ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 108-1 แตกหัก
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 108-1 แตกหัก
จนเมื่อไม่รับรู้ถึงสายตาของเยียหลี่ว์เหยี่ยจากทางด้านหลังแล้ว เยี่ยหลีถึงได้หยุดฝีเท้าลงพร้อมขมวดคิ้วน้อยๆ ครึ่งปีมานี้ นางทำความเข้าใจสถานกาณ์ของแต่ละแคว้นมาคร่าวๆ เยียหลี่ว์เหยี่ยผู้นี้ดูภายนอกเป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย แต่เอาเข้าจริงเขาเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวในพระโอรสสิบกว่าองค์ของเป่ยหรงอ๋อง ที่สามารถต่อกรชิงดีชิงเด่นกับรัชทายาทเยียหลี่ว์หงได้ ความโหดเ**้ยมและเลือดเย็นนั้นคงมิต้องพูดถึง หากไม่จำเป็นจริงๆ เยี่ยหลีไม่อยากไปมีเรื่องกับคนเช่นนี้แม้แต่น้อย
“พระชายา คนผู้นั้น…” เมื่อชิงซวงเห็นสีหน้าเยี่ยหลีไม่สู้ดีนัก จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
ชิงหลวนและชิงซวงลอบสบตากัน ต่างเห็นแววเป็นกังวลในสายตาของอีกฝ่าย พระชายาเดินอยู่ด้านหน้าอาจไม่ทันเห็น แต่พวกนางต่างเห็นสีหน้าและแววตาขององค์ชายอะไรนั่นอย่างชัดเจน
ชิงหลวนนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูดขึ้นว่า “องค์ชายท่านนั้นมิใช่คนดี พระชายาเลี่ยงเขาได้ก็จะดีนะเพคะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เด็กโง่ คนบางคนใช่ว่าเจ้าคิดอยากจะเลี่ยงก็สามารถเลี่ยงได้หรอกนะ นอกเสียจากว่าพวกเราจะไม่ทำอันใดเลย วางใจเถิด ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”
“บ่าวคิดมากไม่เองเพคะ” ชิงหลวนเอ่ยยิ้มๆ นางยังไม่เคยเห็นว่ามีเรื่องใดที่พระชายาจะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเลย เชื่อว่าพระชายาน่าจะรู้ว่าควรจัดการเช่นไรเสียนานแล้ว ที่นางต้องทำก็เพียงคุ้มครองพระชายาให้ดีเท่านั้น
“ไม่ต้องคิดมากแล้ว ลองไปดูที่ร้านเฟิงหวากันเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ
เพียงก้าวเข้าไปในร้านเฟิงหวา ก็ได้ยินเสียงเครื่องเคลือบตกแตกดังลอยมาทันที เยี่ยหลีชะงักฝีเท้าลง หลงจู๊ร้านเฟิงหวาคุ้นเคยกับชายาติ้งอ๋องเป็นอยางดี จึงรีบเดินออกมาพร้อมยิ้มต้อนรับ “ข้าน้อยคารวะพระชายา เชิญพระชายาด้านในก่อน”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก้าวเข้าไปในร้านพร้อมกวาดตามองโดยรอบก่อนถามขึ้นว่า “ไม่มีเรื่องอันใดกระมัง”
หลงจู๊ฝืนยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ “พอดีมีแขกสองท่านเกิดเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายาไปประทับในห้องด้านนี้ก่อน หลายวันก่อนท่านอ๋องให้คนมาบอกว่าอยากได้ไข่มุกชั้นดี เดิมทีคิดไว้ว่าจะนำไปให้ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ไม่คิดว่าวันนี้พระชายาจะมาด้วยตนเอง” หลงจู๊เอ่ยขึ้นระหว่างเดินนำเยี่ยหลีไปยังห้องส่วนตัว
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ผู้ที่จะมาร้านเฟิงหวาได้ย่อมเป็นผู้มีอันจะกินหรือไม่ก็เป็นผู้ดีชนชั้นสูง เรื่องขัดแย้งระหว่างคนประเภทนี้ย่อมมิใช่เรื่องไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ อย่างชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่จะเอะอะจนรู้กันทั่วได้
เมื่อเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวแล้ว หลงจู๊ได้นำไข่มุกสามสี่กล่องเข้ามาให้เยี่ยหลีดูด้วยตนเอง เยี่ยหลีเปิดออกดูก็เห็นว่าล้วนเป็นไข่มุกชั้นดีทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นมีกล่องหนึ่งที่เป็นไข่มุกสีม่วงอ่อน กล่องหนึ่งมีเพียงสิบเก้าเม็ดเท่านั้น แต่ที่หาได้ยากนั้นคือ ไข่มุกทุกเม็ดมีขนาดประมาณไข่นกพิราบเลยทีเดียว เพียงเปิดกล่องขึ้น ประกายสีม่วงอ่อนก็ทำให้ภายในห้องมีประกายแสงที่แปลกประหลาดโอบคลุมไว้ทันที
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คือไข่มุกราตรีหรือ” ไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ดนั้นยังไม่ถือว่าหายากเท่าไร แต่ที่หาได้ยากคือไข่มุกทั้งสิบเก้าเม็ดภายในกล่องมีสีและขนาดที่เท่ากันทั้งหมด
หลงจู๊เอ่ยด้วยความภูมิใจอย่างยิ่งว่า “พระชายาเอ่ยถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือไข่มุกราตรี ไข่มุกราตรีเช่นนี้หนึ่งเม็ดที่มูลค่ามหาศาล ยิ่งมิต้องพูดถึงมูลค่าของทั้งกล่องเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งนี่ยังเป็นไข่มุกราตรีสีม่วงที่หาได้ยากที่สุดอีกด้วย ไม่รู้ว่าพระชายาถูกใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มๆ “หลงจู๊ลำบากท่านแล้ว”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีดูพอใจ หลงจู๊จึงยิ่งแย้มยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ไข่มุกราตรีสิบกว่าเม็ดนี้ เขาลงเงินและลงแรงไปเยอะกว่าจะได้มา ของมีมูลค่าเช่นนี้มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ได้ หากนำมาแยกขายแล้ว มูลค่าของอัญมณีนี้คงลดน้อยลงไปมาก ตำหนักติ้งอ๋องไม่ขาดทั้งทรัพย์สินและอำนาจ หากพระชายาติ้งอ๋องถูกใจของสิ่งนี้แล้ว มูลค่าในการขายครานี้ของเขาคงมากพอกับยอดขายตลอดครึ่งปีเลยทีเดียว
เมื่อคิดถึงข้อนี้ หลงจู๊จึงรีบหยิบแบบเครื่องประดับสามสี่แผ่นออกมาให้เยี่ยหลีดูอย่างกระตือรือร้น “พระชายาเชิญดูก่อน นี่เป็นแบบเครื่องประดับที่ซือฟูที่เก่งที่สุดของร้านเฟิงหวาเราออกแบบสำหรับไข่มุกราตรีกล่องนี้โดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าถูกใจพระชายาหรือไม่”
เยี่ยหลีมองแบบในกระดาษ ก็เห็นเป็นแบบเครื่องประดับที่ปราณีตและงดงามอย่างยิ่ง หากทำออกมาเป็นเครื่องประดับแล้ว ย่อมเป็นที่อิจฉาของสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง เพียงแต่เยี่ยหลีไม่คิดอยากนำมันมาทำเป็นเครื่องประดับใส่ติดตัว
ของสวยของงามเช่นนี้ ผู้ใดต่างก็นึกชอบ แต่ไข่มุกราตรีประเภทนี้ หากนำมาทำเป็นเครื่องประดับและใส่ในเวลากลางคืนแล้ว คนที่สวมใส่มันคงได้ตกเป็นเป้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ของประเภทนี้ถึงจะเอามาใช้งานได้ไม่มากนัก แต่หากซื้อมาเก็บหรือนำไปเป็นของขวัญก็ถือว่าไม่เลวนัก
เยี่ยหลีนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันไปพูดกับหลงจู๊ว่า “ไข่มุกราตรีกล่องนี้ข้าเอาด้วย ไว้ข้าจะให้คนนำแบบมาให้ หลงจู๊ให้คนทำตามแบบเป็นใช้ได้ ส่วนที่เหลือค่อยนำมาทำเป็นเครื่องประดับก็แล้วกัน”
ถึงแม้จะนึกผิดหวังที่เยี่ยหลีไม่ใช้แบบที่ตนนำมาให้ แต่เมื่อเห็นเยี่ยหลีเลือกซื้อเครื่องประดับมุกไปอีกไม่น้อย ก็ทำให้หลงจู๊ยินดีเป็นอย่างยิ่ง อัญมณีชั้นดีเหล่านั้นเป็นของมีราคาแต่ไม่มีคนซื้อ หาได้ยากแต่ก็ขายได้ยากเช่นกัน ท่านติ้งอ๋องช่างใจกว้างกับพระชายายิ่งนัก
เมื่อเลือกเครื่องประดับเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงจะคิดถามหลงจู๊ว่าที่ร้านเฟิงหวามีหยกชั้นดีอยู่บ้างหรือไม่ แต่กลับได้ยินเสียงเครื่องเคลือบตกแตกมาจากห้องด้านข้าง เยี่ยหลีขมวดคิ้วยังมิทันได้เอ่ยอันใด ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ดูท่าคงมีการลงมือกันเกิดขึ้น “หลงจู๊ ห้องด้านข้างนี่คือผู้ใดกัน”
สีหน้าหลงจู๊ดูไม่ดีนัก เอ่ยตอบเสียงต่ำว่า “เรียนพระชายา เป็นท่านมู่หยางโหวซื่อจื่อกับคุณหนูตระกูลซุนแห่งจวนกรมพิธีการ และ…แม่นางเหยาจีแห่งโรงละคนชิงเฉิงพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปเชิญพวกเขาให้ออกไปเดี๋ยวนี้”
เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนยกมือขึ้นห้ามเขา นางยืดตัวลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้ารู้จักพวกเขาทุกคน ข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน”
หลงจู๊เองมิกล้าพูดอันใดมาก รีบออกเดินนำเยี่ยหลีไปยังห้องด้านข้างทันที
เพียงเปิดประตู ทุกคนในห้องต่างก็หันมองมาอย่างพร้อมเพรียง เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังหลงจู๊มองเข้าไปด้านใน เห็นหญิงสาวที่ดูบอบบางในชุดสีเหลืองกำลังร้องไห้อยู่กับอกของมู่หยาง ด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนผัดหน้าบางๆ นั่งอยู่ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เหยาจีอยู่ในชุดสีแดง ยืนอยู่อีกด้านด้วยสีหน้าซีดขาว ใกล้ๆ ขานางมีเศษถ้วยชาตกแตกอยู่
“นี่ทำอันใดกันอยู่หรือ” เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูด้านหลังลง
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา สีหน้ามู่หยางดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนประคองหญิงสาวที่ร้องไห้อยู่กับอกเขาขึ้นมา ผงกศีรษะให้เยี่ยหลี “พระชายา”
เมื่อจู่ๆ ถูกคนรบกวน สตรีวัยกลางคนจึงถลึงตามองมายังประตูด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเห็นเป็นเยี่ยหลี จึงรีบข่มความโกรธของตนลง ลุกขึ้นส่งยิ้มให้อย่างขอลุแก่โทษ “ข้าน้อยซุนซื่อ คารวะพระชายา”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยเรียบๆ ว่า “รบกวนฮูหยินแล้ว” นางไม่มีความทรงจำอันใดเกี่ยวกับซุนฮูหยินผู้นี้เลย นางเป็นสะใภ้ของใต้เท้าซุนแห่งกรมพิธีการ สามีของนางเป็นเพียงขุนนางซื่อหลางขั้นห้าเท่านั้น ตามงานเลี้ยงทั่วไปนางจึงมิเคยได้พูดคุยกับเยี่ยหลี
ซุนซื่อเองก็รู้ว่าถึงแม้พระชายาติ้งอ๋องจะพูดว่ารบกวนแล้ว แต่เอาเข้าจริงเกรงว่าจะเป็นตนที่เอะอะเสียงดังจนไปรบกวนพระชายาติ้งอ๋องเข้า จึงรีบเชื้อเชิญให้เยี่ยหลีนั่งลงพร้อมยิ้มและเอ่ยว่า “พระชายาล้อข้าเล่นแล้ว เกรงว่าจะเป็นพวกเราที่รบกวนพระชายาเพคะ พระชายาโปรดอภัยด้วย”
เยี่ยหลีเหลือบมองพิจารณาซุนฮูหยินกับคุณหนูซุนที่ยืนอยู่ข้างมู่หยาง รูปลักษณ์ไม่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจนัก แต่ลักษณะท่าทางสุภาพเรียบร้อยอย่างคนที่เกิดในตระกูลบัณฑิต จึงทำให้พวกนางดูสบายตาอยู่มาก และไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างคนที่เป็นชนชั้นสูง
คุณหนูซุนรับรู้ได้ว่าเยี่ยหลีกำลังมองประเมินตน หน้าจึงแดงระเรื่อขึ้น ก่อนรีบก้มหน้าลงไปยืนหลบอยู่หลังมู่หยาง
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ หันมองมู่หยางพร้อมเอ่ยว่า “มู่ซื่อจื่อ เหตุใดถึงบังเอิญเช่นนี้ ท่านมาเลือกเครื่องประดับเป็นเพื่อนคุณหนูซุนหรือ ก่อนหน้านี้มิเคยพบหน้าคุณหนูซุนมาก่อนเลย วันนี้เมื่อได้มาเห็นบุรุษมากความสามารถและสตรีที่งดงามเช่นนี้ ช่างดูเหมาะสมกันยิ่งนัก หากถึงวันมงคลเมื่อใด อย่าลืมส่งจดหมายเชิญให้ข้ากับท่านอ๋องด้วย พวกเราจะได้ไปร่วมดื่มด่ำบรรยากาศมงคลบ้าง”
คุณหนูซุนใบหน้าแดงระเรื่อ เหลือบมองเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ก่อนกำแขนเสื้อข้างหนึ่งของมู่หยางแน่น
มู่หยางสีหน้ากลับดูหม่นหมอง เหลือบมองเหยาจีที่ยืนอยู่อีกด้าน แล้วจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พระชายาล้อเล่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงยามนั้นหากพระชายาและท่านอ๋องสามารถเสด็จมาร่วมงานได้ย่อมถือเป็นเกียรติของจวนมู่หยาง”
แววตาของเขาถึงแม้จะดูไม่ชัดเจนนัก แต่กลับมิอาจรอดพ้นสายตาของซุนฮูหยินและเยี่ยหลีไปได้
ซุนฮูหยินสีหน้าบึ้งตึง ส่งเสียงหึเบาๆ “น้อมรับคำอวยพรของพระชายา เพียงแต่การแต่งงานครั้งนี้จะสามารถจัดได้หรือไม่นั้น ก็ยังมิแน่”
“ท่านแม่…” เมื่อคุณหนูซุนได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยเรียกเสียงเบาด้วยความตกใจ
เยี่ยหลีทำประหนึ่งมิได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เลิกคิ้วขึ้นยิ้มและกล่าวว่า “ซุนฮูหยินเหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้ ในเมืองหลวงมีผู้ใดมิรู้บ้างว่าจวนมู่หยางโหวและตระกูลซุนเป็นมิตรสหายที่รักใคร่กัน จะให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มาทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลหรือ”
ซุนฮูหยินย่อมรู้ดีว่างานแต่งงานมิอาจล้มเลิกได้ง่ายๆ นางกวาดตามองเหยาจีด้วยความเหยียดหยาม ก่อนหันมาทอดถอนใจกับเยี่ยหลี “ข้าคงมิกลัวว่าพระชายาได้ยินแล้วจะเห็นขันหรอกนะเพคะ ความสัมพันธ์ระหว่างมู่หยางโหวซื่อจื่อกับแม่นางท่านนี้ ถึงแม้ปกติพวกเราจะมิได้ออกไปที่ใด แต่ก็พอได้ยินอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเพียงความคึกคะนองของมู่ซื่อจื่อที่อายุยังน้อยก็ยังไม่เท่าไร เพียงแต่ยามนี้ บุตรสาวของตระกูลเรายังไม่ทันได้แต่งงานเข้าไป มู่ซื่อจื่อก็มาเอะอะบอกจะแต่งอนุเข้ามาเสียแล้ว พระชายา ตระกูลซุนของพวกเราก็มิใช่ตระกูลที่ไม่ว่ากันด้วยเหตุผล ต่อไปเมื่อบุตรสาวตระกูลเราแต่งเข้าไปแล้ว ก็มิใช่ว่าจะไม่อนุญาตให้ซื่อจื่อแต่งอนุเข้ามา เพียงแต่ แม่นางเหยาจีคนนี้อย่างไรก็มิได้! ก่อนแต่งงานก็เคยมีข่าวคราวกับมู่ซื่อจื่อ ซ้ำยังได้รับสมญาว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยังมิต้องพูดถึงว่าจวนมู่หยางโหวและตระกูลซุนจะยอมเสียหน้าในเรื่องนี้ได้หรือไม่ แต่หากให้นางแต่งเข้าตระกูลมาจริง บุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของข้าจะอยู่ได้อย่างเป็นสุขหรือ”
เยี่ยหลีได้แต่นึกทอดถอนใจ สองคนนี้ก็มิรู้ว่าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาแต่ชาติปางใด เมื่อคืนวานเพิ่งแยกกันไป เหตุใดวันนี้ถึงมาพบกันที่นี่ได้อีก
“เหตุใดแม่นางเหยาจีถึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบา
ใบหน้าเหยาจีขาวซีด แต่หลังกับตั้งตรงไม่ไหวเอน เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้น จึงหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “หรือพระชายาคิดว่าคนอย่างเหยาจีมิอาจมายังร้านเฟิงหวาได้หรือ เหตุใดพระชายาถึงไม่ถามว่ามู่ซื่อจื่อกับคุณหนูซุนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือในใจพระชายา เห็นว่าเหยาจีเป็นคนที่แจ้นมาให้ผู้อื่นดูถูกเองอย่างนั้นหรือเพคะ”
เยี่ยหลีอึ้งไป หันมองเหยาจีที่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแล้วได้แต่นึกรู้สึกผิดในใจ นางมิอาจกล่าวได้ว่า ในใจนางไม่นึกสงสัยในความคิดของแม่นางเหยาจี แต่เมื่อเหยาจีพูดออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ จึงสามารถยืนยันได้เพียงว่า การได้พบคุณหนูซุนในร้านเฟิงหวานั้นไม่เกี่ยวข้องกับเหยาจีแม้แต่น้อย หากเหยาจีเป็นผู้ที่มาถึงก่อน และหากเรื่องนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ ก็คงมีคนตั้งใจให้เกิดขึ้น
“ขอโทษด้วย” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เหยาจีอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนฝืนหัวเรา “ช่างมันเถิด ไม่มีอันใดหรอกเพคะ เดิมทีคนอย่างพวกเราก็ต่ำกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วมิใช่หรือ วันนี้ชายาติ้งอ๋องอยู่ที่นี่ด้วยพอดี เช่นนั้นพวกเราก็มาพูดกันให้เข้าใจเสียเลยแล้วกัน ข้า เหยาจีขอสาบานว่าจะไม่แต่งเข้าจวนมู่หยางโหวไปเป็นอนุอย่างเด็ดขาด อีกทั้ง ตั้งแต่คืนวาน…ชื่อเสียงของเหยาจีก็คงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงกันพอประมาณแล้วกระมัง ต่อให้ยามนี้ตระกูลซุนยอมใจอ่อน แต่ก็เกรงว่า จวนมู่หยางโหวคงไม่มีทางเห็นดีด้วยเป็นแน่ใช่หรือไม่ มู่ซื่อจื่อ บุญคุณมีเคยมีต่อกันเหยาจีมิอาจกล่าวได้ว่าเราจะสิ้นสุดกันแต่เพียงเท่านี้ ให้ถือเสียว่าชาตินี้เหยาจีติดหนี้บุญคุณซื่อจื่อไว้ หากชาติหน้ามีจริง เหยาจีจะขอชดใช้ให้ในชาติหน้า ส่วนในชาตินี้ ท่านกับข้ามิมีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันอีก ซุนฮูหยิน ท่านพอใจหรือยัง”
เมื่อได้ยินเหยาจีกล่าวเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงรู้สึกสลดใจขึ้นทันที นางขมวดคิ้วนิ่งแต่สุดท้ายก็มิได้พูดอันใด
มู่หยางมองหญิงสาวที่ถึงแม้จะมีใบหน้าซีขาวแต่ความงดงามของนางยังคงทำให้ชุดสีแดงที่นางสวมใส่อยู่ดูหม่นแสงลงเล็กน้อยด้วยสีหน้าลำบากใจ ในดวงตาเขามีแววเศร้าโศกและทำเช่นใดไม่ได้ ตัวเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของจวนมู่หยางโหวรุ่นนี้ ซึ่งเขาต้องแบกความรับผิดชอบในความรุ่งเรืองและความถดถอยของจวนมู่หยางทั้งหมดไว้ แต่เขากลับมิอาจควบคุมตนเองจากแรงดึงดูดของสตรีที่เข้มแข็งและงดงามนางนี้ได้ เขาประเมินความหยิ่งทระนงของเหยาจีและการต่อต้านเรื่องนี้จากจวนมู่หยางโหวรวมถึงตระกูลซุนไว้ต่ำเกินไป จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่ยากจะถอยและยากจะเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ เรื่องราวในวันนี้เกินกว่าที่เขาคาดเดาไว้มากนัก เดิมทีเขาเพียงได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้ออกมาซื้อของเป็นเพื่อนคู่หมั้นและแม่ยายในอนาคต และคอยพูดจากหวานหูเพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันเท่านั้น ไม่คิดว่าเมื่อมาถึงร้านเฟิงหวากลับพบเหยาจีที่เลือกซื้อเครื่องประดับเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเดินออกมาพอดี ในยามที่ซุนฮูหยินเสนอให้ทั้งหมดเข้าไปพูดคุยกันนั้น ถึงแม้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ลึกๆ แล้วเขายังคงมีความหวัง จึงมิได้เอ่ยปากทัดทานแต่อย่างใด แต่เหยาจีที่ดูอ่อนหวานนั้น กลับเป็นคนแข็งๆ สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ซุนฮูหยินถึงกับโกรธจัด จนเรียกความสนใจของพระชายาติ้งอ๋องที่บังเอิญมาที่ร้านเฟิงหวาให้มาอยู่ที่นี่ด้วย