ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 187-2 รับกลับบ้าน (2)
ด้านหลัง ฉินเฟิงดึงรั้งม่อหวาที่กำลังจะใช้วิชาตัวเบากระโดดตามขึ้นไป ม่อหวาหันไปถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ
ฉินเฟิงยักไหล่ “เจ้ามองไม่ออกหรือ ว่าท่านอ๋องอยากปลีกตัวไปจากพวกเรา ถึงได้เดินไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ หากพวกเราตามไปอีก ท่านอ๋องก็จะเดินต่อไปอีก”
ม่อหวาถึงได้หยุด ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความปลอดภัยของท่านอ๋องกับพระชายา…”
ฉินเฟิงกรอกตาบนมองฟ้า เลือกหินแบนๆ ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลง “ที่ตีนเขามีแต่คนของกองทัพตระกูลม่อ ระหว่างทางก็มีองครักษ์ลับและหน่วยกิเลน หากยังให้นักฆ่าปะปนเข้ามาได้อีก พวกเราก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว กระโดดลงไปจากที่นี่ด้วยกันเถิด”
ม่อหวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนนั่งลงบนก้อนหินก้อนข้างๆ
ฉินเฟิงหยิบก้อนหินขึ้นมา มองฟ้าใสสีฟ้าเข้ม เอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีว่า “ฟ้าช่างฟ้าดีจริง…”
ม่อซิวเหยาหันกลับไปมองฝั่งตรงข้ามที่เขาเพิ่งอุ้มเยี่ยหลีเดินอ้อมตีนเขาเข้ามาถนนเล็กๆ อีกเส้นที่ไกลออกไปยิ่งกว่าเดิม แล้วพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ราบเรียบที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง แล้วจึงนั่งลงทั้งๆ ที่ยังอุ้มเยี่ยหลีอยู่ ก่อนหันไปยิ้มให้เยี่ยหลีอย่างได้ใจว่า “ในที่สุดก็สลัดพวกเขาหลุดเสียที”
เยี่ยหลีมิได้ว่าอันใด ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าที่ตนเองรู้สึกแปลกๆ นั้นเพราะอันใด นางไม่เคยเห็นม่อซิวเหยาเป็นเช่นนี้มาก่อน ม่อซิวเหยาในอีดต ถึงแม้เขาจะเคยตั้งใจเย้าแหย่นางบ้างเป็นครั้งคราว และหากสำเร็จ เขาก็จะหันมายักคิ้วยิ้มให้นางอย่างได้ใจ แต่รอยยิ้มในยามนั้นมักเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีความมั่นใจ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่สุภาพแต่ก็ดูยิ่งใหญ่และวางใจ แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้ รอยยิ้มได้ใจของเขากลับดูดื้อรั้นและอวดดี
“ซิวเหยา…ท่านเป็นอันใดไป” เยี่ยหลีย่นคิ้ว ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่ซีดขาวของเขา “ขอโทษด้วย ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”
ม่อซิวเหยาซุกหน้าลงกับเส้นผมของนาง เอ่ยเสียงเข้มว่า “อาหลี ข้าอยากฆ่าพวกมันทิ้งเสีย”
เยี่ยหลีอึ้งไป “พวกมัน? ใครกัน”
“พวกมันทั้งหมด!” ในน้ำเสียงของม่อซิวเหยามีรังสีสังหารแผ่ออกมา กักกอดเยี่ยหลีเอาไว้กับอก “ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด…คนที่ทำร้ายอาหลี…พวกมันสมควรตาย! แล้วยังพวกที่น่ารำคาญตาพวกนั้นอีก ข้าต้องการเพียงอาหลีคนเดียวเท่านั้น…คนอื่นๆ ต้องไปตายให้หมด!”
เยี่ยหลีใจกระตุก ผลักม่อซิวเหยาออกด้วยอาการสั่นน้อยๆ แล้วจับใบหน้าที่ซุกอยู่กับผมของนางขึ้นมา ทันได้เห็นแววสังหารและโหดเ**้ยมบนใบหน้าของม่อซิวเหยาที่ปกปิดไว้ไม่ทัน
ม่อซิวเหยาเองก็ได้เห็นสีหน้าของตนผ่านแววตาของนาง ท่าทางสุภาพอ่อนโยนที่เคยแสร้งทำหายไปจนสิ้น อันที่จริง…ม่อซิวเหยาไม่เคยเป็นคนสุภาพจริงๆ มาก่อน และเขาก็มิเคยรู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเห็นท่าทางของตนในแววตาของเยี่ยหลี อย่างไรก็ดูน่ารังเกียจ เมื่อถูกเยี่ยหลีถอดหน้ากากบนใบหน้าออก รอยแผลเป็นฉกรรจ์บนใบหน้าด้านซ้าย เมื่อรวมเข้ากับรังสีสังหารอย่างโหดเ**้ยมที่ปรากฏอยู่ ยิ่งดูไม่เหมือนติ้งอ๋องในอดีตที่ดูสุภาพและเฉยชา แต่ดูประหนึ่งยมบาลจากยมโลกที่หมายจะมาเอาชีวิตคนเสียมากกว่า
“อาหลีกลัวข้าหรือไม่…” ม่อซิวเหยาจ้องนิ่งไปยังสตรีในอ้อมแขน ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจและบอบบาง สีหน้ายิ่งดูซีดจางลงไปอีก ความสุภาพ เรียบเฉย สบายๆ และเฉียบแหลมนั้น ล้วนเป็นการแสร้งทำทั้งสิ้น ตัวตนที่แท้จริงของเขาแต่ไหนแต่ไรมานั้นรักแรงเกลียดแรง โอหังไม่เห็นหัวผู้ใดมาโดยตลอด ม่อซิวเหยาเมื่อในอดีต ควบม้าพุ่งทะยานไปทั่วเมืองหลวง แซ่ยาวในมือสะบัดใส่บรรดาลูกผู้ดีมีอิทธิพลและราชนิกุลอย่างไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ดาบในมือสังหารสิ้นไม่ว่าผู้ใดมาขวางหน้า
แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้ เมื่อถอดภาพที่ตนแสร้งทำออกไปแล้ว ทั่วทั้งกายเขามีแต่บาดแผล จิตใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอยากสังหารให้หมดเสียทุกคน ไม่เหลือภาพลักษณ์อันโชติช่วงสว่างไสวประหนึ่งเปลวไฟอย่างในอดีตอีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่าตนควรยินดีที่เยี่ยหลีไม่ทันได้เห็นตนในยามที่เจิดจรัสดี หรือควรโอดครวญที่ตนสามารถทำให้นางได้เห็นเพียงตนเองในปัจจุบันที่ไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ “อาหลี”
“พูดอันใดโง่ๆ เช่นนั้น” เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรงแล้วจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ
นางไม่รู้ว่าชายตรงหน้าผู้นี้ผ่านช่วงเวลาหลายเดือนมาได้อย่างไร แต่นางรู้ดีว่าความเป็นกังวล ความเจ็บปวด และความโกรธแค้นของเขาในยามนี้ เกิดขึ้นเพราะนาง
เยี่ยหลีกอดคอของเขาไว้ มองเขาด้วยดววตาจริงจัง แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ซิวเหยา ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะไม่มีวันไปจากท่าน ในนี้…” นางจับมือเขามาสัมผัสลงบนหน้าท้องที่กลมใหญ่ของนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ในนี้มีลูกของพวกเราอยู่ ซิวเหยา…อีกไม่นาน พวกเราก็จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป อันที่จริงตั้งแต่แรกมา เขาไม่ทันได้สังเกตถึงลูกของตนเลย แต่ยังโชคดีที่เขาโอบอุ้มเยี่ยหลีไว้ด้วยความระมัดระวัง ลูกจึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอันใดจากความลำบากเมื่อครู่
เขามองท้องที่นูนใหญ่ของนางด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวน้อยๆ ใต้ฝ่ามือของตน
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ดึงเยี่ยหลีเข้ามาสู่อ้อมแขนอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหมนหมองว่า “ข้าเกลียดเด็ก! อาหลี ข้าต้องการเพียงเจ้า…”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ มองบุรุษตรงหน้าที่ดูเอาแต่ใจประหนึ่งเด็กน้อย แต่กลับเอ่ยคำต่อว่าอันใดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ม่อซิวเหยาไม่เคยเกลียดเด็ก ก่อนหน้านี้ในยามที่พวกเขาแนบชิดกัน เขาเคยเฝ้ารอที่วันที่บุตรจะมาเกิด แต่เยี่ยหลีก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า เหตุใดเขาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ด้วยเพราะนางกำลังตั้งครรภ์จนเคลื่อนตัวได้ไม่สะดวก จึงทำให้พวกนางเคลื่อนพลถอยได้ช้า ม่อซิวเหยาจึงโทษว่าที่นางต้องตกหน้าผาไปก็ด้วยเพราะเด็กคนนี้
นางจึงทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจบุรุษที่นานๆ ครั้งจะเอาแต่ใจว่า “ข้ารักเขา…เขาเป็นลูกของพวกเรา…”
ม่อซิวเหยาแข็งเกร็งไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นจ้องนิ่งไปที่นางอีกครั้ง
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ทำไมหรือ”
ม่อซิวเหยาบิดริมฝีปากไม่ได้พูดอันใด เพียงจ้องนางนิ่งไม่วางตาเท่านั้น
เยี่ยหลีถอนใจอย่างจนใจ บุรุษบทจะเอาแต่ใจขึ้นมา ก็ช่างยากจะเดาใจเขานัก
ม่อซิวเหยามองนางอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเลื่อนสายตาไปยังหน้าท้องที่กลมนูนของนาง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธและริษยา
เยี่ยหลีอึ้งไป นึกย้อนไปว่าเมื่อครู่นางพูดอันใดออกไป แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ยื่นมือไปจับม่อซิวเหยาให้หันมาสบตานาง เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเบาที่ข้างหูของเขา “ซิวเหยา ที่ข้ารักลูกนั่นก็เพราะ…ข้ารักบิดาของเขายิ่งกว่า…ท่านเข้าใจหรือไม่”
ภายในชั่วพริบตานั้น ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิได้กลับมาเยือนอีกครั้ง ในแววตาที่เคยหม่นหมองเต็มไปด้วยประกายดวงดาวอันอบอุ่น
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลง จูบหนักๆ ลงบนฝีปากอิ่มที่มีรสหวานจางๆ เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า ในโลกนี้จะมีคำพูดที่ซาบซึ้งใจเช่นนี้ ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าอยากจมลึกอยู่ในช่วงเวลานี้ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยอีกตลอดไป “อาหลี…อาหลี…ข้ารักเจ้า…ชั่วชีวิตม่อซิวเหยารักอาหลีแต่เพียงผู้เดียว…”
เยี่ยหลียกมือขึ้นโอบไหล่เขา ตอบรับการจูบที่ห่างหายไปนาน “ข้ารู้…ข้าก็เช่นกัน”
ใต้พระอาทิตย์ยามโพล้เพล้ บนเนินเขาอันเงียบสงบ คู่รักที่พรากจากกันไปนานต่างพากันแลกเปลี่ยนคำรักและคำหวานซึ่งกันและกัน ริมฝีปากและเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดอยู่กันไม่ห่าง ทำให้ลมหายใจทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง
ม่อซิวเหยากักกอดสตรีในอ้อมแขนไว้แน่น “อาหลี…อาหลี… ผู้ใดก็ไม่สามารถเอาตัวเจ้าไปจากข้าได้…”
“ซิวเหยา…”
ลมเย็นที่พัดโชยอ่อน นำพาความเย็นสบายมาสู่บรรยากาศในหน้าร้อน
เยี่ยหลีลืมตาขึ้นมองบุรุษที่นั่งเองพิงเนินเขาพร้อมกอดตัวเองไว้ไม่ปล่อย แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ พวกเขาต่างเหน็ดเหนื่อยกันมากเกินไป คนที่โตเต็มวัยทั้งสองคน ถึงขั้นมานอนหลับอยู่ที่นี่อย่างไร้การป้องกัน หากให้ศัตรูของพวกเขารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะถอนใจและกำมือแน่นเพียงใด
เพียงแค่นางขยับ ม่อซิวเหยาก็ลืมตาขึ้นทันที “อาหลี?”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ปลอบประโลมเขา “ไม่เป็นไร เหนื่อยก็พักต่ออีกสักหน่อยเถิด ไว้สายอีกหน่อยพวกเราค่อยกลับไป”
ในเมื่อก็สายมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเย็นไปอีกสักหน่อยหรอก การที่ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วแน่นทั้งที่หลับสนิท ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกปวดใจไม่น้อย
ม่อซิวเหยาปิดตาลงอีกครั้ง ซุกหน้าลงกับอกของเยี่ยหลี พร้อมสูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย แล้วคิ้วที่ขมวดมุ่นก็ค่อยๆ คลายออก ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยค่อยๆ เริ่มจากปลายเท้าและแผ่กระจายไปทั่วตัว แต่เขากลับไม่คิดจะสนใจอาการเหล่านั้น หลังจากผ่านมาหลายเดือน เขาถึงได้เพิ่งเข้าใจว่า อันที่จริงความเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกเดือนนั้น มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ในบางครั้ง เขาถึงขั้นรอคอยให้ความเจ็บปวดนั้นมาถึง ด้วยเพราะมีเพียงความเจ็บปวดที่แสนทุกข์ทรมานนั้นเท่านั้น ที่จะทำให้เขาลืมหลุมดำลึกและความเย็นเยียบในจิตใจไปได้ เขาถึงจะสามารถดับความคิดอันคลุ้มคลั่งภายในจิตใจไปได้ ที่เป็นอยู่เช่นในยามนี้…ช่างดีจริงๆ…
เยี่ยหลีก้มหน้าลงปัดเศษใบไม้บนหัวไหล่เขา พระอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องลงบนผมดำขลับของเขา ทำให้มือของเยี่ยหลีสะดุดลง นิ้วมือกระตุกเล็กน้อย นางสัมผัสลงบนเส้นผมของเขาด้วยความระมัดระวัง ในเส้นผมที่ดำขลับนั้นมีสีขาวเทาปรากฏให้เห็น นางยกมือขึ้นลูบเบาๆ ลงบนเส้นผมของเขา ปลายนิ้วของนางเปื้อนสีดำจางๆ แล้วในดวงตาคู่งามของนางก็มีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมา หยดน้ำตาประหนึ่งไข่มุกไหลลงมาบนใบหน้าอย่างไม่ขาดสาย
“อาหลี…” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียกเสียงเบา
“ไม่มีอันใด นอนเถิด ลมพัดสบายดีเหลือเกิน” เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบา หยดน้ำตาเม็ดกลมไหลลงมาเงียบๆ จนหลังมือนางเปียกชื้น
“อืม”