ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 124-2 รับสารภาพ
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 124-2 รับสารภาพ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินเฟิงก็กลับเข้ามาพร้อมคำรับสารภาพของนักฆ่า สีหน้าดูเคร่งขรึมและมีรังสีสังหารมากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
เยี่ยหลียังไม่รีบร้อนอ่านคำสารภาพ เอ่ยถามเขาก่อนว่า “เขาตายแล้วหรือ”
ฉินเฟิงส่ายหน้า “ยังไม่ตาย เพียงสลบไปพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก้มลงอ่านคำสารภาพในมือ มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเยือกเย็น “ดีมาก…” นางส่งคำสารภาพนั้นให้ม่อหวาและจั๋วจิ้ง เมื่อทั้งสองได้อ่าน สีหน้าก็ดูเคร่งเครียดขึ้นทันที
ม่อหวาลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ข้าน้อยจะรีบเรียกองครักษ์ลับที่อยู่ในละแวกเมืองหลวงกลับเข้าตำหนักทันทีพ่ะย่ะค่ะ!”
“หยุดก่อน!” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ
ม่อหวาหันกลับไปมองจ้องเยี่ยหลีด้วยแววตาโกรธเคือง “พระชายา เห็นชัดอยู่แล้วว่าสำนักทั้งหลายต่างคิดจะร่วมมือกันบุกเข้ามาในตำหนัก หากให้พวกมัน…”
“หากพวกมันเข้ามาได้ ข้าจะทำให้พวกมันไม่ได้กลับออกไปอีก!” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มเย็นเยียบ
ม่อหวาชะงักไป ประหนึ่งตกใจกลัวกับรังสีอำมหิตที่เยี่ยหลีแผ่ออกมาอย่างไม่คิดกักเก็บไว้ เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่หากจะให้รับมือกับยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนั้นพร้อมๆ กันอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงความปลอดภัยของพระชายาเท่านั้น ยังมีสถานที่สำคัญภายในตำหนักอีกหลายแห่ง…”
เยี่ยหลียิ้มอย่างอ่อนโยน แต่กลับทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก “ไม่ต้องกังวลไป ส่งคนไปบอกท่านแม่ทัพซุน ให้นำกำลังหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาเฝ้าระวังเส้นทางเข้าออกเมืองหลวงทุกเส้นไว้ หากพบว่ามีนักฆ่าคิดจะหลบหนีไป ให้ฆ่าทิ้งทันที องครักษ์ลับรักษาการณ์ตามจุดต่างๆ ของเมืองหลวงไว้ หากพบว่ามีคนหลบหนี ให้ฆ่าทิ้งเช่นกัน! อีกอย่าง องครักษ์ลับที่รักษาการณ์อยู่รอบๆ ตำหนักติ้งอ๋อง หากเห็นสัญญาณของตำหนัก ให้ล้อมตำหนักติ้งอ๋องไว้ทันที ปล่อยให้เข้ามาได้แต่อย่าให้ออกไปได้”
“ข้าน้อยรับบัญชา” ฉินเฟิงและจั๋วจิ้งเอ่ยรับคำสั่งด้วยความเคารพ
ม่อหวาเหลือบมองทั้งสองก่อนเอ่ยรับคำตาม “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไม่ทำลายความไว้ใจของพระชายาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีโบกมือให้ทั้งสามถอยออกไป แล้วจึงเดินออกไปมองแสงอาทิตย์ที่ทอประกายอย่างสดใสและสวยงาม นางอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน ตำหนักติ้งอ๋องก็กลายเป็นทะเลเลือดเสียแล้ว เพียงแต่…ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะต้องรักษาตำหนักแห่งนี้ไว้ให้ได้ ที่นี่มิใช่เป็นเพียงตำหนักอ๋องที่กว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น ที่นี่ยังเป็นบ้านของนางอีกด้วย
ตั้งแต่ติ้งอ๋องเดินทางออกจากเมืองหลวงไป เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย ต่างรับรู้ได้ถึงเมฆฝนดำครึ้มที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างชัดเจน เรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องนั้นใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เสียเลย เพราะถึงอย่างไรการรบราฆ่าฟันกันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทางวังหลวงกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนจึงเริ่มเข้าใจความคิดของท่านที่ในวังท่านนั้นขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ก็มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว หากยังไม่เกิดอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่เป็นอันใดหรอก แต่หากเกิดเรื่องขึ้นจริง เมื่อติ้งอ๋องกลับมาคงได้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่ขึ้นเป็นแน่
“พระชายา ใต้เท้าสวีจากจวนผู้ตรวจการขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยรายงาน
พู่กันในมือเยี่ยหลีชะงักลงทันที ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่พบ เชิญใต้เท้าสวีกลับไปก่อน ไว้ข้าแข็งแรงดีแล้วจะไปคารวะเยี่ยมท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้ที่จวนผู้ตรวจการเอง”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ใต้เท้าสวียืนยันที่จะพบให้ได้พ่ะย่ะค่ะ แล้วยังบอกอีกว่า หากพระชายายืนยันที่จะไม่พบ ท่านจะรีบเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยทันที เพื่อกราบทูลเรื่องที่หลายวันนี้ตำหนักติ้งอ๋องมีนักฆ่าบุกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริงใช่ว่าไม่มีผู้ใดรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท เพียงแต่ฎีกาเหล่านั้นฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน ทำประหนึ่งไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นกระนั้น คนเหล่านี้บางคนก็เลือกที่จะคล้อยตามพระประสงค์ของฝ่าบาท บางคนก็ถูกคนที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งไปลอบโน้มน้าวให้สงบลง ดังนั้นถึงแม้ในยามนี้เรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องถูกนักฆ่าลอบโจมตีจะกลายเป็นความลับที่รู้โดยทั่วกัน แต่ภายนอกแล้วทุกคนต่างทำประหนึ่งไม่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกับฮ่องเต้
เยี่ยหลีนิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดจึงพูดออกมาว่า “เชิญท่านลุงเข้ามา”
สวีหงเยี่ยนเดินตามหัวหน้าพ่อบ้านม่อเข้ามา หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยขอตัวที่หน้าประตูก่อนเชื้อเชิญให้เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือเพียงลำพัง
เยี่ยหลีวางพู่กันในมือลง ลุกขึ้นยืนต้อนรับ “ท่านลุง มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขัน “หากข้าไม่มา เจ้าเป็นตายร้ายดีอยู่ตำหนักนิ้งอ๋องนี้อย่างไรข้าคงไม่รู้”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม จูงสวีหงเยี่ยนให้เดินเข้าไปนั่งในห้องหนังสือ พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้อันใดกัน หลีเอ๋อร์สบายดีนี่เจ้าคะ หลายวันนี้ทำให้ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้เป็นกังวลแล้ว”
สวีหงเยี่ยนปรายตามองนางเรียบๆ “รู้ว่าพวกเราเป็นห่วง ยังกันพี่รองของเจ้าไม่ให้เข้ามาหาอีก หากวันนี้ข้ามิได้มาด้วยตนเอง เจ้าก็ไม่คิดจะส่งข่าวไปให้พี่บ้านรู้บ้างเลยใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีมองสวีหงเยี่ยนด้วยความลำบากใจ “ท่านลุงเจ้าคะ หลายวันนี้ตำหนักของข้า…”
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลายวันนี้ในเมืองหลวงวุ่นวายนัก คนพวกนั้นที่จวนข้าเจ้าส่งไปหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ช่วงหลายวันนี้ในเมืองหลวงคงจะวุ่นวายกันใหญ่ ท่านป้ากับท่านป้าสะใภ้ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้ว “ฮ่องเต้ทรงหมายความเช่นไรกันแน่!”
เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะหมายความเช่นไรได้อีกเล่าเจ้าคะ อาศัยจังหวะที่ติ้งอ๋องไม่อยู่ ยืมมือผู้อื่นกำจัดตำหนักติ้งอ๋องอย่างไรเล่าเจ้าคะ ต่อให้ติ้งอ๋องกลับมาก็ไม่สามารถกล่าวโทษอันใดฝ่าบาทได้มิใช่หรือเจ้าคะ ถึงยามนั้น หากท่านอ๋องไม่ก้มหน้ากล้ำกลืนความเสียเปรียบนี้ลงไป ก็คงอดไม่ได้ที่จะเปิดศึกสร้างความลำบากต่างๆ นานาให้กับฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับตำหนักติ้งอ๋องจะกลายเป็นคนเนรคุณ ส่วนหลีเอ๋อร์ก็คงได้กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ขึ้น”
เรื่องเหล่านี้เหตุใดสวีหงเยี่ยนจะไม่รู้ ในใจยิ่งนึกผิดหวังกับการกระทำของฮ่องเต้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาหันมองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยถามเสียงเบาว่า “แต่เจ้าจะไม่สบายไปตลอดไม่ได้นะ วางแผนอันใดไว้หรือไม่”
เยี่ยหลีหลุบตาลงยิ้มบางๆ “จับปลาทั้งหมดให้ได้ในทีเดียว ให้คนทั่วทั้งใต้หล้ามิมีผู้ใดกล้าคิดทำอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องอีก”
สวีหงเยี่ยนมองเยี่ยหลีด้วยความคาดไม่ถึง หลานสาวตรงหน้ายังดูสุภาพอ่อนหวานเช่นในอดีต แต่รังสีเย็นยะเยือกที่ส่งออกมาจากสีหน้าของนางเพียงชั่วครู่นั้น กลับทำให้คนรับรู้ว่านางมิได้ไร้พิษสงอย่างภาพลักษณ์ภายนอก
สวีหงเยี่ยนถอนหายใจออกมา “ตำหนักเจ้านี้ลุงมาอยู่ชั่วคราวสักสามสี่วันคงไม่มีปัญหาอันใดกระมัง”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ตอบอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ท่านลุง จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น “ต่างว่ากันว่าลุงฝั่งมารดาก็เป็นประหนึ่งมารดาแท้ๆ หรือว่าลุงจะมาอาศัยใบบุญของหลานสาว อยู่อย่างสุขสบายไม่ได้เชียวหรือ”
เยี่ยหลียิ้มขื่น ก่อนหน้านี้ยามสงบเรียบร้อยดีนางเชิญให้ท่านลุงท่านป้าสะใภ้มาก็ไม่เคยมา บอกว่าเกรงว่าตนจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตำหนักติ้งอ๋องทำให้ฮ่องเต้นึกระแวง มายามนี้เมื่อตำหนักติ้งอ๋องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ท่านลุงมาก็มีแต่จะพลอยตื่นตกใจไปด้วย จะได้อยู่อย่างสุขสบายเมื่อใดกัน
“ท่านลุงเจ้าคะ ไว้อีกสักสามสี่วันหลีเอ๋อร์ค่อยไปรับท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้มาพักอยู่ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนเพียงมองหน้านางเรียบๆ ไม่ได้เอ่ยคัดค้านหรือตอบรับแต่ประการใด เยี่ยหลีจึงได้แต่ก้มหน้ายกมือลูบจมูก ท่าทางเช่นนี้ของท่านลุงนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี ท่าทางเช่นนี้นางจะพูดอันใดก็ไม่มีประโยชน์ ท่านได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เยี่ยหลีจึงจำต้องถอยให้ท่านก้าวหนึ่ง “ถ้าเช่นนั้น หลีเอ๋อร์จะให้คนไปทำความสะอาดเรือนให้ท่านลุงนะเจ้าคะ ฉินเฟิง ม่อหวา”
ฉินเฟิงและม่อหวาเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นสวีหงเยี่ยนจึงทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะพระชายา คารวะใต้เท้าสวี”
เยี่ยหลีโบกมือ “พิธีพวกนี้ช่างเถิด ท่านลุงรองจะมาพักที่ตำหนักสักสามสี่วัน ม่อหวาเจ้าจัดการให้ที”
ม่อหวาพยักหน้า เข้าใจทันทีว่าพระชายาต้องการให้ตนจัดหาองครักษ์ลับมาคอยอารักขาสวีหงเยี่ยนอย่างลับๆ
ฉินเฟิงเอ่ยถามขึ้นว่า “พระชายา ทางฟากบ้านตระกูลสวีกับตระกูลเยี่ยจะให้ส่งคนไปเพิ่มอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีตอบว่า “ม่อหวา คัดองครักษ์ลับอีกสักสามสี่คนให้ไปคอยคุ้มกันสวีฮูหยินกับคุณชายรองตระกูลสวี ส่วนทางจวนเยี่ยนั้นไม่เป็นไร ในเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าข้ากับตระกูลมารดานั้นเฉยชาต่อกัน หากส่งคนไปมากเกินไป มีแต่จะทำให้พวกเขาอยู่ในอันตราย”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ม่อหวาพยักหน้าพร้อมหมุนตัวเดินจากไป
ฉินเฟิงเหลือบมองสวีหงเยี่ยน “พระชายา เรือนของใต้เท้าสวี จัดให้ที่…”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “จัดเป็นเรือนที่อยู่ใกล้เรือนประมุขที่สุดก็แล้วกัน อีกอย่าง ส่งคนไปบอกเฟิ่งซาน ให้เขาจัดการให้เร็วหน่อย เรื่องเหล่านี้ยิ่งแก้ปัญหาได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
ฉินเฟิงอึ้งไป เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะรีบส่งคนไปแจ้งคุณชายเฟิ่งซานเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลายวันนี้พวกเขารำคาญใจกับพวกนักฆ่าที่ฆ่าเท่าไรก็ไม่มีวันหมดพวกนั้นจะแย่อยู่แล้ว หากสามารถจัดการให้หมดสิ้นได้ภายในทีเดียวก็จะให้พวกเขาสบายใจเป็นอย่างมาก
ฉินเฟิงหมุนตัวเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก พระชายาได้ส่งสัญญาณว่า “สิ้นซาก” ออกมาแล้ว ดังนั้น นักฆ่าที่บังอาจเหยียบเข้ามาให้ตำหนัก จะไม่มีผู้ได้กลับออกไปแต่โดยดีอย่างแน่นอน