ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 215-2 ของขวัญในงานเลี้ยงครบเดือน
“ไม่เสียแรงที่เป็นติ้งอ๋อง สง่าราศีเช่นนี้ นอกจากชายาติ้งอ๋องแล้ว ในโลกหล้านี้ยังมีผู้ใดที่เหมาะสมกับเขาอีกหรือ” ถึงแม้จิตใจนางจะประหวัดคิดถึงแต่เพียงสวีชิงเฉิน แต่เมื่อองค์หญิงอันซีได้มองม่อซิวเหยา ก็ยังอดเอ่ยทอดถอนใจออกมาไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีชิงเฉินจึงเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยาที่ยืนเคียงคู่อยู่กับเยี่ยหลี เขาระบายยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความปิติยินดี
เดิมทีที่เยี่ยหลีได้รับพระราชทานสมรสให้กับม่อซิวเหยานั้น ตระกูลสวีของพวกเขามิใช่ว่าจะไม่รู้สึกผิดต่อนาง หากว่าสาเหตุที่ทำให้หลีเอ๋อร์ได้รับพระราชทานสมรสกับติ้งอ๋อง ด้วยเพราะครึ่งหนึ่งเป็นเพราะถูกหลีอ๋องสลัดทิ้งแล้วล่ะก็ ตระกูลสวีของพวกเขาก็คงเป็นสาเหตุอีกครึ่งหนึ่ง ยามนี้เมื่อได้มาเห็นติ้งอ๋องสามารถยืนอยู่ข้างกายหลีเอ๋อร์ด้วยร่างกายที่สมบูรณ์ คนในตระกูลสวีทุกคนย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่งอย่างแน่นอน
“องค์หญิงอันซีกล่าวได้มีเหตุผลนัก ได้ยินมานานแล้วว่าชายาติ้งอ๋องสง่างามเหนือผู้ใด ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง” รัชทาทแห่งเป่ยหรง เยียหลี่ว์หงที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เอ่ยต่อขึ้น สายตาที่เหลือบขึ้นมองทั้งสองที่ยืนอยู่เต็มไปด้วยแววแห่งความชื่นชม
แน่นอนว่าเยี่ยหลีเป็นสตรีที่งดงาม แต่ความงามของนางยังไม่ถือว่าเพียงพอที่จะล้มบ้านล้มเมืองได้ แต่สิ่งที่เป็นแรงดึงดูดของนางที่แท้จริงนั้นคือ กิริยาท่วงท่าและรัศมีของนางที่เปล่งประกายออกมาต่างหาก เมื่อยืนอยู่ข้างบุรุษเช่นม่อซิวเหยาแล้ว ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ความงามของนางก็สามารถถูกกดให้จมลงได้ง่ายๆ แต่เยี่ยหลีกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางเพียงยืนสบายๆ อยู่ข้างกายม่อซิวเหยา มุมปากยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างสุภาพและสง่างาม ใบหน้าที่สงบนิ่งงดงาม เมื่อรวมเข้ากับแววตาที่ทอดมองไปไกลและสงบนิ่งนั้นแล้ว ยิ่งทำให้ดูประหนึ่งเป็นดอกโบตั๋นที่พิเศษกว่าดอกโบตั๋นทั่วไปในโลกหล้านี้ ผู้ใดกล่าวว่าดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ที่หรูหราและสวยงามเหนือผู้คนทั้งปวงกันเล่า ความปราณีตงดงามประหนึ่งสวรรค์สร้าง ดูอย่างไรก็เป็นราชินีแห่งดอกไม้ทั้งปวง
“คารวะติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง”
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” ม่อซิวเหยาจับจูงมือเยี่ยหลี วาดแขนเสื้อออกพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “ขอบคุณทุกท่านที่ยอมเดินทางไกลเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของบุตรชายตัวน้อยของข้า ข้าและพระชายาหวังว่าแขกเหรื่อทุกท่านจะสนุกกันให้เต็มที่ ทุกท่านไม่เมาไม่กลับ!”
“ติ้งอ๋อง ในเมื่อคืนนี้เป็นงานฉลองครบหนึ่งเดือนของซื่อจื่อน้อย ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีวาสนาได้พบหน้าซื่อจื่อน้อยหรือไม่” จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่างานเลี้ยงนคืนนี้จะใช้เรื่องงานเลี้ยงครบเดือนของซื่อจื่อน้อยมาเป็นข้ออ้าง แต่ในเมื่อมากันแล้ว อย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นไม่ได้เห็นแม้กระทั่งหน้าตาของซื่อจื่อน้อยกระมัง
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้จะไปยากอันใด”
แม่นมอุ้มห่อผ้าเดินขึ้นมาบนเวทีด้านบน เยี่ยหลีอมยิ้มรับบุตรมาแล้วก้มลงดู น้อยครั้งนักที่เมื่อฟ้ามืดแล้ว ม่อตัวน้อยจะยังคงไม่หลับ ดวงตากลมโตมองจ้องแป๋วไปยังเยี่ยหลี ไม่รู้ว่าเพราะเขารู้จักเยี่ยหลีจริงๆ หรือว่าคุ้ยเคยกับกลิ่นของนาง เมื่อมาอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลีก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีจับเขาอุ้มสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้คนทางด้านล่างได้เห็นรูปร่างหน้าตาของม่อตัวน้อย เจ้าตัวน้อยก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า สงบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลีอย่างว่าง่าย พร้อมทอดสายตามองทุกคนที่อยู่ด้านล่าง โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะอย่างไรเขาก็มองไม่เห็นคนและสิ่งของทางด้านหน้าอยู่แล้ว
“ซื่อจื่อน้อยช่างเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ สมเป็นทายาทแห่งยอดบุคคลยิ่งนัก…” ทุกคนต่างชื่นชมกันไม่ขาดปาก
เยียหลี่ว์เหยี่ยที่นั่งอยู่ ยิ้มพร้อมเอ่ยถามเสียงก้องว่า “ติ้งอ๋อง ไม่รู้ว่าซื่อจื่อน้อยได้ตั้งชื่อแล้วหรือยัง”
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าตั้งแล้ว ท่านชิงอวิ๋นเป็นผู้ตั้งชื่อให้บุตรตัวน้อยด้วยตนเอง ตัวแรกคืออวี้ ตัวต่อมาคือเฉิน”
ม่ออวี้เฉิน อันที่จริงคนใน ณ ที่นั้นจำนวนไม่น้อยที่รู้ชื่อจริงของม่อตัวน้อยจากหลายช่องทางกันมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้มาได้ยินจากปากม่อซิวเหยา กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
วัฒนธรรมของหนานจ้าวกับต้าฉู่แตกตางกันอย่างสิ้นเชิง จึงมิได้รู้สึกอันใดกับเรื่องนี้ แค่เพียงเอ่ยชื่นชมว่าเป็นชื่อที่ดี เป่ยหรงก็เป็นคนต่างเผ่า ถึงแม้จะมีการเรียนรู้เรื่องจงหยวนแต่อย่างไรก็ยังมีขอบเขตที่จำกัด คนที่รู้สึกตกใจโดยแท้จริงคือเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงกับม่อจิ่งหลีแห่งต้าฉู่
อวี้เฉิน การตั้งชื่อเช่นนี้ ดูจะไม่ปกปิดความมุ่งหวังที่เขามีต่อเด็กคนนี้หรือความทะเยอทะยานของเขาเลยแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งหลีเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยาที่นั่งโอบเยี่ยหลีอยู่ทางด้านบนในตำแหน่งประธาน ในใจเกิดเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่ซัดสาด เขาไม่เข้าใจตนเองมาโดยตลอดว่า ในใจเขารู้สึกเช่นไรกับม่อซิวเหยา แต่ในยามนี้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตนมีความริษยาม่อซิวเหยามากมายเพียงใด ถูกแล้ว นั่นคือความริษยา ถึงแม้เขาจะแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศแล้ว แต่เขาก็ยังมิกล้าตั้งชื่อให้บุตรชายตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ดังนั้น บุตรชายของม่อซิวเหยาจึงชื่อม่ออวี้เฉิน ส่วนบุตรชายของเขา ยังคงต้องใช้ชื่อที่เป็นระดับหลานของเชื้อพระวงศ์ ว่าม่ออวิ๋นเซียว และถึงเม้พวกเขาจะเป็นอริกับม่อจิ่งฉีเช่นเดียวกัน แต่ม่อซิวเหยาสามารถเชื้อเชิญผู้มีอิทธิผลของแต่ละแคว้นมาได้อย่างเปิดเผย ตามแบบอย่างของผู้นำที่เป็นอ๋อง แต่เขากลับทำได้เพียงลอบติดต่อกับผู้มีอิทธิของแต่ละแคว้นเพียงลับๆ เท่านั้น
ติ้งอ๋องกับหลีอ๋อง ในสายตาของทุกคนไม่เคยอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ในยามนี้ ม่อซิวเหยามีสตรีที่งดงามและสง่างามอยู่ในอ้อมแขน สตรีที่ควรจะเคยเป็นภรรยาของเขา แต่ถึงแม้ในใจเขาจะเกิดความริษยาจนแทบจะมียาพิษไหลออกมาเพียงใด ยามนี้เขาก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ด้านล่างเงียบๆ มองดูความยิ่งใหญ่และความได้ใจของม่อซิวเหยาเท่านั้น
เยี่ยอิ๋งนั่งอยู่ข้างกายม่อจิ่งหลี ย่อมเห็นสีหน้าของม่อจิ่งหลีอย่างชัดเจน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน แต่เมื่อหันขึ้นไปมองเยี่ยหลี สีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นเต็มไปด้วยความขมขื่น ก่อนหน้านี้ที่นางสามารถกระชากเยี่ยหลีลงมา จนตนได้แต่งงานเข้าตำหนักหลีอ๋องนั้น นางรู้สึกสะใจอย่างหาได้เปรียบ และบางคราถึงขั้นนึกเห็นใจพี่สาวต่างมารดาที่ต้องแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง
แต่ในยามนี้ พวกนางเป็นชายาอ๋องเช่นเดียวกัน แต่คนหนึ่งนั่งอยู่เหนือผู้คนนับพันนับหมื่น ได้ควบคุมกองทัพที่ยิ่งใหญ่อย่างกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋อง ทั้งยังมีความรักใคร่และความจริงใจทั้งหมดของสามีที่เป็นเลิศไว้ในครอบครอง ส่วนอีกคนหนึ่งกลับต้องคอยเลี้ยงดูบุตรที่เจ็บออดๆ แอดๆ และถูกกัดตัวอยู่ในเมืองหลวง กว่าจะได้ออกมาเช่นในวันนี้ก็ไม่ง่าย แต่เมื่อออกมาแล้วข้างกายเขากลับมีภรรยาและอนุอยู่อีกโขยงใหญ่ ประหนึ่งไม่มีที่ให้ตนเสียนานแล้ว ผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนที่ต้องการคนเห็นใจ
“ม่ออวี้เฉิน? เป็นชื่อที่ดี” เจิ้นหนานอ๋องทอดสายตามองบุตรในอ้อมแขนของเยี่ยหลีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยชื่นชมขึ้น
ม่อซิวเหยาก็ไม่เกรงใจ เอ่ยรับอย่างเปิดเผยว่า “ย่อมเป็นชื่อที่ดี”
เยียหลี่ว์เหยี่ยลุกขึ้นยิ้ม เอ่ยว่า “ติ้งอ๋องซื่อจื่อครบเดือนแล้ว ข้าตั้งใจนำของขวัญจากเป่ยหรงมาให้ซื่อจื่อโดยเฉพาะ หวังว่าท่านอ๋องจะไม่รังเกียจ”
ม่อซิวเหยากดสายตาลงมองเยียหลี่ว์เหยี่ยที่อยู่ด้านล่าง แล้วยิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์ชายเจ็ดเดินทางมาไกล ข้าจะไม่รู้จักมารยาทเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าขอขอบคุณองค์ชายเจ็ดแทนบุตรชายของข้าด้วยก็แล้วกัน”
เยียหลี่ว์เหยี่ยยิ้ม ยกมือขึ้นพร้อมผิวปากขึ้นฟ้าเป็นเสียงประหลาด จากนั้นได้ยินเสียงนกร้องดังขึ้นในอากาศ แล้วเงาดำกลุ่มหนึ่งบินพุ่งตรงเข้าหาม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีในตำแหน่งที่พวกเขานั่งอยู่พอดี
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมากันอย่างอดไม่อยู่ เงาดำนั้นเมื่อบินเข้าใกล้แสงไฟถึงได้มองเห็นชัดเจนว่า แท้จริงแล้วมันไม่ใช่สีดำ แต่เป็นนกตัวใหญ่สีขาวประหนึ่งหิมะไปทั้งตัว ปีกทั้งสองข้างกางออก กรงเล็บที่แข็งแรงทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างคมกริบภายใต้แสงไฟ ก่อนบินตรงเข้าใส่ทั้งสามคนที่อยู่ด้านบนทันที
ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกอกตกใจของผู้คน นกสีขาวตัวใหญ่ตัวนั้น ก็หยุดลงตรงหน้าของทั้งสามห่างไปเพียงไม่กี่จั้ง ประหนึ่งชนเข้ากับอันใดสักอย่างจึงหยุดลง จากนั้นมันก็พยายามพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ยอมลดละ ตรงหน้าของมันเป็นเพียงความว่างเปล่า แต่มันกลับทำประหนึ่งมีกำแพงสูงที่ไร้รูปขวางกั้นอยู่ตรงหน้ามันกระนั้น ยามนี้ทุกคนถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งนั้นคือนกอินทรีย์สีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
นกอินทรีย์สีขาวถูกบางสิ่งบางอย่างที่ไร้รูปขวางกั้นเอาไว้ จนไม่อาจเข้าใกล้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาได้ แต่มันก็ยังไม่ยอมบินหนีไปที่ใด แต่กลับพยายามพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมส่งเสียงร้องอย่างเต็มที่
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปปิดหูม่อตัวน้อย สายตาเย็นเยียบจ้องเขม็งไปที่นกอินทรีย์สีขาว แล้วเอ่ยว่า “หุบปาก!”
รังสีเย็นเยียบที่ถูกส่งออกมานั้น ถึงแม้จะเป็นนกอินทรีย์ขาวที่มีความหยิ่งผยองก็ยังอดตัวสั่นเล็กน้อยไม่ได้ จากกนั้นกลับยิ่งส่งเสียงร้องดังขึ้นไปอีก
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างเยาะหยัน “บังอาจ!” ชายแขนเสื้อสะบัดม้วนทีหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นนกอินทรีย์ตัวใหญ่ที่แข็งแรง ก็ยังถูกพลังของเขาทำให้หมุนติ้วก่อนจะตกลงไป จุดที่มันตกลงไปนั้นเป็นจุดที่เยียหลี่ว์เหยี่ยนั่งอยู่พอดี
เมื่อเห็นนกอินทรีย์ตัวใหญ่ถูกกระแทกตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ทำได้เพียงลุกขึ้นถอยเร็วๆ ไปด้านหลังหลายก้าว นกอินทรีย์สีขาวตกลงบนเก้าอี้เยียหลี่ว์เหยี่ยที่ว่างอยู่พอดิบพอดี นกอินทรีย์ตัวใหญ่ที่ถูกหมุนจนเวียนหัว มีหรือจะสามารถแยกแยะคนออกได้ พอบินขึ้นมาได้ก็พุ่งเข้าใส่เยียหลี่ว์เหยี่ยทันที
นกอินทรีย์ขาวตัวนี้เป็นนกที่ดุร้ายที่สุดในที่ราบของเป่ยหรง แม้แต่ฝูงหมาป่ายังเกรงกลัวมันเป็นที่สุด หากถูกกรงเล็บนั้นเข้าไปทีหนึ่ง ต่อให้ไม่เสียชีวิต แต่ชีวิตครึ่งหนึ่งก็คงหายไป
เยียหลี่ว์เหยี่ยผิวปาก หมายจะควบคุมอินทรีย์ขาวนั้นไว้ให้ได้ แต่เมื่อครู่อินทรีย์ขาวเพิ่งถูกพลังของม่อซิวเหยาทำให้กระเด็นตกลงมาอย่างแรง ตรงหน้ามีเพียงดาวลอยคว้างอยู่เท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงผิวปาก จึงบินตรงไปข้างหน้าด้วยความเคยชิน เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงทำอันใดไม่ได้ นอกจากใช้วิชาตัวเบาถอยหนีไปอีกทางหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนเห็นจึงเป็นภาพที่เยียหลี่ว์เหยี่ยถูกนกอินทรีย์ขาวที่ตนนำมาไล่ต้อนจนต้องกระโดดหนีไปทั่ว และทำได้เพียงหันมองกันอย่างไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือควรทำเป็นไม่เห็นดี
ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงเพลิดเพลินกับความวุ่นวายตรงหน้า เยี่ยหลีที่อุ้มม่อตัวน้อยอยู่ก็กำลังมองภาพตรงหน้าเงียบๆ พร้อมยื่นมือไปเย้าแหย่บุตรตัวน้อยที่ลืมตาโตอยู่เป็นระยะๆ
การหมุนฝ่ามือของม่อซิวเหยาเมื่อครู่มิได้ธรรมดาๆ เพียงนั้น เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างกายเขา ย่อมมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เขาทำให้นกอินทรีย์ขาวตัวนั้นหมุนติ้วนั้น เขาได้สาดผงยาบางอย่างไปที่ตัวนกอินทรีย์ขาวตัวนั้นด้วย ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าคืออันใด แต่เมื่อได้เห็นอาการของนกอินทรีย์ขาวก็พอเดาออก และที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ นกอินทรีย์ขาวที่บินพุ่งชนไปอย่างไร้ทิศทางนั้น ต่อให้อีกเดี๋ยวถูกจับตัวได้ ก็ไม่แน่ว่าจะพบผงยาอันใดบนตัวมัน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นกอินทรีย์ขาวเป็นของที่คนเป่ยหรงนำมาให้ ต่อให้พบสิ่งใดก็เป็นเรื่องภายในของพวกเขากันเองเท่านั้น
เมื่อเห็นเยียหลี่ว์เหยี่ยถูกนกอินทรีย์ขาวที่กำลังหัวหมุนไล่ต้อนจนต้องหลบหลีกอย่างน่าสมเพช เยี่ยหลีก็ยิ้มแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เอาล่ะ ให้คนมาจับของขวัญขององค์ชายเจ็ดไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” องครักษ์ลับสองนายก้าวออกมาจากฝูงชน ก่อนขนาบเข้าโจมตีนกอินทรีย์ขาว หากนกอินทรีย์ขาวตัวนั้นบินอยู่กลางอากาศ พวกเขาย่อมจับไว้ไม่ได้ แต่ในยามนี้ตัวของอินทรีย์ขาวกำลังหนักอึ้งจนจะบินไม่ขึ้นอยู่แล้ว หลังจากที่พยายามบินขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ ทั้งสองก็ร่วมแรงกันจับนกอินทรีย์ขาวตัวนั้นไว้ได้ ก่อนนำไปขังไว้ในกรงอันแน่นหนาที่คนด้านล่างส่งขึ้นมาให้
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นถืงได้พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก