ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 220-2 ทรัพย์สมบัติของปฐมฮ่องเต้
“ประลองยุทธ์?” เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ย คิ้วเรียวของเยี่ยหลีก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ นางวางม่อตัวน้อยที่อุ้มอยู่ในมือที่กำลังลืมตาโตกรอกตามองนางไปมาลง “เหตุใดเจ้าสำนักหลิงถึงคิดอยากประลองยุทธ์กับท่านขึ้นมาได้เล่า”
ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาในมือลง ดึงเยี่ยหลีเข้ามากอด “อาหลีไม่ต้องกังวลไป หลิงเถี่ยหานมิใช่คนโง่ ต่อให้ประลองยุทธ์กันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสกันทั้งคู่หรอก ถ้าทำเช่นนั้นยิ่งไม่มีผลดีต่อเขาเข้าไปใหญ่”
ต้องยอมรับว่าตำหนักติ้งอ๋องมีผู้มีอิทธิพลทั้งหลายต่างจับจ้องกันอยู่ตาเป็นมัน แต่หากว่ากันตรงๆ แล้ว คนที่ต้องการให้ท่านอ๋องอย่างเขายกทัพออกไปสู้รบจริงๆ นั้นก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร
ตัวเขาม่อซิวเหยา ต่อให้มิใช่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่หากเขายังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ยังเป็นติ้งอ๋องอยู่วันยังค่ำ กองทัพตระกูลม่อก็ยังคงเป็นกองทัพตระกูลม่อ แต่สำนักเยี่ยนอ๋องหาใช่เช่นนั้นไม่ สำนักเยี่ยนอ๋อง เป็นสำนักแห่งนักฆ่า มีศัตรูทั้งที่เป็นคนธรรมดาและคนในราชสำนักอยู่เต็มไปหมด หากมิใช่เพราะมีหลิงเถี่ยหานที่มีวิทยายุทธแก่กล้า ก็ไม่มีทางอยู่อย่างสงบมาได้หลายปีเช่นนี้ เมื่อใดก็ตามที่หลิงเถี่ยหานกับเขาบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ เกรงว่าศัตรูคู่แค้นในยุทธภพคงได้รวมตัวกันเพื่อล้างแค้นสำนักเยี่ยนอ๋องอย่างแน่นอน
เยี่ยหลีพิงอยู่กับอกม่อซิวเหยา คิดใคร่ครวญตาม “ผู้ใดกันที่ขอให้หลิงเถี่ยหานมาต่อสู้กับท่าน เจิ้นหนานอ๋อง?”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่ใช่ น่าจะไม่ใช่เหลยเจิ้นถิง เหลยเจิ้นถิงผู้นี้มีนิสัยถือดีเป็นที่สุด เขาเพิ่งประลองเสมอกับข้าไป ไม่มีทางขอให้ผู้อื่นมาประลองกับข้าอย่างแน่นอน หากข้าประลองกับผู้อื่นแล้วแพ้ นั่นจะไม่เท่ากับว่าเจิ้นหนานอ๋อง ไม่เพียงสู้เสด็จพ่อ สู้ข้าไม่ได้ แต่ก็สู้หลิงเถี่ยหานไม่ได้เช่นเดียวกันหรอกหรือ”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงคิด ก็ฟังดูมีเหตุผล เมื่อคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ถานจี้จือ!” ไม่มีทางเป็นม่อจิ่งฉี หากเป็นม่อจิ่งฉีคงขอให้เขามาสังหารม่อซิวเหยาตรงๆ แต่มิใช้ให้มาประลองยุทธ์กับเขา มีเพียงถานจี้จือเท่านั้น
ถานจี้จือยามนี้อยู่ที่ซีเป่ย หากม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าเขาคิดอยากทำอันใดในซีเป่ย ย่อมสะดวกสบายขึ้นมากนัก
นางเอ่ยกลั้วหัวเราะน้อยๆ ว่า “ดูท่าถานจี้จือจะยังไม่หมดหวังกับสมบัติของบรรพบุรุษตระกูลเขา”
ไม่ผิดที่เยี่ยหลีคิดอยากหัวเราะ เพราะปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนก็ใจร้ายเกินไปจริงๆ สร้างสุสานหลวงขึ้นมาเสียใหญ่โต ทั้งยังทิ้งความหวังไว้ให้กับลูกหลานของตนเช่นนั้นอีก แต่ของที่สำคัญที่สุดดันเป็นของปลอมไปเสียได้ หากเป็นเยี่ยหลี คงอดนึกสาปแช่งเขาในใจไม่ได้ เยี่ยหลีแทบจะจินตนาการได้เลยว่า ยามที่สุสานหลวงสร้างเสร็จแล้วองค์ปฐมฮ่องเต้นำแท่นประทับหยกจำลองไปวาง จะหัวเราะด้วยความสะใจเพียงใด
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้อาหลีเคยบอกว่า มีเงื่อนงำอันใดบางอย่างในสุสานหลวงนั่นนะ?”
ยามที่เยี่ยหลีเพิ่งกลับมา ม่อซิวเหยาคิดเพียงอยากผูกนางไว้ข้างกายทั้งวันทั้งคืน จะมีใจไปคิดเรื่องนั้นเมื่อไรกัน จากนั้นก็ต้องบำรุงครรภ์ ปรับสมดุลร่างกายให้ดี แล้วต่อมาก็ต้องคลอดม่อตัวน้อยอีก ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะเคยได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยถึงสองสามประโยค แต่ก็ลืมมันไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่นึกสนใจแท่นประทับหยดสืบทอดแคว้น ต่อให้ไม่มีสมบัติของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน กองทัพตระกูลม่อของเขาก็ไม่อดตาย
เยี่ยหลีก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงลุกขึ้นจากตัวม่อซิวเหยา แล้วเดินไปยังชั้นลับหยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองสดที่หยิบติดมือออกมาจากสุสานหลวงออกมา
ม่อซิวเหยารับม้วนผ้าไหมนั้นมา เมื่อเห็นตัวอักษรสองบรรทัดที่เขียนขึ้นเป็นข้อความอันถือดีและโหดร้าย มุมปากก็อดกระตุกขึ้นไม่ได้ เขาหันมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย พร้อมเอ่ยถามว่า “สิ่งนี้มีปัญหาอันใดหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า นั่งลงข้างกายม่อซิวเหยา พร้อมนำม้วนผ้าไหมนั้นกางออกลงบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ทำมาจากอันใด ถึงได้อยู่ในสุสานหลวงมาได้เป็นหลายร้อยปี เมื่อนำออกมาจากสุสานหลวงมานอกสุสานหลวงแล้วก็ยังไม่เป็นอันใดอีก อย่าว่าแต่เน่าเปื่อยเลย แม้แต่สีก็ยังไม่อ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยหลียิ้ม ชี้นิ้วไปยังขอบผ้าไหมที่ใช้ด้ายเงินปักขึ้นเป็นตัวอักษรรูปร่างยึกๆ ยือๆ “แผนที่สมบัติที่แท้จริงอยู่ที่นี่”
บนผ้าไหมสีเหลืองสด ตรงส่วนขอบใช้ด้ายสีเงินปักเป็นตัวอักษรยึกๆ ยือๆ ด้วยเพราะมีขนาดเล็กมาก หากไม่สังเกตให้ดี ก็ง่ายต่อการเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นเพียงลวดลายตรงชายผ้าธรรรมดาๆ อย่างลายเมฆไหล
เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ รูปแบบอักษรของฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นผู้นี้ เขียนไว้ได้ไม่เลวเลยจริงๆ
ม่อซิวเหยาจ้องม้วนผ้าไหมนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่น่าจะเป็นรูปแบบตัวอักษรรูปแบบหนึ่ง ข้าจำได้ว่า ตำราหนังสือบางชุดที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อน ในบางจุดที่ไม่เป็นที่สะดุดตา จะมีสัญลักษณ์ประหลาดเช่นนี้อยู่” เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเขียนกระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่ตัว ดังนั้นตามปกติจึงเห็นว่ามันเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่เขียนขึ้นเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจอันใด แต่บนม้วนผ้าไหมตรงหน้า กลับมีสัญลักษณ์ที่ปักอยู่อย่างน้อยๆ เป็นร้อยตัวอักษร เดิมม่อซิวเหยาก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากอยู่แล้ว จึงย่อมเห็นกฎเกณฑ์บางอย่างที่อยู่ในตัวอักษรเหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่า นี่เป็นตัวอักษรที่พวกเขาอ่านไม่เข้าใจอย่างแน่นอน
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ถูกต้อง นี่คือรูปแบบตัวอักษรอย่างหนึ่งจริงๆ”
เยี่ยหลีหยิบพู่กันที่วางอยู่ขึ้นมา มองม้วนผ้าไหมตรงหน้าไปพลาง ฝนหมึกอย่างใจลอยไปพลาง
ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามว่า “อาหลีรู้จักตัวอักษรรูปแบบนี้หรือ”
เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง “ข้ารู้จักตัวอักษรประเภทนี้จริงๆ นี่เป็นตัวอักษรที่ทางตะวันตกอันไกลโพ้นเขาใช้กัน เป็นแคว้นที่อยู่ไกลออกไปกว่าแคว้นทั้งหลายทางตะวันตกไปอีก เพียงแต่ข้าบอกท่านไม่ได้ว่าเหตุข้าถึงรู้จักตัวอักษรประเภทนี้”
ภายในห้องเงียบสงัดอยู่พักหนึ่ง เยี่ยหลีมิได้สนใจว่าหมึกฝนดีแล้วหรือยัง นางกางประดาษออกแล้วเริ่มแปลตัวอักษรด้านบนออกมา
พักใหญ่ จู่ๆ ม่อซิวเหยาที่อยู่ด้านหลังก็กอดนางแน่นๆ
เยี่ยหลีหยุดพู่กันในมือ แต่มิได้หันกลับไปมองเขา ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยเบาๆ ว่า “เคยมีตำนานเล่าขานว่า อันที่จริงปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนมิได้สวรรคต แค่เพียงจู่ๆ เกิดหายตัวไป ดังนั้นถึงไม่มีผู้ใดหาสุสานและพระศพของเขาพบ อาหลี เจ้าจะเป็นเช่นเขาหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ นางวางพู่กันในมือลง หันไปมองบุรุษตรงหน้าที่จ้องนางด้วยสีหน้าหนักอึ้งและไม่ยอมเบนสายตาไปทางอื่น นางเงยหน้าขึ้นจูบเบาๆ ลงบนมุมปากของเขา เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนเกิดในช่วงกลียุค ประหนึ่งมีตัวตนขึ้นมาเฉยๆ ไม่มีผู้ใดรู้ถึงอดีตของเขา ครอบครัวของเขา หรือแม้กระทั่งบิดามารดาของเขา เรื่องราวหลังจากเขาเสียชีวิตก็เป็นเช่นเดียวกับยามเขาเกิด ดังนั้นเขาถึงได้กลายเป็นฮ่องเต้ที่มีความลึกลับที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ได้ เกิดมาจากตระกูลใด”
ม่อซิวเหยามองลึกเข้าไปในดวงตาของสตรีที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนตรงหน้า ถูกต้อง อาหลีของเขาไม่เหมือนกับฮ่องเต้พระองค์นั้น อาหลีเป็นบุตรสาวของตระกูลเยี่ย มารดาผู้ให้กำเนิดมาจากตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว
เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ เอนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ญาติพี่น้องของข้า สามีของข้าและบุตรของข้าล้วนอยู่ที่นี่ ข้าจะไปที่ใดได้”
สองแขนของม่อซิวเหยากอดเอวเยี่ยหลีไว้แน่น ก้มเอาหน้าผากของตนแตะเข้ากับหน้าผากของเยี่ยหลี แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “อาหลี หากเจ้าไปจากข้า ข้าจะจับม่อตัวน้อยโยนทิ้งให้ไปเป็นขอทานข้างถนน”
เยี่ยหลีพูดไม่ออก ยกมือขึ้นหยิกแก้มบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
ยาที่ท่านหมอหลินให้ออกฤทธิ์ได้ดียิ่งนัก ชั่วเวลาเพียงไม่กี่เดือน แม้จะอยู่ใกล้เพียงนี้ก็แทบมองรอยแผลเป็นไม่ออกเลย นางออกแรงหยิกแก้มม่อซิวเหยาอย่างเต็มแรง แล้วเอ่ยว่า “นี่ท่านเอาม่อตัวน้อยมาขู่ข้ากี่ครั้งแล้ว ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเอาเรื่องลูกมาล้อเล่น ยามนี้เขายังเด็ก ยังฟังไม่เข้าใจ ต่อไปเมื่อโตขึ้นหากได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจะเสียใจเอานะ”
ม่อซิวเหยาดึงมือเยี่ยหลีที่หยิกจนหน้าเขาเริ่มแดงออก หันไปถลึงตาใส่ม่อตัวน้อยที่ส่งเสียงจึ๊จ๊ะ เล่นเองอยู่คนเดียว อาหลีถึงกับหยิกเขาเพราะเจ้าเด็กแสบนั่นเชียวหรือ เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องเก็บไว้คิดบัญชีกับม่อตัวน้อย เช่นนี้ม่อตัวน้อยจึงตกเป็นเหยื่อตั้งแต่ยังเป็นทารกเสียแล้ว
“อาหลี…” ม่อซิวเหยากอดเยี่ยหลีไว้ ซุกใบหน้าลงกับเส้นผมตรงบ่านาง น้ำเสียงฟังดูเคร่งขรึมและไม่พอใจ
อาหลีได้แต่กรอกตาอย่างจนใจ บุรุษที่จู่ๆ ก็เกิดจะใจเปราะบางเป็นกระจกนี่ทำร้ายไม่ได้เลยจริงๆ นางตบไหล่ม่อซิวเหยาเบาๆ “เอาล่ะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปจากท่าน เป็นเด็กดีได้แล้ว ข้ายังต้องแปลอันนี้ให้เสร็จ ท่านไม่อยากดูหรือ”
“ไม่อยาก” ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยความน้อยใจ เขาเริ่มนึกเกลียดปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนขึ้นมาเสียแล้ว จะตายก็ตายให้มันดีๆ หน่อย จะมาทิ้งแผนที่สมบัติเอาไว้ทำไมกัน
“เช่นนั้นท่านอยากทำอันใด” ในใจเยี่ยหลีลอบนึกถอนใจ ตัดสินใจว่าหากม่อซิวเหยายังไม่เลิกงอแงอีก จะไล่เขาออกไป
ม่อซิวเหยาอุ้มนางเดินไปยังเตียงที่อยู่หลังม่านบังตา “ข้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเป็นเพื่อนข้า!”
เพียงพริบตา ตัวนางก็ถูกกดลงกับเตียง เยี่ยหลีอดกรอกตาใส่ผ้าม่านคลุมเตียงไม่ได้ ม่อซิวเหยาท่านยังกล้าทำตัวงอแงเป็นเด็กกว่านี้ได้อีกหรือไม่
เขาไม่เปิดโอกาสให้นางได้ขัดขืน เปลวไฟที่ร่อนระอุก็เข้าโอบล้อมทั้งสองที่อิงแอบแนบชิดกันอยู่บนเตียงทันที