแล้วแต่กลับกลายเป็นความไม่ยินดีที่จะเข้าใกล้มาแทน ข้าไม่อยากเห็นเสด็จแม่อบรมสั่งสอนข้าด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งครึมดุดัน จนข้าที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ต้องเกรงกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ข้าโตแล้วด้วยซ้ำ เสด็จแม่ก็ยังมิทรงยินยอมที่จะปล่อยข้าไป พระองค์ทรงไม่เคยเชื่อในตัวข้าเลย”
หลิงอวี้จื้อเข้าใจในความหมายที่เฉินมั่วฉือต้องการจะสื่อ แม่ลูกคู่นี้เป็นตัวอย่างสุดคลาสิคที่เรียกว่า ‘คนหนึ่งรีบร้อนจะเติบโต ส่วนอีกคนกลับไม่กล้าที่จะปล่อยมือ’
ทั้งสองคนไม่มีใครผิดเพียงแต่ขาดความเข้าใจกันเท่านั้นเอง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเปรียบเปรยให้ฟังนะเพคะ พระองค์คือลูกบ่าวคนหนึ่งในจวน ทรงมีบุตรหนึ่งคน พระองค์กับมารดาของเด็กไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย มีเพียงลูกคนนี้เพียงคนเดียว พวกท่านอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีกำแพงสูงลิบ ในเวลาปกติพวกท่านไม่สามารถออกไปข้างนอกพบหน้าญาติมิตรหรือคนรู้จักได้ ดังนั้นลูกคนนี้ย่อมต้องกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพระองค์”
“ความหวังอันสูงสูดที่พระองค์มอบให้กับเขาทำให้ทรงต้องการจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้กับเขา พระองค์ปูทางวาดฝันทุกอย่างเอาไว้เพื่อเขา ในที่สุดพระองค์ทรงอุ้มชูเขาให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอยู่เหนือคนทั้งหลายได้สำเร็จ”
“สุดท้ายแม้ว่าลูกน้อยจะเติบใหญ่แล้ว แต่จะอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย พระองค์ทรงเกรงว่าลูกของพระองค์จะเดินทางผิดไป ดังนั้นจึงมิกล้าปล่อยมือ ยังคงต้องการที่จะอยู่เคียงข้างลูกน้อยเพื่อช่วยเหลือดูแลเขา”
“ทว่าลูกที่เติบใหญ่กลับหมางเหมินมีใจออกห่างพระองค์ เขาเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับการก้าวก่ายของพระองค์ จึงมักจะต่อต้านพระองค์เสมอ”
“พระองค์ทรงใช้เวลากว่าค่อนชีวิตหมดไปกับลูกคนนี้จึงรับไม่ได้กับท่าทีของลูกที่มีต่อตน อีกทั้งพระองค์มิทรงยอมเรียนรู้ที่จะปล่อยมือ เพราะสำหรับพระองค์แล้ว หากว่าจู่ๆ ทรงปล่อยมือนั่นก็หมายความวันเวลาต่อไปจากนี้เท่ากับความว่างเปล่า พระองค์ทรงไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไร เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อลูกมาตลอด”
ฉินมั่วฉือไม่พูดจาเอาแต่ครุ่นคิดตามในสิ่งที่หลิงอวี้จื้อกล่าวมา หลิงอวี้จื้อตวัดสายตาขึ้นทอดมองไปยังเฉินมั่วฉือเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ทรงลองจินตนาการว่าพระองค์เป็นไทเอาบ้างสิเพคะ บางทีพระองค์อาจจะเข้าพระทัยการกระทำของไทเฮาได้มากขึ้น”
“ไทเฮารักฝ่าบาทไม่ใชความผิด แต่เพราะใช้วิธีการที่ผิดเท่านั้น พระองค์ทรงอยากตรัสอะไรกับไทเฮา ก็ทรงเถิด ไทเอาทรงพระปรีชาสามารถ จะต้องทรงเข้าพระทัยฝ่าบาทเป็นแน่เพคะ”
“นี่เจ้าถึงกับพูดแทนไทเฮา”
“หม่อมฉันมิได้กำลังพูดแทนไปเฮาเสียหน่อย หม่อมฉันเพียงแต่ไม่อยากเห็นฝ่าบาทต้องทรงเป็นทุกข์เท่านั้นเองเพคะ”
ความขุ่นเคืองกลัดกลุ้มใจที่แสดงออกผ่านทางสีหน้าของเฉินมั่วฉือเจือจางลงไปมาก
“เจ้าพูดเช่นนี้ เพราะเจ้ายังเป็นห่วงข้า”
“ฝ่าบาททรงช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันช่วยคลายความทุกข์ในพระทัยของฝ่าบาทเป็นการตอบแทนน้ำใจไมตรีของฝ่าบาทเท่านั้นเอง”
เดิมทีสภาพอารมณ์ของเฉินมั่วฉือกลัดกลุ้มสับสนเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่หลิงอี้จื้อวิเคราะห์อธิบายให้ฟังแล้ว สภาพอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก
หากคิดตามที่หลิงอวี้จื้อกล่าวมา หลายปีที่ผ่านมานี้เสด็จแม่ต้องทรงเหน็ดเหนื่อย ต้องเสียสละมากมาย และคำพูดตัดเยื่อใยเมื่อครู่ที่เขากล่าวออกไปก็ด้วยอารมณ์โกรธเท่านั้น รอให้กลับไปถึงวังเสียก่อน เข้าค่อยเข้าไปขอรับโทษจากเสด็จแม่ก็แล้วกัน
“รักษาตัวด้วย”
เฉินมั่วฉือรู้ดีว่าถึงเวลาที่หลิงอวี้จื้อต้องไปแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น จิตใจของเขาก็เริ่มว้าวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้ากลับคาดหวังให้เซียวเหยี่ยนไม่ดีต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้นึกถึงความดีของข้า”
“เกรงว่าพระองค์จะต้องทรงผิดหวังแล้วเพคะ”
หลิงอวี้จื้อสิ่งยิ้มให้กับเฉินมั่วฉือด้วยอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสเต็มประดา ในที่สุดก็ออกจากวังมาได้ หลิงอวี้จื้อถึงกับถอนหายใจครั้งใหญ่ด้วยความโล่งอก
“เจ้ายอมยิ้มให้ข้าแล้ว?”
เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อส่งยิ้มให้กับตน เฉินมั่วฉือก็ถึงกับเคลิบเคลิ้ม นับตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในวัง ดูเหมือนว่าหลิงอวี้จื้อจะไม่เคยยิ้มให้เขามาก่อน เมื่อเวลาอยู่ต่อหน้าเขานางมักจะหวาดระแวงเสมอ