ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 221-1 ปราบพยศบัณฑิตขี้โรค
เยี่ยหลีแปลข้อความบนม้วนผ้าไหมออกมาได้อย่างรวดเร็ว ยังดีที่ครานี้องค์ปฐมฮ่องเต้มิได้เล่นพิเรนอันใดอีก ตำแหน่งที่ตั้งของสมบัติที่แท้จริงนั้นอยู่ในเขตซีเป่ยนี่เอง และมิได้ห่างไกลจากเมืองหลีมากนัก
แต่ยามนี้ก็มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการไปขุดสุสาน อย่างน้อยๆ ก็ควรรอให้ผู้มีอิทธิพลของแต่ละแคว้นที่กำลังลอบตามหาสมบัติอยู่ในซีเป่ยล่าถอยกลับกันไปก่อนค่อยว่ากัน
เยี่ยหลีนำข้อความที่แปลออกมาส่งให้ม่อซิวเหยาอ่าน ม่อซิวเหยากวาดตาอ่านเพียงรอบเดียวพร้อมจดจำไว้ในใจ แล้วจึงนำบทแปลกับแผนที่สมบัติเดิมไปเผาทิ้งเสียจนไม่เหลือร่องรอยอันใดอีก
คณะของสำนักเยี่ยนอ๋อง เยี่ยหลีได้จัดการให้ไปพักกันอยู่ที่เรือนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถึงแม้ยามนี้เมืองหลีจะยังเรียกไม่ได้ว่าสะดวกสบายไปเสียทุกอย่าง แต่เมื่อเทียบกับภายนอกที่วุ่นวายกันไปหมดแล้ว ก็ถือว่าที่นี่สงบเรียบร้อยอย่างหาได้ยากทีเดียว เยี่ยหลีมิได้มีธุระสำคัญอันใดให้จัดการ จึงเบนความสนใจทั้งหมดมาอยู่ที่ดอกปี้ลั่ว ซึ่งเป้าหมายแรกย่อมต้องเป็นการปราบพยศบัณฑิตขี้โรคที่แสนจะน่าตีผู้นั้น
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของคณะสำนักเยี่ยนอ๋องทันที ยามที่นางไปถึง หลิงเถี่ยหานกับเหลิ่งหลิวเย่ว์กำลังฝึกวิชากันอยู่พอดี บัณฑิตขี้โรคนั่งอยู่คนเดียว มองพี่ชายและพี่สาวที่กระโดดลอยตัวกันไปมาอยู่ภายในสวนตาไม่กระพริบ มือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนจับแน่นอยู่อย่างนั้น ประหนึ่งต้องการจะจับให้เก้าอี้เกิดรอยร้าวขึ้นมาให้ได้กระนั้น
เยี่ยหลีอมยิ้มหยุดยืนอยู่ข้างบัณฑิตขี้โรค ยิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าถึงแม้เจ้าสำนักเหลิ่งจะเป็นสตรี แต่กลับเป็นยอดฝีมืออันดับต้อนๆ ของยุทธภพ วันนี้เมื่อได้มาเห็นกับตา ช่างเป็นคู่ซ้อมที่เหมาะสมกับเจ้าสำนักหลิงยิ่งนัก”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของบัณฑิตขี้โรคบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เงยหน้าดุๆ ขึ้นมองเยี่ยหลี
ด้วยเพราะอาชีพการงานในชาติที่แล้วของเยี่ยหลี มีความโหดเหี้ยมและวิปริตอันใดบ้างที่นางไม่เคยพบ สิ่งที่บัณฑิตขี้โรคทำนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะอยู่ในสายตานางเสียด้วยซ้ำ
นางยิ้มจนตาเป็นสระอิพร้อมเอ่ยกับบัณฑิตขี้โรคว่า “จะว่าไปก็แปลกอยู่นะ ปีนี้เจ้าสำนักเหลิ่งน่าจะอายุได้สามสิบกว่าปีแล้วกระมัง สตรีที่อายุอานามเท่านี้แล้วยังไม่แต่งงาน ถือว่าเจ้าสำนักหลิงทำให้นางเสียเวลาแล้วจริงๆ ไว้ข้าจะพูดกับท่านอ๋องของข้า ให้เขาช่วยเตือนเจ้าสำนักหลิงสักหน่อยท่าจะดี หัวหน้าหน่วยสาม ท่านว่าจริงหรือไม่”
“เยี่ยหลี!” บัณฑิตขี้โรคกัดฟันกรอด จากนั้นก็ตามมาด้วยการไออย่างหนัก เมื่อเอามือออกก็เห็นว่าที่ฝ่ามือของเขามีเลือดเปรอะอยู่เต็มไปหมด
หลิงเถี่ยหานและเหลิ่งหลิวเย่ว์ย่อมได้ยินเสียงนั้น จึงรีบหยุดการประลองยุทธของพวกเขาลงและพุ่งตัวกลับมาทันที “น้องสาม เป็นอันใดไป” หลิงเถี่ยหานเอ่ยถามเสียงขรึม
แต่บัณฑิตขี้โรคกลับไม่ยอมรับน้ำใจนั้น เงยหน้าขึ้นมองหลิงเถี่ยหานด้วยสายตาต่อว่า ก่อนลุกขึ้นหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไป
หลิงเถี่ยหานขมวดคิ้ว เอ่ยกับเหลิ่งหลิวเย่ว์ว่า “หลิวเย่ว์ เจ้าไปดูเขาหน่อย”
เหลิ่งหลิวเย่ว์พยักหน้าเงียบๆ เก็บมีสั้นในมือทั้งสองข้างลง ก่อนหมุนตัวเดินเข้าห้องไป
หลิงเถี่ยหานหันไปหยิบผ้าที่วางอยู่ขึ้นมาเช็ดมือ แล้วหันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “พระชายา สุขภาพของน้องสามไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ หากพระชายาจะเอ่ยอันใดช่วยยั้งไว้สักหน่อยเถิด”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ที่แท้หลิงเถี่ยหานก็มองออกว่า ที่จู่ๆ บัณฑิตขี้โรคไอจนเป็นเลือดก็ด้วยเพราะถูกนางทำให้โกรธ
เยี่ยหลีก็ไม่บ่ายเบี่ยง ยกแขนเสื้อขึ้นนั่งลงตรงข้ามหลิงเถี่ยหาน แล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าสำนักหลิง ถึงแม้เจ้าสำนักสามจะเป็นญาติพี่น้องของท่าน แต่ท่านก็ไม่ควรลำเอียงจนเกินไป เมื่อวานข้าเองก็ถูกเจ้าสำนักสามทำให้โกรธไว้ไม่น้อยเช่นกัน หากความโกรธนี้มิได้ระบายออกมาบ้าง ข้าคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่”
หลิงเถี่ยหานได้แต่จนใจ ปากของน้องชายบุญธรรมของตนนั้น อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่คนที่เป็นพี่ใหญ่อย่างเขา บางครั้งก็ยังอยากจับมาตีแรงๆ เสียให้ได้
เขามองเยี่ยหลีพร้อมระบายลมหายใจออกมา แล้วหลิงเถี่ยหานก็เอ่ยว่า “พระชายากำลังนึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใดข้าจึงต้องคอยปกป้องน้องสามใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ นางนึกสงสัยอยู่จริงๆ ด้วยนิสัยและจิตใจของหลิงเถี่ยหาน ไม่น่าชื่นชอบเด็กอย่างบัณฑิตขี้โรคที่ทั้งดื้อรั้นและโหดเหี้ยม แต่มิได้หมายความว่าหลิงเถี่ยหานเป็นคนมีเมตตาธรรมอันใด หลิงเถี่ยหานถึงแม้จะเป็นเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง แต่เมื่อเทียบกับพวกมือถือสากปากถือศีล ที่ต่อหน้าทำเป็นคนมีคุณธรรม แต่ลับหลังกลับมีแต่ความโลภและหื่นกระหายแล้ว ก็ดูจะเป็นคนที่ซื่อตรงกว่ามากนัก คนประเภทนี้ ไม่มีทางชื่นชอบคนที่มีมุมมืดในจิตใจอย่างแน่นอน
หลิงเถี่ยหานเอ่ยพร้อมทอดถอนใจด้วยความเสียดายว่า “ข้าน้อยกับน้องชายน้องสาวทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ ถึงแม้ตอนเป็นเด็ก น้องสามจะรักสันโดษและไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด แต่ก็มิได้เป็นเช่นในยามนี้ ยามนั้นพวกเราต่างก็ยังเป็นเด็ก มิได้มีความสามารถอันใด ยามที่เร่ร่อนไปทั่วก็ย่อมลำบากกันมาไม่น้อย มีอยู่ปีหนึ่ง…หลิวเย่ว์เกิดป่วยหนัก เงินที่พวกเราเก็บสะสมกันมาได้ก็ใช้ไปจนหมด แต่ด้วยเงินเพียงเท่านั้นจะสามารถให้หมอช่วยตรวจโรคได้อย่างไร เพื่อช่วยชีวิตหลิวเย่ว์ น้องสามจึงยอมขายตัวเอง ทิ้งไว้เพียงเงินจำนวนหนึ่งแล้วก็ตามคนเขาไป จนเมื่อหลิวเย่ว์หายดีแล้ว พวกเราได้เข้าสำนักเยี่ยนอ๋อง หลิวเย่ว์ก็ฝึกวิชาหนักหน่วงอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งวันทั้งคืน ก็ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งจะหาน้องสามพบ กว่าข้าจะหาน้องสามพบก็ใช้เวลาหนึ่งปีกว่าหลังจากนั้น ระหว่างนั้นน้องสามต้องพบเจอกับความลำบากอันใดบ้างไม่มีผู้ใดรู้ ยามที่พวกเราหาเขาพบนั้น ตัวเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะตายอยู่แล้ว เดิมทีคุณสมบัติของน้องสามก็ไม่ถือว่าดีอยู่แล้ว ต่อให้ฝึกวิทยายุทธ์ก็ไม่มีทางได้ถึงระดับเดียวกับข้าและหลิวเย่ว์ จึงไม่เหมาะกับสถานที่เช่นสำนักเยี่ยนอ๋อง เมื่อบาดแผลเขาหายดี ความตั้งใจของข้ากับหลิวเย่ว์ก็คือให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป หากมีข้ากับหลิวเย่ว์คอยดูแล เขาก็คงไม่ถึงกับโดนคนรังแก แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขา…”
หลิงเถี่ยหานหัวเราะขื่นๆ ก่อนเอ่ยต่อว่า “เขาไม่ฟังที่ข้ากับหลิวเย่ว์พยายามเกลี้ยกล่อมเลย สุดท้ายก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในสำนักเยี่ยนอ๋อง ด้วยคุณสมบัติของเขา ต่อให้ฝีกวิทยายุทธ์ อย่างมากก็เป็นได้เพียงนักฆ่าชั้นสองของสำนักเยี่ยนอ๋องเท่านั้น มีหลายคราที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือการเชี่ยวชาญในด้านศาสตร์ยาพิษ ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดขึ้นเป็นนักฆ่าแนวหน้าของสำนักเยี่ยนอ๋อง ถึงแม้เขาจะดูไร้ความปราณีกับคนนอก แต่กับคนของตนเองเขากลับดีอย่างน่าใจหาย ถึงแม้ตัวจะเป็นนักฆ่า แต่ถึงอย่างไรหลิวเย่ว์ก็เป็นสตรี มีบางครั้งที่เกิดใจอ่อน น้องสามจึงเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยรับงานที่หลิวเย่ว์รับมาแต่ทำใจลงมือไม่ลงทุกคราไป”
เยี่ยหลีนั่งฟังที่หลิงเถี่ยหานเล่ามาเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักทั้งสามแห่งสำนักเยี่ยนอ๋องที่ผู้คนพากันหวาดผวาเป็นที่สุดในยามนี้ จะเคยผ่านช่วงเวลาเช่นนี้กันมาแล้ว
แต่ก็จริงอยู่ คนที่ผิดปกติมาตั้งแต่เกิดนั้นมีอยู่น้อยนัก ที่บัณฑิตขี้โรคมีความผิดปกติทางจิตใจก็คงมิใช่ว่าจู่ๆ เกิดเป็นขึ้นมาหรอก “ที่เจ้าสำนักหลิงและเจ้าสำนักเหลิ่งยอมอ่อนให้เขาถึงเพียงนี้ ด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อเขาหรือ”
หลิงเถี่ยหานนิ่งไป เห็นได้ชัดว่ายอมรับในสิ่งที่เยี่ยหลีพูด
ยามนั้นหลิงเถี่ยวหานอายุยังน้อยและเลือดร้อน ทั้งยังอยู่ในสถานที่เช่นสำนักเยี่ยนอ๋อง พลังกายส่วนใหญ่จึงทุ่มเทให้กับการพัฒนาวิทยายุทธ์ของตนเอง กว่าเขาจะตั้งสติกลับมาได้ น้องชายบุญธรรมของเขาก็ได้กลายเป็นยอดฝีมือด้านการใช้ยาพิษที่ทำให้ผู้คนในทุกพื้นที่ขวัญผวาแค่เพียงได้ยินชื่อเสียแล้ว
เยี่ยหลีมองสำรวจหลิงเถี่ยหานอย่างใช้ความคิด แล้วจึงเอ่ยถามว่า “จะว่าไปเจ้าสำนักทั้งสาม แม้แต่เจ้าสำนักสามปีนี้ก็น่าจะอายุใกล้สามสิบปีแล้วประมัง ยังไม่มีผู้ใดมีครอบครัว นี่เพราะเหตุใดหรือ”
หลิงเถี่ยหานหลุบตาลงประหนึ่งใช้ความคิด ครู่หนึ่งถึงได้ถอนใจออกมา “ข้าน้อยทุ่มเทอยู่แต่กับวิทยายุทธ์ ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานเลยจริงๆ อีกอย่าง…การค้าที่สำนักเยี่ยนอ๋องทำ ก็เกี่ยวกับการเข่นฆ่าผู้คน ผู้ที่ฆ่าคนอื่น ก็ต้องเป็นคนที่ผู้อื่นคิดจะฆ่าเช่นกัน…ไม่ต้องมีเรื่องครอบครัวให้หนักใจจะดีกว่า เพียงแต่…เมื่อได้ยินพระชายาเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่ากำลังทำให้หลิวเย่ว์กับน้องสามเสียเวลา”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองสำรวจสีหน้าหลิงเถี่ยหานโดยละเอียด ซึ่งเปิดเผยให้เห็นถึงความหงุดหงิดใจอย่างชัดเจน ดูท่าหลิงเถี่ยหานคงจะมิได้มีใจให้เหลิ่งหลิวเย่ว์เลยจริงๆ ที่บัณฑิตขี้โรคลอบหลงรักเหลิ่งหลิวเย่ว์นั้นเป็นเรื่องที่มั่นใจได้แล้ว หากหลิงเถี่ยหานมิได้มีใจให้เหลิ่งหลิวเย่ว์ ก็คงจัดการได้ง่ายขึ้นเยอะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหลิ่งหลิวเย่ว์จะคิดเช่นไร สตรีนางหนึ่งต่อให้เป็นนักฆ่า แต่ก็คงไม่ถึงขั้นว่าอายุกว่าสาบสิบปีแล้ว ก็ยังไม่เคยคิดจะชอบพอผู้ใดหรอกกระมัง บุรุษที่ใกล้ชิดกับเหลิ่งหลิวเย่ว์มีเพียงบัณฑิตขี้โรคกับหลิงเถี่ยหาน หากให้เยี่ยหลีเป็นผู้เลือก เยี่ยหลีก็คิดว่าตนไม่มีทางเมินหลิงเถี่ยหานไปชอบบัณฑิตขี้โรคอย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักหลิงรู้หรือไม่ว่าที่ข้ามานี่ด้วยมีเจตนาอันใด” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
หลิงเถี่ยหานพยักหน้า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว สองสามวันมานี้ข้าน้อยกับหลิวเย่ว์ก็พยายามเต็มที่ที่จะเกลี้ยกล่อมให้น้องสามยอมมอบสูตรยาออกมา เพราะถึงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นให้เสียหายกันทั้งคู่เลยจริงๆ”
“เช่นนั้น…เจ้าสำนักหลิงช่วยตอบคำถามข้าข้อหนึ่งได้หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ย
หลิงเถี่ยหานอึ้งไป รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าแต่โดยดี “เชิญถามมาได้เลย”
เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าสำนักหลิงคิดเห็นเช่นไรกับเจ้าสำนักเหลิ่ง”
คิ้วคมหลิงเถี่ยหานขมวดเข้าหากัน “ข้าย่อมเห็นว่าหลิวเย่ว์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า…” หลิงเถี่ยหานคิดได้อย่างรวดเร็ว เพิ่งพูดออกมาได้ไม่เท่าไร ก็เข้าใจความหมายของเยี่ยหลีทันที ใบหน้าที่สุขุมนุ่มลึกมีแววตกใจให้ได้เห็น “ความหมายของพระชายาคือ?”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ กำลังจะพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าที่โบกสะบัดดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสองหันมองไปพร้อมกัน ก็เห็นว่าเป็นเสียงจากชุดสีดำของเหลิ่งหลิวเย่ว์
เยี่ยหลียิ้มแหยๆ หันมองไปทางหลิงเถี่ยหานด้วยความจนใจ ดูท่าเหลิ่งหลิวเย่ว์จะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเสียแล้ว และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เกรงว่าเหลิ่งหลิวเย่ว์จะมีใจให้หลิงเถี่ยหานเข้าจริงๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิงเถี่ยหานพูด ถึงหลบหายไปด้วยความเสียใจ
“เจ้าสำนักเหลิ่งไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนในเมืองหลี เจ้าสำนักหลิงรีบตามไปดูนางเถิด อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นได้”
หลิงเถี่ยหานก็รู้ดีว่าเมืองหลีไม่เหมือนกับที่อื่น องครักษ์ลับ กองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของตำหนักติ้งอ๋อง กับหน่วยกิเลนที่แสนจะลึกลับยากจะคาดเดา ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่รอบๆ เมืองแห่งนี้ หากเหลิ่งหลิวเย่ว์ไปก่อเรื่องอันใดเข้า เกรงว่าคงยากที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย
หลิงเถี่ยหานพยักหน้า ลุกขึ้นตามเหลิ่งหลิวเย่ว์ไปตามทางที่นางหายตัวไป
เมื่อมองตามทิศทางที่หลิงเถี่ยหานหายตัวไปแล้ว รอยยิ้มอย่างสุภาพบนใบหน้าของเยี่ยหลีก็ค่อยๆ หายไป บนใบหน้าอันงดงามค่อยๆ มีสีหน้าของความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่
เดิมทีเรื่องความสัมพันธ์อันซับซ้อนภายในเจ้าสำนักสองสามคนนี้ เป็นเรื่องที่นางไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่ว่าหากนี่เป็นจุดอ่อนเดียวของบัณฑิตขี้โรคแล้วล่ะก็ นางก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ความรู้สึกที่เขามีต่อเหลิ่งหลิวเย่ว์ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของตน
เยี่ยหลีลุกขึ้น ค่อยๆ สาวเท้าเดินเข้าไปยังห้องที่บัณฑิตขี้โรคพักผ่อนอยู่ ยังไม่ทันเดินเข้าไปถึงในห้อง ก็ได้ยินเสียงไอขาดๆ หายๆ ดังลอยมาจากด้านใน เสิ่นหยางและท่านหมอหลินพูดไว้ไม่มีผิด อาการป่วยของบัณฑิตขี้โรคยากจะเยียวยาแล้วจริงๆ