ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 193-2 เปิดเผยความในใจ
เมื่อส่งคณะสวีชิงเจ๋อทั้งสามคนไปพักผ่อนที่เรือนแล้ว เยี่ยหลีก็หันมองม่อซิวเหยาที่สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นขัน แล้วถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “น้องห้ายังเด็กอยู่เลย ท่านจะไปถือสาอันใดกับเขา”
ก่อนหน้านี้ท่าทีที่สวีชิงเหยียนและม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อกันนางย่อมเห็นทุกอย่างเป็นอย่างดี เพียงแค่มิได้พูดเท่านั้นเอง ยามนี้ยิ่งมาเห็นสีหน้าม่อซิวเหยาที่บึ้งตึงเสียจนแทบจะคั้นเป็นน้ำหมึกออกมาได้ บวกกับริมฝีปากบางก็ยื่นเล็กน้อย ยิ่งดูเหมือนเด็กที่กำลังเอาแต่ใจ
ม่อซิวเหยาส่งเสียหึเบาๆ ครู่ใหญ่ถึงได้พูดออกมาว่า “เขาอายุตั้งสิบห้าแล้ว เอาที่ไหนมาเด็กกัน”
เยี่ยหลียกมือขึ้นจับใบหน้าหล่อเหลาที่บูดบึ้ง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ต่อให้เขาอายุยี่สิบก็ยังเป็นน้องชายข้า”
พูดจบ เยี่ยหลีก็มองสำรวจม่อซิวเหยาจนทั่วรอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “จะว่าไป ม่อซิวเหยา ช่วงนี้ท่านลมเพชรหึงขึ้นหน้าหรืออย่างไร นิดหน่อยก็หึง ท่านไม่กลัวว่าจะหึงตายหรือ”
ที่เขาตั้งแง่กับหานหมิงซี เชิดหน้าเชิดตาใส่เขาก็ยังพอทำเนา ความในใจของหานหมิงซีถึงแม้จะไม่เคยพูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เยี่ยหลีก็พอรู้อยู่บ้าง และด้วยเพราะเหตุนี้นางจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับหานหมิงซีเช่นพวกเฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิง แต่มายามนี้ แม้แต่กับสวีชิงเหยียนยังคิดเล็กคิดน้อยก็ดูจะเกินเหตุไปสักหน่อย
ที่สำคัญที่สุดคือ เยี่ยหลีไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าที่ม่อซิวเหยาคอยจับจ้องระแวดระวังนั้นเริ่มจากที่ตรงใด เท่าที่เยี่ยหลีดู ไม่ว่าจะเรื่องวิทยายุทธ ความรู้ความสามารถหรืออิทธิพลอำนาจ คนในใต้หล้าที่จะทัดเทียมม่อซิวเหยาได้นั้นแทบหามีไม่ ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาก็ไม่ได้ไม่ไว้ใจตนเองเช่นนี้ หากว่าเพราะตนเองเพิ่งหนีพ้นจากอันตรายกลับมาก็อาจเป็นได้ แต่นี่นางกลับมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว ก็ยังไม่เห็นอาการเขาดีขึ้น ก็ดูจะเกินไปสักหน่อย
ม่อซิวเหยากอดนางไว้ในอ้อมแขน ก้มลงกัดเบาๆ ลงบนริมฝีปากอวบอิ่มหอมหวาน เอ่ยเสียงต่ำว่า “ก็ข้าหึงน่ะ ไม่ได้หรือ อาหลี เจ้าจะดีกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ ข้าจะโกรธ”
เยี่ยหลีไม่รู้จะทำเช่นใด “น้องห้ามิใช่ชายอื่น” สวีชิงเหยียนเป็นน้องชายของนาง นางรักและเอ็นดูเขาประหนึ่งน้องแท้ๆ มาตั้งแต่เล็กๆ
“ผู้ชายคนอื่นที่นอกเหนือจากข้า ก็คือผู้ชายอื่นทั้งสิ้น” ม่อซิวเหยาตัดสินอย่างเด็ดขาด
เยี่ยหลีแทบอยากจะกรอกตาบนให้เขาดู นางจับมือเขาให้มาวางลงบนหน้าท้องที่นูนเต่งของตน เอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นแล้วจะทำเช่นไรกับลูกหรือ ท่านเสิ่นและท่านหมอหลินต่างก็บอกว่าเป็นเด็กผู้ชาย เขาก็เป็นผู้ชายอื่นหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “แน่นอน ไว้รอเขาคลอดออกมาก่อน จะจับเขาโยน…ส่งเขาให้ท่านชิงอวิ๋นคอยเลี้ยงดูสั่งสอน เด็กที่มีท่านชิงอวิ๋นคอยอมรมสั่งสอน จะต้องโดดเด่นเหนือผู้ใดอย่างแน่นอน”
โดดเด่นเกินใครเสียจนเขานึกโกรธ หากมิใช่เพราะรู้แต่แรกว่าอาหลีถือเอาคุณชายตระกูลสวีสี่ห้าคนนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ และคุณชายสี่ห้าคนของตระกูลสวีก็ถือว่าเยี่ยหลีเป็นน้องสาวแท้ๆ แล้วล่ะก็ เขาคงหึงตายไปนานแล้ว
เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยหลีที่ส่งมาเตือน ม่อซิวเหยาจึงกลืนคำว่าโยนลงไปอย่างไม่ยินดีนัก ก่อนเปลี่ยนวิธีการพูดให้อ้อมค้อมสักหน่อย
เยี่ยหลีรู้สึกว่า สักวันหนึ่งนางจะต้องถูกบุรุษผู้นี้ทำให้โกรธตาย นางหมุนตัวทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยา เพื่อหันกลับมามองเขาตรงๆ ยกมือขึ้นหยิกแก้มเขา “ม่อซิวเหยา เขาเป็นลูกท่านนะ!”
ม่อซิวเหยาหรี่ตาลง พลางกวาดตามองส่วนที่กลมยื่นออกมา เขาส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่ง “ผู้ชายอื่น!”
เขาขัดหูขัดตากับเจ้าสิ่งนี้มานานแล้ว หากมิใช่เพราะอาหลีกำลังตั้งครรภ์ ก็ไม่มีทางเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะขยับเขยื้อนร่างกายไม่สะดวก หากมิใช่เพราะกำลังตังครรภ์ เขาก็คงไม่ต้อง…อดทนเพราะไม่อาจแนบชิดกับอาหลี เพราะเจ้าบ้าเสิ่นหยางนั่นบอกไว้…เมื่อคิดถึงสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นของตาเฒ่านั่นแล้ว ม่อซิวเหยายิ่งรู้สึกว่าเจ้าเด็กที่หลบอยู่ในท้องเยี่ยหลียิ่งดูขัดหูขัดตาหนักเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่าเขาเองก็มีส่วนผิด เขาสาบานว่า ไว้รอให้คลอดออกมาก่อน เขาจะไม่มีทางให้อาหลีได้ตั้งครรภ์อีก ทั้งอันตรายทั้งน่ารำคาญแล้วยังน่ารังเกียจอีกด้วย!
เยี่ยหลีรู้สึกหมดแรงกับนิสัยเด็กๆ ของบุรุษผู้นี้เสียเหลือเกิน แต่เมื่อได้เห็นสายตาน้อยใจของเขาที่มองมาทางตนแล้ว เยี่ยหลีกลับรู้สึกว่าเขาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างประหลาด จนรู้สึกโกรธเขาไม่ลง
เยี่ยหลีจับม่อซิวเหยาให้นั่งลง เยี่ยหลีนั่งลงบนตักเขาและจับหน้าของเขาให้หันมาทางตน “คุณชาย พวกเราไม่ทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ได้หรือไม่”
ม่อซิวเหยาอ้าปากงับด้วยความไม่พอใจ งับนิ้วเรียวของนางไว้แต่ทำใจออกแรงไม่ได้ เขากัดลงเบาๆ ก่อนปล่อยออก “ข้าไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กเสียหน่อย ต่อให้ทำตัวเป็นเด็ก อาหลีก็ห้ามรังเกียจข้า”
เยี่ยหลีอิงแอบลงกับอกม่อซิวเหยาพลางถอนใจ อาการของม่อซิวเหยานั้น เสิ่นหยางเคยเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจขณะที่ตรวจชีพจรให้นาง หากเป็นคนปกติในช่วงเวลาปกติ นางคงไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่ดี การอยากครอบครองนางแต่เพียงผู้เดียว ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขารักนางจริงๆ ถึงแม้ยามนี้ในใจนางลึกๆ จะมีความกังวลระคนยินดี แต่ยามนี้นางกลับไม่สามารถปล่อยให้ม่อซิวเหยาไม่ไว้ใจนางบ่อยๆ เช่นนี้ได้
นางรู้ดีว่า ที่นางตกหน้าผาไปครานี้ ทำให้ความคิดดูแคลนตนเอง ความเคียดแค้น และอารมณ์ด้านมืดของเขาทั้งหมดที่เคยเก็บซ่อนไว้ระเบิดออกมา และระเบิดออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด ถึงแม้ดูเผินๆ ม่อซิวเหยาจะโทษว่าที่นางตกหน้าผาเป็นเพราะลูกหรือไม่ก็เจิ้นหนานอ๋อง ม่อจิ่งฉี หรือแม้กระทั่งซูจุ้ยเตี๋ยก็ตาม แต่ในใจของเขาลึกๆ แล้วกลับรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเขา เขาคิดว่าเขาไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องนาง ถึงได้ทำให้นางต้องพบเจอกับอันตราย เยี่ยหลีคิดอยากพูดคุยเรื่องนี้กับเขามาโดยตลอด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา นางกลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
“ซิวเหยา” นางยกมือขึ้นดึงหน้ากากบนใบหน้าเขาออก ยาของท่านหมอหลินได้ผลไม่เลวเลยจริงๆ เสียด้วย ถึงแม้จะผ่านมาเพียงไม่กี่วัน แต่รอยแผลเป็นบนใบหน้าของม่อซิวเหยาก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว ต่อให้ไม่สามารถหายจนหมดได้ แต่เยี่ยหลีเชื่อว่าจะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอน
เยี่ยหลียกมือขึ้นกอดคอเขาไว้ เยี่ยหลีจูบเบาๆ ลงบนรอยแผลเป็นบนใบหน้าซีกซ้ายของเขา
ม่อซิวเหยาอึ้งไป มือที่กอดเยี่ยหลีอยู่ ดูเหมือนจะตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่แข็งนิ่งไปอยู่ตรงนั้น
เยี่ยหลีจูบเบาๆ ลงบนหน้าผาก เอ่ยเสียงต่ำว่า “ซิวเหยา ไม่ว่าในโลกนี้จะมีคนอยู่สักกี่คน แต่ในใจของข้า มีเพียงท่านที่เป็นเลิศและดีที่สุด ท่านเข้าใจหรือไม่”
ขนตายาวของม่อซิวเหยาขยับเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองสตรีงดงามที่ระบายยิ้มอยู่ตรงหน้า ภรรยาของเขา และเป็นสตรีเพียงคนเดียวและเป็นสตรีที่เขารักที่สุด นางบอกว่าในใจนางมีเพียงเขาที่เป็นเลิศและดีที่สุด คำพูดอันแสนหวานทำให้ในเขาเกิดความรู้สึกตื้นตันและยินดีขึ้นทันที ยินดีเสียยิ่งกว่ายามที่เสด็จพอเอ่ยชื่นชมในวัยเยาว์เสียอีก แต่ขณะเดียวกันก็กลับทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกผิดและขุ่นเคืองใจยิ่งขึ้นไปอีก เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเจอนางในช่วงเวลาที่ดีที่สุด?
“ซิวเหยา ในโลกนี้บุรุษที่หล่อเหลา มีความสามารถและอำนาจบารมีล้นเหลือนั้น มีมากนัก แต่ข้าได้พบกับท่าน…คนที่ข้าพบมิใช่คุณชายแห่งตำหนักติ้งอ๋องในวันหนุ่มที่ขี่ม้าโจนทะยาน แต่เป็นท่าน ติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยา ท่านเข้าใจหรือไม่ ซิวเหยา หากเจอท่านเร็วกว่านี้สักสิบปี ข้าไม่มีทางรักท่าน” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ
ม่อซิวเหยาเมื่อสิบปีที่แล้ว เยาว์วัยเกินไป เยาว์วัยจนทำให้นางที่ใช้ชีวิตมาสองชาติรู้สึกว่าเด็กเกินไปสำหรับนาง เด็กหนุ่มที่สง่างามเช่นในอดีต สายตาสาดส่องไปทั่วทิศมีแต่จะทำให้เยี่ยหลีหลบหลีกด้วยความกลัว และม่อซิวเหยาในยามนั้นย่อมไม่มีทางมาชอบพอบุตรสาวเจ้ากรมที่มิได้มีเชื้อมีแถวคนหนึ่งอย่างแน่นอน มิใช่เพราะม่อซิวเหยาในวัยเยาว์เป็นคนมองคนจากภายนอก แต่ม่อซิวเหยาในวัยเท่านั้น เกรงว่าคงไม่เห็นสตรีผู้ใดอยู่ในสายตา
เยี่ยหลีไม่มีทางสนใจม่อซิวเหยา และม่อซิวเหยาก็ไม่มีทางหลงรักเยี่ยหลี พวกเขามาพบกันในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด แต่เยี่ยหลีกลับรู้สึกว่า พวกเขาพบกับคนที่ใช่ในช่วงเวลาที่ใช่ที่สุด
“เช่นนั้น ยามนี้อาหลีรักข้าหรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา สายตาจ้องตรงไปยังใบหน้าอันงดงามนิ่งไม่ไหวติง
เขารู้ว่าสิ่งที่อาหลีพูดนั้นถูกต้อง และเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า หากในชาตินี้เขาคลาดกับสตรีนางนี้ไปแล้ว เขาจะเป็นเช่นไร
“ข้ารักท่าน” เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย นางรักบุรุษผู้นี้ รักเขาโดยที่นางไม่รู้ตัว ดังนั้นนางยินดีที่จะทุ่มเทแรงกายและแรงใจเพื่อเตรียมแผนการทุกอย่าง ยินดีทำทุกอย่างเพื่อเขา นางจึงรู้สึกภูมิใจในความเป็นเลิศและหลักแหลมของเขา ในขณะเดียวกันก็สงสารในความยากลำบากและความเปราะบางของเขาด้วยเช่นกัน ยามที่สตรีผู้หนึ่งยินดียอมอ่อนให้กับบุรุษผู้หนึ่งอย่างไม่มีเงื่อนไข นางจะต้องรักเขาอย่างแน่นอน
“อาหลี” ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ ก้มหน้าลงปิดริมฝีปากหอมกรุ่นที่เขาใฝ่หามานาน แย้มฟันขาวของนางออก ค่อยๆ ให้นางเริงระบำไปพร้อมกับตน
“อาหลี ข้ารักเจ้า…ชาตินี้ม่อซิวเหยารักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว…”
“เรียนท่านอ๋อง เมืองหลวง…”
เสียงร้อนรนของบุรุษผู้หนึ่งดังขัดบรรยากาศเร่าร้อนที่เพิ่งระอุขึ้นลง
ในใจเฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่หน้าประตู มีอยู่เพียงของคำ…จบกัน! นี่เขาถึงขั้นเข้ามาขัดจังหวะช่วงที่ท่านอ๋องกับพระชายากำลังเข้าพระเข้านางกันเลยหรือนี่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พวกท่านสองคนก็ช่างน่าโมโหนัก จะคลอเคลียกันจะเข้าไปทำด้านในไม่ได้หรือ ต่อให้มีแค่ม่านบังตาบังอยู่ก็ยังดีนะ
ม่อซิวเหยา เจ้าจำเป็นต้องหื่นกระหายเช่นนี้ด้วยหรือ พระชายากำลังตั้งครรภ์อยู่นะ เจ้าปีศาจเอ้ย!