ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 208-1 ถึงซีเป่ย ลูกน้อยได้ชื่อ
คดีฆาตกรรมตระกูลสวี ถึงแม้จะถูกม่อจิ่งฉีปิดบังไว้ไม่อนุญาตให้ขุนนางทั้งหลายวิพากษ์วิจารย์ แต่เรื่องนี้เช่นนี้มีหรือจะกดเอาไว้ได้
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันฮ่องเต้ส่งคนไปลอบสังหารและวางเพลิงตระกูลสวีทั้งตระกูล ข่าวนี้แพร่ไปทั่วทั้งในและนอกเมืองหลวง และแพร่ออกไปทั่วทั้งต้าฉู่
ท่านชิงอวิ๋นออกประกาศที่สำนักศึกษาหลีซานว่า ด้วยเพราะฮ่องเต้สังหารหมู่ลูกหลานตระกูลสวีอย่างไม่มีสาเหตุ คนสวีซื่อทั้งหมดจะเดินทางลี้ภัยไปยังซีเป่ย ส่วนสำนักศึกษาหลีซานเองก็จะย้ายไปเปิดต่อที่ซีเป่ยเช่นกัน หากบัณฑิตที่ศึกษาอยู่ในสำนักมิอยากเดินทางไกลไปถึงซีเป่ย สามารถเลือกเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาอื่นได้ ส่วนบัณฑิตที่ยินดีศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลีซาน ก็สามารถเดินทางไปศึกษาต่อที่ซีเป่ยได้เช่นกัน
ยามที่คนจากราชสำนักมาถึงอวิ๋นโจว คนสวีซื่อในอวิ๋นโจวทั้งหมดก็หายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงสำนักศึกษาหลีซานที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เมื่อม่อจิ่งฉีได้รู้ข่าวก็โกรธเกรี้ยวขึ้นทันที สั่งให้คนวางเพลิงเผาสำนักศึกษาหลีซาน และประกาศให้ทั้งใต้หล้าได้รู้ว่า สวีซื่อสมคบคิดเป็นกบฏร่วมกับติ้งอ๋อง และสั่งให้ทุกเขตแดนที่เป็นเส้นทางผ่านไปซีเป่ยคอยสกัดและจับตัวมาให้จงได้
แต่ตระกูลสวีเดินทางโดยมีองครักษ์ลับที่ม่อซิวเหยาส่งมาให้โดยเฉพาะคอยคุ้มกันไปตลอดทาง โดยไม่ผ่านเข้าเมืองใหญ่ สำนักทางการของแต่ละพื้นที่ ด้วยความเกรงกลัวต่ออิทธิพลและอำนาจของติ้งอ๋อง ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าทำอันใดตระกูลสวี เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลสวีจึงเดินทางออกจากด่านเฟยหง มุ่งหน้าสู่หรู่หยางได้อย่างปลอดภัย
ปากประตูเมืองเมืองหรู่หยาง เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยายืนจับมือกันอยู่ที่ด้านนอกประตู เมื่อเห็นขบวนรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันตื่นเต้นยินดี “พวกเขามาถึงกันแล้ว…”
ถึงแม้จะได้รับข่าวจากองครักษ์ลับมาก่อนแล้ว แต่หากยังไม่ได้เห็นว่าพวกเขาเดินทางมาถึงหรู่หยางอย่างปลอดภัย อย่างไรก็รู้สึกไม่วางใจนัก ยามนี้เมื่อได้เห็นเงาของขบวนรถ เยี่ยหลีก็รู้สึกเพียงว่า ใจนางที่แขวนอยู่บนสวรรค์ ได้กลับลงมาแล้ว
ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง “บอกแต่แรกแล้วว่าไม่มีอันใด แต่เจ้าก็มัวเป็นกังวลอยู่นั้นแหละ จนพวกเฟิ่งซาน ฉินเฟิงนั่นก็เกือบจะตื่นตระหนกไปด้วย หากมีคนมาเห็นชายาติ้งอ๋องที่ไม่รู้สึกอันใดแม้ภูเขาไท่ซานจะพังทะลายลงต่อหน้า ก็มีความกลัวและกังวลเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอีกสักกี่คนที่พลอยตกใจกลัวไปด้วย”
เยี่ยหลีระบายยิ้มออกมาด้วยความขัดเขิน ที่ว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน เมื่อเกี่ยวกับตนเข้าแล้วก็มักกระวนกระวายนั้น เพียงแค่คิดถึงว่าเรื่องในครานี้เกี่ยวข้องกับตระกูลสวีทั้งตระกูล จะไม่ให้นางเป็นกังวลได้อย่างไร
รถม้ายังไม่ทันมาถึงปากประตูเมืองดี เยี่ยหลีก็ปล่อยมือม่อซิวเหยาแล้วเดินเข้าไปต้อนรับทันที คนที่ขับรถม้าคันหน้าสุดเป็นองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาต้อนรับ ก็รีบหยุดรถม้าทันทีก่อนหันไปเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาออกมาต้อนรับท่านชิงอวิ๋นแล้วขอรับ”
ประตูรถม้าคันแรกถูกเปิดออก สวีหงอวี่ก้าวออกมาก่อน แล้วจึงช่วยกันพยุงชายชราในชุดชิงอีที่ผมและหนวดเคราเป็นสีขาวไปทั้งหมดออกมาจากรถม้า
เยี่ยหลียืนอยู่หน้ารถม้า มองดูชายชราตรงหน้าที่ทั้งดูคุ้นตาและแปลกหน้าอยู่เล็กน้อย ขอบตานางร้อนผ่าว ก่อนที่น้ำตาจะหยดลงมาโดยไม่รู้ตัว
ชายชราตรงหน้ารูปร่างผอมบาง ผมขาวทั้งศีรษะแต่ท่วงท่าอาการกลับดูไม่แก่ชราเลยแม้แต่น้อย แววตาคู่นั้นยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่ยืนอยู่หน้ารถม้า สีหน้าของชายชราก็เผยให้เห็นความคิดถึงและรักใคร่เอ็นดู จึงยิ่งทำให้ดูใจดีมีเมตตา ประหนึ่งเซียนเทพในโลกมนุษย์
“อาหลี…” ม่อซิวเหยาก้าวเข้าไปหา เมื่อเห็นเยี่ยหลีมองท่านชิงอวิ๋นด้วยสีหน้านิ่งอึ้งพร้อมกับมีหยดน้ำตาไหลออกมา ก็ให้รู้สึกปวดใจขึ้นเล็กน้อย เขาทำได้เพียงยิ้ม “ท่านชิงอวิ๋นมาถึงแล้ว ร้องไห้ทำไมหรือ”
เยี่ยหลีถึงได้รู้ตัวว่าตนน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า ท่านตากลับไปอยู่ที่อวิ๋นโจวตั้งแต่ก่อนมารดาจะจากโลกนี้ไป ระหว่างนั้นเยี่ยหลีก็ฟื้นคืนความจำของชาติที่แล้วขึ้นมาได้ ก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนไม่ได้พบหน้าท่านตามานานหลายปี จู่ๆ เมื่อได้มาพบหน้า ภาพในวัยเด็กที่ตนนั่งท่องหนังสืออยู่บนตักท่านตาก็ลอยเข้ามาในหัว จนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ท่านตา…หลีเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ!” เยี่ยหลีคุกเข่าลงกับพื้น
ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ลังเล ยกมือขึ้นคุกเข่าลงตามเยี่ยหลีทันที
ท่านชิงอวิ๋นรีบเข้ามาดึงทั้งสองให้ลุกขึ้น “ท่านอ๋อง ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ “ท่านชิงอวิ๋นเป็นท่านตาของอาหลี ย่อมควรคารวะ”
ท่านชิงอวิ๋นมองม่อซิวเหยาที่อายุยังน้อยแต่กลับผมขาวเต็มศีรษะเสียยิ่งกว่าตนที่อายุเจ็ดสิบปีเสียอีก ก็อดถอนใจยาวออกมาไม่ได้ ท่านหันไปมองเยี่ยหลีพร้อมยิ้มปลอบใจ “เด็กดี ไม่ได้พบกันเสียนาน ข้าเกือบนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกเสียแล้ว ชาตินี้พวกเราตาหลานยังได้พบหน้ากันอีก ถือว่าเป็นมีบุญต่อกัน จะร้องไห้ไปไย”
เยี่ยหลีรีบเช็ดน้ำตา ยิ้มเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์ไม่ได้ระวังกิริยา ท่านตากับพวกท่านลุงมากันหมดแล้ว คนในตระกูลของเราได้มาอยู่พร้อมหน้า ควรร้องไห้ที่ใดกัน ท่านตา ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้ลำบากเดินทางกันแล้ว”
ภายในรถม้าด้านหลัง สวีชิงเฉินประคองสวีฮูหยินใหญ่ ฉินเจิงประคองสวีฮูหยินรองเดินลงมา ด้านหลังยังมีสวีหงเยี่ยน สวีชิงป๋อตามมาด้วย เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็อดยิ้มขึ้นไม่ได้
ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ก็มีเสียงตะโกนร้องยินดีดังมาจากหน้าประตูเมือง สวีหงเยี่ยนรีบวิ่งออกมาประหนึ่งลมหอบ ตัวยังไม่ทันมาถึงแต่เสียงมาถึงก่อนเสียแล้ว “ท่านตา ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมากันแล้ว ลูกคิดถึงพวกท่านแทบตาย!”
“หึ!” เมื่อเห็นท่าทางลิงโลดของบุตรชายคนเล็ก สวีหงอวี่ก็เพียงส่งเสียงหึเบาๆ
สวีชิงเยี่ยนชะงักกึกไปทันที หลบอยู่หลังสวีชิงป๋อพร้อมเรียกพี่สี่เบาๆ อย่างน่าสงสาร
สวีชิงป๋อยื่นมือตบหัวเขาเบาๆ โดยมิได้พูดอันใด
สวีชิงเยี่ยนเหลือบมองบิดา เมื่อเห็นยังจ้องมาที่ตนอยู่ก็ยิ่งหลบไปหลังสวีชิงป๋อเข้าไปใหญ่
สวีหงอวี่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็ยิ่งมีน้ำโห หรี่ตาลงคิดอยากอ้าปากสั่งสอนเขาเสียรอบหนึ่ง แต่เมื่อท่านชิงอวิ๋นเห็นว่าหลานคนเล็กได้พบหน้าบิดาก็ทำตัวประหนึ่งหนูเจอแมวเช่นนั้น ก็อมยิ้ม เอ่ยว่า “เอาเถิด มีเรื่องดันใดไว้ค่อยพูดกันทีหลัง”
สวีหงอวี่ย่อมไม่ขัดความประสงค์ของผู้เป็นบิดา พยักหน้าเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อพูดถูกขอรับ”
“หลีเอ๋อร์คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้รองเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีก้าวเข้าไปคารวะสวีฮูหยินทั้งสอง แล้วอมยิ้มหันไปเอ่ยทักทายพวกสวีชิงเฉิน “พี่ใหญ่ พี่สาม พี่เจิงเอ๋อร์”
เมื่อเห็นฉินเจิงมาด้วย เยี่ยหลีก็ยิ่งยินดี ก่อนหันไปมองสวีชิงเฟิงและสวีชิงเจ๋อที่เดินสาวเท้าเร็วๆ ก้าวเข้ามา
สวีฮูหยินใหญ่จับเยี่ยหลีเข้ามามองสำรวจขึ้นลงอยู่หลายรอบ ยิ้มเอ่ยว่า “คราแรกที่พวกเราออกจากเมืองหลวง หลีเอ๋อร์ยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยเท่านั้น มายามนี้กลับมีบุตรเป็นของตนเองแล้ว พริบตาเดียวผ่านมาหลายปีเช่นนี้…”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หลายปีมากแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้ทั้งสองเหนื่อยเดินทางกันมามากแล้ว พวกเรากลับเข้าเมืองไปพักผ่อนกันเถิดเจ้าค่ะ”
ม่อซิวเหยารู้ดีว่าท่านชิงอวิ๋นชอบความสงบ ทั้งสองจึงมิได้จัดการให้มีคนมาต้อนรับมากนัก มีแค่เพียงพวกเขาสองคนกับพวกสวีชิงเฟิงที่ออกมาต้อนรับด้วยตนเองที่หน้าประตูเมืองเท่านั้น
เมื่อคณะของพวกเขากลับถึงตำหนักติ้งอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านม่อถึงได้พาทุกคนออกมาต้อนรับ ในจวนได้เตรียมเรือนที่พักและข้าวของเครื่องใช้ไว้พรั่งพร้อมแล้ว รอเพียงให้ทุกคนเข้าไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อน แล้วตกกลางคืนค่อยจัดงานเลี้ยงและเชื้อเชิญข้าราชการและนายทหารในเมืองหรู่หยาง ให้มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับตระกูลสวี
สวีชิงป๋ออมยิ้มมองเยี่ยหลี “น้องหลีเอ๋อร์ เรื่องพวกนี้ไม่รีบร้อนหรอก พวกเราอยากรีบไปดูหลานตัวน้อยเสียมากกว่า”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม หันกลับไปสั่งชิงหลวนว่า “รีบไปบอกให้แม่นมอุ้มลูกมาเร็วเข้า”
ชิงหลวนเดินอมยิ้มออกไป เยี่ยหลีประคองท่านชิงอวิ๋นให้ไปนั่งลงตรงตำแหน่งประมุขด้วยตนเอง ทั้งยังได้ยกน้ำชาให้เขาด้วยตนเองอีกด้วย
ทุกคนพากันนั่งลง พวกสวีชิงเฟิงทั้งสามคนถึงได้ทำความเคารพท่านปู่ และท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง ท่านชิงอวิ๋นยิ้มมองหลานทั้งสาม ใบหน้าดูมีความรักใคร่ขึ้นหลายส่วน ถึงแม้ต้องจากบ้านตระกูลสวีที่อวิ๋นโจวที่อยู่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ยามนี้กลับได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
เขายิ้มมองสวีชิงเฟิง “เฟิงเอ๋อร์ ไม่ได้พบหน้าเสียหลายปี ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากทีเดียวนะ”
เมื่อเทียบกับคุณชายตระกูลสวีอีกสี่คนแล้ว สวีชิงเฟิงถือเป็นแกะดำของตระกูลสวี มิใช่ว่าเขาร่ำเรียนหนังสือไม่เอาไหน เพียงแต่เขาไม่ชอบคำสอนโบราณเหล่านั้น ที่ว่าตระกูลสวีไม่มีทางดูถูกบุตรหลานของตนเอง แต่พวกเขาก็ใช่ว่าจะได้รับอิสระถึงเพียงนั้น มาวันนี้เมื่อเห็นสวีชิงเฟิงได้แสดงความสามารถของตนและดูมีกำลังวังชา ท่านชิงอวิ๋นเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลานตน ก็รู้สึกปลาบปลึ้มใจมากทีเดียว
สวีชิงเฟิงยิ้ม “ท่านปู่พูดถูกขอรับ หลานอยู่ในกองทัพของน้องหลีเอ๋อร์ ได้เรียนรู้อันใดไม่น้อยทีเดียว เรื่องนี้ต้องขอบคุณน้องหลีเอ๋อร์ขอรับ”
ทุกคนต่างหันมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ
เยี่ยหลีรีบโบกมือ ยิ้มเอ่ยว่า “นี่ล้วนเป็นความสามารถของพี่สามเอง ข้ามิได้ช่วยอันใดเลยเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง หลังจากจับสวีชิงเฟิงโยนเข้าไปในหน่วยกิเลนแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่เคยสอบถามถึงเขาอีกเลย นี่มิใช่เพียงเพราะนางให้ความเชื่อใจและอำนาจเบ็ดเสร็จกับฉินเฟิงแล้ว แต่ก็เพื่อประโยชน์ของสวีชิงเฟิงเองด้วย ในสถานที่เช่นหน่วยกิเลน หากอยากอยู่โดยใช้เส้นสาย สู้ไม่เข้าไปเลยเสียยังดีกว่า เดี๋ยวไม่รู้จะได้ไปตายอยู่เสียที่ใด
โชคดีที่สวีชิงเฟิงเองก็เป็นคนนิสัยเด็ดเดี่ยวเช่นกัน เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เป็นยอดฝีมือมาจากกองทัพตระกูลม่อแล้ว สวีชิงเฟิงที่มาจากค่ายทหารทั่วไปมิได้มีข้อได้เปรียบ แต่เขากลับกัดฟันยืนหยัดอดทนโดยไม่โอดครวญเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ฉินเฟิงเองก็ยังชื่นชมเขาอย่างมาก