ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 220-1 ทรัพย์สมบัติของปฐมฮ่องเต้
พอก้าวเท้าเข้าเรือนเสิ่นหยาง ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างดุเดือดดังลอยมาทันที แต่ฟังดูไม่เหมือนเสียงทะเลาะเบาะแว้งของเสิ่นหยางกับท่านหมอหลินยามความเห็นไม่ตรงกันตามปกติสักเท่าไร แต่กลับเต็มไปด้วยคำพูดกระทบกระเทียบแดกดัน ดูถูกเหยียดหยามกันสารพัด แม้เยี่ยหลีจะยืนอยู่ที่หน้าประตูเมื่อได้ยินยังอดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้
ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ทั้งสองที่คราก่อนประหนึ่งน้ำกับไฟ ยามนี้กลับร่วมมือกันต่อปากต่อคำกับคนนอก เสิ่นหยางนั่งจิบชาสบายๆ อยู่ด้านหนึ่ง ด้วยท่าทางประหนึ่งหัวหน้าบัณฑิตผู้มีชื่อเสียง
ท่านหมอหลินเองก็นั่งจิบชาอยู่เช่นกัน มองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยสีหน้าดูแคลน จั๋วจิ้งที่พาเหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคเข้ามา จึงทำได้เพียงใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “ท่านทั้งสอง พระชายาขอให้ท่านทั้งสองช่วยตรวจดูอาการท่านนี้สักหน่อยขอรับ”
ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเบาๆ ปรายตามองจั๋วจิ้งทีหนึ่ง “เหตุใดคนแก่อย่างข้าถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยบอกว่าจะทำตามคำสั่งพระชายาของเจ้านะ นางบอกให้ข้าตรวจดูก็ต้องตรวจดู?”
เสิ่นหยางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถึงแม้จะรับเงินจากตำหนักติ้งอ๋อง แต่…ตัวข้าก็เป็นหมอเทวดาที่มีความเคารพในตนเอง ข้าน้อยจะไม่มีทางตรวจชีพจรให้คนที่เดินทางผ่านไปผ่านมาหรอก”
คำพูดประโยคนี้ดูจะถูกใจท่านหมอหลินเป็นอย่างมาก ท่านหมอหลินพยักหน้าตามยกใหญ่ “จะว่าไปยามนั้นสมัยที่ข้าอยู่ในยุทธภพ เคยมีสมญานามว่า เห็นคนตายไม่ช่วย ความหมายก็คือ…ไม่ช่วยคนที่ไม่สมควรตาย คนที่สมควรตายยิ่งไม่ช่วยเข้าไปใหญ่!”
ยามที่ท่านหมอหลินร่อนเร่อยู่ที่ยุทธภพนั้น อย่างน้อยๆ ก็กว่าสามสิบปีมาแล้ว มากกว่าอายุทุกคนที่อยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ จึงย่อมไม่มีผู้ใดไปซักไซร้ว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก แต่ก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของตนเอง
บัณฑิตขี้โรคไอแค่กๆ ไม่หยุด ไม่รู้ว่าด้วยเพราะโกรธหรือเพราะถูกทำร้ายหนักเกินไป เมื่อตั้งตัวกลับมาได้ ถึงได้ดึงเหลิ่งหลิวเย่ว์พร้อมเอ่ยว่า “พี่สอง เราไปกันเถิด”
พูดจบก็กวาดสายตาประหนึ่งพิษร้ายไปยังเสิ่นหยางและท่านหมอหลิน ในใจนึกวางแผนว่า เมื่อใดที่ตนหายบาดเจ็บจะกลับมาวางยาพิษตาแก่สองคนที่ไม่ยอมตายเสียทีนี่ให้ได้
สายตาและอารมณ์ของเขา เสิ่นหยางและท่านหมอหลินย่อมเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน หากเป็นคนอื่นบางทีอาจเกรงกลัวศาสตร์ยาพิษที่บัณฑิตขี้โรคเก่งกาจและพิษที่ยากจะถอนได้ของเขา แต่ทั้งสองคนเรียกได้ว่าเป็นท่านหมออันดับหนึ่งอันดับสองของยุค นอกเสียจากว่า บัณฑิตขี้โรคสามารถปรุงยาพิษที่หายสาบสูญไปแล้วได้จริงๆ มิเช่นนั้นคงมีพิษอยู่เพียงไม่กี่อย่างที่สามารถข่มขู่พวกเขาได้
เหลิ่งหลิวเย่ว์ไม่เหมือนกับบัณฑิตขี้โรค ชื่อเสียงของเสิ่นหยางนางย่อมเคยได้ยินมาเป็นอย่างดี เดิมทีสำนักเยี่ยนอ๋องก็เป็นแหล่งรวมคนที่มีนิสัยประหลาดอยู่แล้ว เหลิ่งหลิวเย่ว์ย่อมเข้าใจดีว่า คนมีความสามารถกว่าครึ่งมักมีนิสัยประหลาดบางอย่างกันอยู่บ้างทุกคน
นางหันไปปรายตามองบัณฑิตขี้โรคทีหนึ่ง ก่อนหันไปประสานมือพร้อมเอ่ยว่า “น้องสามเสียมารยาท ขอท่านทั้งสองโปรดอภัยด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เหลิ่งหลิวเย่ว์เอ่ย เยี่ยหลีก็เข้าใจทันที เป็นไปได้สักแปดส่วนที่บัณฑิตขี้โรคจะเป็นฝ่ายเริ่มหาเรื่องก่อน เพราะถึงอย่างไรถึงแม้เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินจะมีเรื่องให้ถกเถียงกันทุกวัน แต่ก็มิเคยพาลใส่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีทางไปมีเรื่องกับคนที่มาขอให้ช่วยตรวจรักษา หนำซ้ำยังเป็นคนที่นางให้มาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงไม่รีบร้อนเข้าไปห้ามทัพ นางยืนพิงกำแพงนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานที่ดูจะไม่ธรรมดา หากจะสังหารบัณฑิตขี้โรคคงเป็นไปไม่ได้แล้ว คงต้องหาโอกาสสั่งสอนเขาสักหน่อย น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
“พี่รอง ท่านไม่ต้องไปขอร้องตาแก่สองคนนี้หรอก! ความสามารถอย่างพวกเขาที่แม้แต่สูตรยาสักสูตรก็ยังทำออกมาไม่ได้ แล้วจะเอาอันใดมารักษาข้า” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยด้วยความดูแคลน
“หุบปาก!” เหลิ่งหลิวเย่ว์ขมวดคิ้วต่อว่าเขาเสียงเข้ม “หากพูดอีกประโยคเดียว ข้าจะให้พี่ใหญ่จับเจ้าขังคุกใต้ดินไม่ให้ออกมาอีกเลย!”
บัณฑิตขี้โรคอึ้งไป มองสตรีในชุดดำที่ดูผอมบางงดงามและเยือกเย็น ก่อนแววตาจะดูครึ้มไป
ส่วนท่านหมอหลินก็หัวเราะหึหึ ปรายตามองบัณฑิตขี้โรคพร้อมเอ่ยว่า “พูดอย่างกับว่าสูตรยาสูตรนั้นเจ้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมากระนั้นแหละ”
สูตรยาโบราณของดอกปี้ลั่วเท่าที่เสิ่นหยางรู้มา เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันมา ในบรรดาหนังสือที่เขาเก็บสะสมไว้ ก็มีเพียงส่วนหนึ่งของสูตรยา อีกทั้งยังเป็นสูตรยาของเมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่เสียหายแล้วอีกด้วย ซึ่งไม่ได้ต่างไปเพียงรูปลักษณ์ตัวอักษร และการเรียกตัวยาก็ไม่เหมือนกัน แม้แต่ความหมายที่เขียนก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างอีกด้วย นอกเสียจากจะได้สูตรยาโบราณฉบับสมบูรณ์มา มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็คงไม่เชื่อจริงๆ ว่า เจ้าหนุ่มประหลาดผู้นี้สามารถคิดค้นสูตรยาออกมาได้ด้วยตนเอง
บัณฑิตขี้โรคเพียงยิ้มเยาะ มิได้เอ่ยอันใด เขาไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมาเองแล้วอย่างไร เขาโชคดีได้สูตรยาโบราณฉบับสมบูรณ์มา ก็ถือว่าเขาชนะแล้ว หากคนพวกนี้อยากได้สูตรยาโบราณ ก็ต้องขอร้องเขามิใช่หรือ
“ท่านเสิ่น ท่านอาจารย์ มีอันใดกันหรือ” เมื่อเห็นว่าด้านในทะเลาะกันพอสมควรแล้ว เยี่ยหลีจึงเดินเข้าไปมองทุกคนที่ง้างธนูเข้าใส่กัน พร้อมอมยิ้มเอ่ยถามขึ้น
จั๋วจิ้งก้าวขึ้นมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้เยี่ยหลีฟังรอบหนึ่ง แล้วก็ได้รู้ว่าบัณฑิตขี้โรคเป็นคนที่น่าตีจริงๆ เรื่องมีอยู่ว่า ความคับแค้นใจเมื่อครู่ในโถงดอกไม้ที่ไม่ได้ระบายออกมา เมื่อมาถึงที่นี่จึงได้เอาความอัดอั้นนั้นมาระบายใส่เสิ่นหยางและท่านหมอหลิน แต่ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เล่นด้วยง่ายๆ ที่ใดกัน จึงตอบโต้ เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียจนบัณฑิตขี้โรคแทบกระอักเลือด
เสิ่นหยางเพียงยิ้ม มิได้เอ่ยอันใด
ส่วนท่านหมอหลินกลับไม่เกรงใจเช่นนั้น ส่งเสียงหึเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปหาเจ้าขี้โรคที่แสนชั่วนี่มาจากที่ใดกัน จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้จักทำตัวให้มันดีๆ อีก”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันมองไปทางบัณฑิตขี้โรคกับเหลิ่งหลิวเย่ว์ บัณฑิตขี้โรคที่นางเคยพบก็ดูป่วยออดๆ แอดๆ เช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้จะโดนพลังฝ่ามือของม่อซิวเหยาเข้าไปอีกก็ยังดูเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ดี แต่ดูยังไม่เห็นว่าใกล้จะตายเสียเมื่อไร
เป็นเหลิ่งหลิวเย่ว์ที่ขมวดคิ้ว มองน้องชายบุญธรรมด้วยความเป็นห่วง “น้องข้าไม่รู้ความ ล่วงเกินท่านทั้งสอง ขอท่านทั้งสองได้โปรดเห็นแก่ที่เขาอายุยังน้อย ช่วยชีวิตเขาด้วยเถิด”
ท่านหมอหลินหรี่ตามองเหลิ่งหลิวเย่ว์ “เจ้าหนูคนนี้ดูจะซื่อกว่านังหนูนั่นนัก เพียงแต่น้องชายเจ้าผู้นี้…หึ ดื้อด้านเช่นนี้ น่าจัดการเสียให้เข็ด สู้ตีให้ตายเสียเลยยังจะดีกว่า”
ท่านหมอหลินผู้เฒ่ายังฝังใจกับเรื่องในคราแรกที่เยี่ยหลีหลอกลวงเขาไว้ในครานั้น เยี่ยหลีจึงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เหลิ่งหลิวเย่ว์ผู้นี้ เป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงของยุทธภพเชียวนะ ท่านอาจารย์ สายตาคนแก่อย่างท่านมีปัญหาหรืออย่างไรกัน
เหลิ่งหลิวเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึม มองสีหน้าบิดเบี้ยวของบัณฑิตขี้โรคแล้ว เอ่ยด้วยความจนใจว่า “พวกเราพี่น้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อเอาชีวิตรอดมาตั้งแต่เล็กๆ ที่น้องชายไม่รู้ความก็เป็นเพราะคนเป็นพี่สาวอย่างข้าสั่งสอนไม่ได้เรื่องได้ราว ขอท่านได้โปรดอภัยด้วย”
พูดจบ เหลิ่งหลิวเย่ว์ยังได้หันไปโค้งคำนับให้กับทั้งสอง
เป็นอย่างที่เหลิ่งหลิวเย่ว์พูดจริงๆ พวกเขาสามพี่น้องเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน คนที่อายุมากที่สุดอย่างหลิงเถี่ยหานก็เพิ่งอายุได้สิบสองปีเท่านั้น ตัวนางก็อายุเพียงเก้าปี ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดอย่างน้องสามก็เพิ่งอายุได้ห้าปีเท่านั้น พวกเขาทั้งสามเป็นเด็กน้อยที่ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง ร่อนเร่ไปตามยุทธภพ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะต้องพบเจอความลำบากประการใดบ้าง ต่อมาทั้งสามได้รับตัวเข้าสู่สำนักเยี่ยนอ๋อง ในสถานที่เช่นสำนักเยี่ยนอ๋องนั้น เด็กสิบคนที่เข้าไป มีชีวิตรอดกันได้อย่างมากก็เพียงสองสามคนเท่านั้น ซึ่งก็ด้วยเพราะหลิงเถี่ยหานที่คอยปกป้องคุ้มครองน้องทั้งสอง ในบรรดาพวกเขาทั้งสาม น้องสามเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธได้แย่ที่สุด แต่เพื่อให้น้องชายบุญธรรมผู้นี้สามารถมีชีวิตรอดจากการฝึกอันสุดแสนทรหดไปได้ เรียกได้ว่านางกับพี่ใหญ่ทุ่มเทหมดทั้งกำลังกายและกำลังใจเลยทีเดียว แต่สิ่งที่เหลิ่งหลิวเย่ว์ไม่รู้ก็คือ ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่า เหตุใดเขาถึงได้โตมามีนิสัยเช่นนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร เขาก็ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อพี่ชายและพี่สาวบุญธรรมเลยสักครั้ง ตามปกติไม่ว่าพวกเขาทั้งสองพูดอันใด เขาก็ยังพอฟังอยู่บ้าง และด้วยเพราะเหตุนี้ ทั้งสองจึงมิอาจไม่สนใจเขาได้
“พี่รอง!” บัณฑิตขี้โรคถลึงตาจ้องเหลิ่งหลิวเย่ว์ด้วยสีหน้าซีดขาว ตั้งแต่พวกเขาสามพี่น้องเข้าควบคุมสำนักเยี่ยนอ๋อง พี่สองของเขาเคยเอ่ยกับผู้อื่นด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเช่นนี้เมื่อใดกัน ที่นางต้องทำเช่นในวันนี้ก็เพราะเขา ทำประหนึ่งเขาเป็นน้องเล็กที่ไม่มีวันโตและไม่มีวันรู้เรื่องรู้ราวกระนั้น
“ท่านเสิ่น ท่านอาจารย์ เจ้าสำนักหลิงกับท่านอ๋องก็ถือว่ารู้จักกันมานาน หวังว่าท่านทั้งสองจะยอมผ่อนปรนให้สักหน่อย” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เสิ่นหยางปรายตามองเยี่ยหลีเรียบๆ เอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ท่านหลินก็มิได้พูดอันใดผิดสักหน่อย เจ้าเด็กนี่ขืนทรมานเช่นนี้ต่อไป ต่อให้มีดอกปี้ลั่วก็ช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ได้ เขาคิดว่าดอกปี้ลั่วเป็นสมุนไพรวิเศษที่ขอเพียงยังมีลมหายใจอันรวยรินก็สามารถปลุกเขาให้ลุกขึ้นมามีชีวิตได้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ พระชายา ท่านก็อย่าไปหวังอันใดกับสูตรยาในมือของเขาเลย ข้าว่าเขาก็ดูมิได้อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเขาคงคิดอยากตายตกไปพร้อมๆ กับท่านอ๋องกระมัง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าบัณฑิตขี้โรคก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตีหน้าตายมิได้พูดอันใดอีก
เมื่อเยี่ยหลีเห็นเช่นนั้น ก็ลอบนึกตกใจ หรือว่าม่อซิวเหยากับบัณฑิตขี้โรคจะมีความแค้นฝังลึกต่อกันจริงๆ? คิดไปคิดมาแล้ว เยี่ยหลีถึงได้เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าสำนักหลิงก็ยังต้องอยู่ที่เมืองหลีอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ควรเห็นแก่หน้าเขาบ้าง รบกวนท่านเสิ่นกับท่านอาจารย์ช่วยดูแลเขาสักหน่อยเถิด อีกย่าง…” เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเสิ่นมิได้เคยพูดหรอกหรือว่า หลายปีนี้อาการป่วยของท่านอ๋องมิได้มีอันใดซับซ้อนที่ยากต่อการรักษา จึงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย หากว่า เป็นอาการของท่านนี้ถือว่าซับซ้อนและยากต่อการรักษาหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยางก็ตาเป็นประกายทันที ถึงแม้อาการป่วยของบัณฑิตขี้โรคกับพิษในกายทั้งอ๋องจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถใช้ศึกษาร่วมกันได้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอาตัวม่อซิวเหยามาทำการศึกษา ดังนั้น… “เขาจะให้ข้าตรวจดูแต่โดยดีหรือ”
ที่เยี่ยหลีพูดนั้น มิได้เป็นการพูดไม่ให้เหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคได้ยิน เหลิ่งหลิวเย่ว์จึงไม่รอให้บัณฑิตขี้โรคเป็นคนตอบ รีบชิงเอ่ยตอบว่า “ท่านเสิ่นโปรดวางใจเถิด ข้ารับประกันว่าเขาจะเชื่อฟังทุกอย่างเป็นอย่างดี”
เยี่ยหลีมองบัณฑิตขี้โรคที่คิดอยากเอ่ยค้านแต่เอ่ยอันใดไม่ได้ ได้แต่กะพริบตาปริบด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ดูเหมือนนางจะพอรู้แล้วว่าจะจัดการกับพ่อหนุ่มที่น่าปวดหัวคนนี้อย่างไร
คณะจากสำนักเยี่ยนอ๋องทั้งสามคนพักอาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อมีหลิงเถี่ยหานและเหลิ่งหลิวเย่ว์อยู่ด้วย เยี่ยหลีก็ไม่ต้องกังวลว่าบัณฑิตขี้โรคจะสร้างเรื่องอันใดอีก แต่ก็ยังได้สั่งให้ม่อหวาจัดองครักษ์ลับอีกยี่สิบคนไปคอยประจำการที่เรือนประมุข ฉินเฟิงเองก็จัดยอดฝีมือจากหน่วยกิเลนอีกสี่คนไปให้ประจำการที่เรือนประมุขเช่นกัน หากบัณฑิตขี้โรคคิดจะเข้าใกล้เรือนประมุขแม้เพียงหนึ่งก้าว ก็จะสังหารเขาโดยทันที คนอื่นยังไม่เท่าไร แต่ม่อตัวน้อยยังเป็นทารกในห่อผ้าที่ยังไม่มีความสามารถในการป้องกันตนเอง จึงย่อมต้องระวังเป็นพิเศษ