ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 163 ก่อนการศึก
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 163 ก่อนการศึก
หานหมิงเย่ว์มองน้องชายหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอันใดอีก ถึงแม้ตอนแรกเขาจะทิ้งภาระก้อนใหญ่เอาไว้ให้ แต่หมิงซีก็สามารถยืดหยัดผ่านพ้นมาได้ด้วยตนเอง ส่วนตัวเขา…หันกลับไปมองสตรีในชุดขาวที่เดินตรงเข้ามาหาเขา มุมปากเขายกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างขมขื่น
“หานหมิงเย่ว์!” ซูจุ้ยเตี๋ยเดินช้าๆ เข้ามาบนระเบียงทางเดิน มองหานหมิงเย่ว์ที่ยืนพิงเสาอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง บนใบหน้าอันประณีตงดงามเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เมื่อใดพวกเราถึงจะไปจากที่บ้าๆ นี่ได้เสียที!”
ซูจุ้ยเตี๋ยรู้สึกว่าตนใกล้จะบ้าเต็มทีแล้ว นางไม่เคยนึกเสียใจที่ตอนแรกตนรับปากเจิ้นหนานอ๋องว่าจะกลับมาต้าฉู่เพื่อยั่วยวนม่อซิวเหยา นางยั่วยวนม่อซิวเหยาไม่สำเร็จก็ช่างเถิด หลายวันนี้นางต้องกินนอนอยู่กับทัพใหญ่ ได้กินแต่อาหารบ้านๆ น้ำชาก็รสบาดคอ เสื้อผ้าก็ทำจากผ้าธรรมดาๆ และที่แย่ที่สุดคือ ระหว่างทางที่เคลื่อนทัพ ก็ใช่ว่านางอยากจะหยุดพักเมื่อไรก็ได้ ทุกวันต้องเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด กว่าจะเดินทางมาถึงหงโจว เดิมทีนึกว่าจะได้อยู่สบายๆ สักหน่อย แต่กลับถูกเยี่ยหลีจับนางยัดเข้ามาอยู่ในเรือนหลังเล็กหน้าตาซอมซ่อ แล้วก็ไม่ได้ถามไถ่อันใดถึงนางอีก นอกจากมีข้าวปลาอาหารมาส่งให้ทุกวัน แม้แต่สาวรับใช้สักคนก็ยังไม่มี ซึ่งทำให้ความอดทนของซูจุ้ยเตี๋ยในช่วงที่ผ่านมานี้ ถึงขีดสุดแล้ว
อันที่จริง ที่ซูจุ้ยเตี๋ยไม่รู้คือ ที่เรือนหลังนี้ไม่มีสาวใช้คอยรับใช้ดูแล มิใช่เพราะเยี่ยหลีตั้งใจกลั่นแกล้งนาง แต่เป็นหานหมิงเย่ว์ที่ไล่คนที่ถูกส่งมาไปจนหมด ดังนั้นซูจุ้ยเตี๋ยจึงจำต้องแต่งตัวแต่งหน้า ทำความสะอาดห้องด้วยตนเอง และถึงขั้นต้องซักเสื้อผ้าเองอีกด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วของซูจุ้ยเตี๋ย หานหมิงเย่ว์รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งมีผู้ใดเอามีดคมๆ มากรีดใจเขาก็ไม่ปาน เขาขมวดคิ้วนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของหานหมิงซี เขาหลุบตาลงเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ไปจากที่นี่? เจ้าคิดจะไปอยู่ที่ใด”
“ก็ต้องกลับซีหลิงน่ะสิ!” นางไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของหานหมิงเย่ว์ ซูจุ้ยเตี๋ยจึงตอบออกไปอย่างมั่นใจทันที “ข้าจะกลับวัง! สถานที่บ้าๆ เช่นนี้ ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
หานหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองนาง ด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก “เจ้าไม่คิดอยากแก้แค้นชายาติ้งอ๋องแล้วหรือ”
ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความลังเล แน่นอนว่านางอยากแก้แค้นเยี่ยหลี แม้แต่ในฝันนางก็คิด แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หากม่อซิวเหยายังมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่กล้าคิดแก้แค้นเยี่ยหลี นางเติมโตมากับม่อซิวเหยาตั้งแต่เล็กๆ นางสามารถดูถูกบุรุษทั้งใต้หล้าได้ แต่ไม่มีทางกล้าดูถูกม่อซิวเหยา
ซุจุ้ยเตี๋ยมองหานหมิงเย่ว์ กัดมุมปากเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าจะช่วยข้า เป็นความจริงหรือไม่”
หานหมิงเย่ว์มองนางโดยมิได้พูดอันใด แต่ซูจุ้ยเตี๋ยกลับถือเอาท่าทางของเขาเป็นการตอบรับ แววตานางเปลี่ยนไปทันที นิ้วเรียวประหนึ่งหยก ยกขึ้นแนบกับอกหานหมิงเย่ว์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานเชื่อมว่า “หมิงเย่ว์ เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่…ช่วยข้า…ฆ่าซิวเหยา…”
หานหมิงเย่ว์เย็นวาบขึ้นในใจทันที ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่อิงแอบอยู่กับอกของตน ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มเหนือผู้ใดประหนึ่งเซียนสาวจากชั้นฟ้า แต่สิ่งที่ออกจากปากรูปกระจับนั้นกลับทำให้คนฟังใจสั่นด้วยความกลัว “ข้าเข้าใจว่าเจ้าลืมม่อซิวเหยาไม่ได้เสียอีก”
ซูจุ้ยเตี๋ยยิ้มอย่างไม่สนใจ “แน่นอนว่าข้าลืมม่อซิวเหยาไม่ได้ ต่อให้เขาตายข้าก็จะไม่มีวันลืมเขาไปชั่วชีวิต หมิงเย่ว์ เจ้ายังจำลักษณะท่าทางของม่อซิวเหยาเมื่อในอดีตยามอยู่ที่เมืองหลวงได้หรือไม่ ตั้งแต่นั้นข้าก็ได้รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีบุรุษผู้ใดที่ล้ำเลิศยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว น่าเสียดาย…ที่ในยามนั้นเขาเป็นเพียงคุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง น้องชายของติ้งอ๋อง หากไม่มีม่อซิวเหวิน คงเพียบพร้อมยิ่งกว่านี้ น่าเสียดาย…ถึงแม้ยามนี้เขาจะได้เป็นติ้งอ๋องแล้ว แต่กลับจะไม่ได้เห็นใบหน้าที่งามสง่าเช่นในวันวานเหมือนยามอยู่ในเมืองหลวงอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยพึมพำกับตนเองเช่นนั้นแล้ว ในใจหานหมิงเย่ว์ก็กระตุกขึ้นมาทันที ยืนอึ้งอยู่บนระเบียงทางเดินอย่างไม่รู้สึกอันใดแม้นมีหญิงงามมาแนบชิดอยู่กับอก ประหนึ่งจมดิ่งอยู่ในความคิดของตนเองกระนั้น
ซูจุ้ยเตี๋ยก็ไม่ได้คิดอยากให้หานหมิงเย่ว์แสดงความเห็นของตนอยู่แล้ว จึงเพียงระบายยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “เดิมทีข้ายังคิดว่า บางทีข้ากับซิวเหยาอาจได้กลับมาครองคู่กัน แต่เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง ข้าถึงได้เข้าใจว่า…ซิวเหยาถูกนังแพศยาเยี่ยหลีนั่น ล่อลวงไปเสียแล้ว! เขานึกเกลียดข้าเพียงใด เจ้าเองก็เห็นแล้ว…ในเมื่อข้าไม่ได้เขา นังแพศยาเยี่ยหลีนั่นก็อย่าคิดจะได้ไปเลย!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าที่งดงามของซูจุ้ยเตี๋ยก็บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกลียดทันที สายตาที่เงยหน้าขึ้นมองหานหมิงเย่ว์เต็มไปด้วยความหวานหยาดเยิ้ม “หมิงเย่ว์ ช่วยข้าฆ่าม่อซิวเหยา หากเจ้าช่วยข้าฆ่าม่อซิวเหยา ข้าก็จะเป็นของเจ้าแล้ว…”
แววตาหานหมิงเย่ว์มีเพียงความว่างเปล่า “ฆ่าม่อซิวเหยา…”
ซูจุ้ยเตี๋ยพยักหน้า เอ่ยเสียงหวานว่า “เจ้าก็รู้ ว่าข้าชื่นชอบเพียงบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อฆ่าม่อซิวเหยาได้…ก็ถือเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า…”
หานหมิงเย่ว์นิ่งไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยปากถามว่า “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ไปดูม่อซิวเหยาตายด้วยตาเจ้าเอง”
แววตาซูจุ้ยเตี๋ยเป็นประกายเล็กน้อย ระบายยิ้มน้อยๆ “ข้าจะรอเจ้าอยู่ในวังหลวงของซีหลิง ให้เจ้านำหัวของม่อซิวเหยากลับมาพบข้า จากนั้นพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
หานหมิงเย่ว์จ้องมองนางนิ่ง จนเมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าของซูจุ้ยเตี๋ยค่อยๆ อ่อนลงแล้ว ถึงค่อยๆ แกะมือนางออก หมุนตัวเดินลึกเข้าไปเรือนเล็ก
ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป มองแผ่นหลังของหานหมิงเย่ว์ด้วยความไม่เข้าใจ นางเคยชินกับการขออันใดก็ได้อย่างนั้นจากหานหมิงเย่ว์เสียแล้ว อันที่จริงหานหมิงเย่ว์ไม่เคยปฏิเสธนางจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย ถึงแม้ยามนั้นนางจะทิ้งหานหมิงเย่ว์ไปอยู่ที่ซีหลิงเสียหลายปี จนหานหมิงเย่ว์มีท่าทีมึนตึงกับนาง แต่แค่เพียงนางเอ่ยปาก หานหมิงเย่ว์จะต้องช่วยนางจัดการอย่างแน่นอน แต่ครานี้ ในใจนางกลับรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนัก
“หมิงเย่ว์…”
หานหมิงเย่ว์หันกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “จุ้ยเตี๋ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากข้าฆ่าม่อซิวเหยาแล้ว ผลจะเป็นเช่นไร” เขามิใช่หานหมิงเย่ว์ที่มีเทียนอี้เก๋ออยู่ในความควบคุมดูแลอีกแล้ว แม้ในยามที่เขามีอิทธิพลล้นมือ เขาก็ไม่กล้าพูดว่าตนสามารถฆ่าม่อซิวเหยาได้
คิ้วเรียวของซูจุ้ยเตี๋ยย่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนคลายออกพร้อมระบายยิ้ม “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้อันตรายมาก หมิงเย่ว์ ข้าต้องหาคนมาช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
หานหมิงเย่ว์ไม่โอนอ่อนด้วยเรื่องนี้ “เจ้ารู้หรือไม่หากม่อซิวเหยาตายแล้ว ต้าฉู่จะเป็นเช่นไร”
ซูจุ้ยเตี๋ยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ต้าฉู่จะเป็นเช่นไรแล้วเกี่ยวอันใดกับพวกเราด้วย หมิงเย่ว์ เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่”
หานหมิงเย่ว์ส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น มองซูจุ้ยเตี๋ยที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางถลึงตาจ้องเขาเขม็ง ก่อนหมุนตัวเดินไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยปากด่าว่าเขา
หานหมิงเย่ว์มองแผ่นหลังที่เดินจากไปโดยไม่ลังเลแล้วได้แต่ถอนใจ หากเขารับปากไปแล้ว อย่าว่าแต่จะลอบสังหารม่อซิวเหยาได้หรือไม่เลย พวกเขาจะมีชีวิตรอดผ่านคืนนี้ไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่หรือ…คือสตรีที่เขาหลงรัก
หานหมิงเย่ว์คิดในใจอย่างขมขื่น ในยามที่บนระเบียงทางเดินที่ไม่มีเงาในชุดขาวอีกแล้ว
ภายในห้องหนังสือจวนผู้ว่าการ ผู้บัญชาการทหารกองทัพตระกูลม่อที่อยู่ในเขตซีเป่ยทุกคน ยกเว้นคนที่นำทัพออกไปด้านนอก ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เกือบหมดอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น
เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ อมยิ้มฟังรายงานสถานการณ์การสู้รบในช่วงหลายวันนี้ ถึงแม้ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ในซีเป่ยจะอายุค่อนข้างน้อย อาจเรียกได้ว่าไม่มีผู้บัญชาการทหารที่มีชื่อเสียงอยู่เลย แต่ในสายตาของคนนอกแล้ว หนานโหวที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้ายมาก่อน ก็อยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเรื่องความรู้หรือประสบการณ์ของหนานโหว ก็มิใช่สิ่งที่ผู้บัญชาการทหารอายุยังน้อยทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถออกไปทำศึกได้อย่างเปิดเผย แต่หลายวันนี้กลับคอยชี้แนะและให้ความรู้เกี่ยวกับการเคลี่อนทัพและการทำศึกกับเยี่ยหลีไม่น้อย และช่วยแบ่งเบาภาระนางไปได้ไม่น้อยเช่นกัน
“…เมืองทั้งสิบเอ็ดเมืองในซีเป่ย นอกจากสามเมืองที่อยู่ในมือของทหารซีหลิงแล้ว ก็มีสองเมืองที่อยู่ระหว่างการต่อสู้แย่งชิงกัน ส่วนที่เหลืออีกหกเมือง อยู่ในความควบคุมของกองทัพเราแล้ว เชิญพระชายามีบัญชามาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ลำบากท่านแม่ทัพทุกท่านแล้ว”
การจะเอาเมืองที่อยู่ในความควบคุมของทหารราชสำนักมาอยู่ในมือของกองทัพตระกูลม่อได้อย่างสงบนั้น ความพยายามที่ต้องทุ่มเทลงไปย่อมไม่น้อยกว่าการฆ่าฟันกับทหารซีหลิงอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ในซีเป่ยก็ถือว่าอยู่ในความควบคุมของกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดแล้ว ต่อให้ซีหลิงยกทัพมาเสริมยังซีเป่ยอีก พวกเขาก็มีพื้นที่ให้จัดการได้มากพอ และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโจมตีจากภายในหรือถูกคนของม่อจิ่งฉีลอบเล่นงาน
ทุกคนต่างลุกยืนขึ้นเอ่ยมิกล้า เยี่ยหลีอมยิ้มหันไปเอ่ยถามหานโหวที่นั่งจิบชาอยู่ว่า “ท่านโหว การศึกต่อจากนี้ท่านมีความเห็นเช่นไรหรือ”
หานโหวประสานมือไปทางเยี่ยหลี เอ่ยว่า “อีกไม่นานซีเป่ยก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หากคนซีหลิงไม่อยากต่อสู้กับพวกเราไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เกรงว่าคงจะเร่งรุดเข้าโจมตีพวกเราในเร็ววันนี้ ข้าน้อยเห็นว่า พวกเราไม่ควรจะเกรงใจพวกมันอีก ควรรีบฆ่าฟันพวกมันให้ย่อยยับกลับไป! ซีเป่ยเป็นหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของต้าฉู่ หากล่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วยังทำศึกไม่แล้วเสร็จ เกรงว่าจะกระทบกับการทำไร่ทำนาของชาวบ้านพ่ะย่ะค่ะ”
กิริยาของหนานโหวเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เรียกแทนตนเองว่าข้าน้อยกับสตรีที่ยังอ่อนเยาว์อย่างเยี่ยหลี ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงท่าทีของหนานโหวในยามนี้ได้เป็นอย่างดี
ในอีกด้านหนึ่ง หนานโหวก็พอใจกับความสามารถของเยี่ยหลีที่แสดงออกมาไม่น้อยเช่นกัน ชายาติ้งอ๋องผู้นี้ไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป หรือคิดจะรวบอำนาจหรือมีความยะโสโอหัง แกล้งทำเป็นรู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยเพราะคิดถึงหน้าตาของตน นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตนไม่เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนทัพขนาดใหญ่ ดังนั้นนางจึงไม่รังเกียจที่จะเอ่ยถามความเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา
หัวหน้าผู้บัญชาการทหารที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องสามารถบุกทะลวงฆ่าฟันศัตรูได้ด้วยตนเอง หรืออาจถึงขั้นไม่จำเป็นต้องออกไปทำศึกด้วยตนเอง ขอเพียงคนผู้นั้นสามารถใช้คนที่มีความสามารถได้เป็น สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็เพียงพอแล้ว ไม่แปลกที่ฮว่ากั๋วกงจะชื่นชมในความสามารถของชายาติ้งอ๋องเป็นที่สุด ในสายตาหนานโหวแล้ว ถึงแม้ชายาติ้งอ๋องจะเป็นเพียงสตรี แต่กลับมีบารมีของผู้เป็นอ๋องอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
เยี่ยหลีพยักหน้า “หนานโหวช่างคิดได้รอบคอบยิ่งนัก เรื่องนี้ข้าเองก็นึกเป็นห่วง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกท่านลองพูดความเห็นของทุกท่านมาเถิด”
อันที่จริงสิ่งที่เยี่ยหลีเป็นกังวลมิใช่เพียงเรื่องการทำไร่ทำนาของซีเป่ยในปีหน้า ยามนี้ถึงแม้กองทัพตระกูลม่อกับราชสำนักจะยังไม่ถึงกับประกาศแตกหักกันอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่ว่าผลสุดท้ายของการศึกในครานี้จะเป็นเช่นไร แต่ดุลอำนาจที่ตำหนักติ้งอ๋องและราชวงศ์ต้าฉู่พยายามรักษามาตลอดร้อยกว่าปี จะไม่คงอยู่อีกต่อไป หากกองทัพตระกูลม่อพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายความว่าจะไม่มีตำหนักติ้งอ๋องอยู่ในใต้หล้านี้อีก แต่หากชนะ เกรงว่าม่อจิ่งฉีก็คงฉวยโอกาสยามที่กองทัพตระกูลม่อเหนื่อยล้าจากการทำศึกครั้งใหญ่ มาสร้างความลำบากให้กับพวกตนอีกอย่างแน่นอน
ดังนั้นในใจเยี่ยหลีจึงรู้ดีกว่า การจัดการพื้นที่ในซีเป่ยนี้ มิได้ง่ายดายเพียงต้องขับไล่คนซีหลิงออกไปเท่านั้น แต่นางยังต้องช่วยม่อซิวเหยารักษาพื้นที่ทั้งซีเป่ยนี้ไว้ให้ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นที่บริเวณนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพตระกูลม่อ ด้วยเพราะเป็นไปได้สูงว่า พื้นที่แห่งนี้จะเป็นทางถอยสุดท้ายของกองทัพตระกูลม่อ ดังนั้นจึงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเสบียงอาหาร
ช่วงหลายวันนี้ กองทัพตระกูลม่อเดี๋ยวทำศึกเดี๋ยวหยุดพัก ประหนึ่งเพียงต้องการดึงขาของกองทัพซีหลิงไว้ การทำศึกจริงๆ จังๆ นั้นแทบจะไม่มีเลย ดังนั้นนายทหารทุกคนจึงทำศึกกันอย่างอึดอัดไม่น้อย เพราะพวกเขาต้องเก็บกดความอยากที่จะเข้าบดขยี้ทหารซีหลิงให้รู้ดำรู้แดงเอาไว้ ยามนี้เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ จึงต่างตื่นเต้นยินดีกันขึ้นมาทันที และต่างพูดความเห็นของตนออกมากันไม่ได้หยุด จนเกิดเป็นเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในห้องหนังสือทันที