ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 230 ระหว่างทางลงใต้
ภายในห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีมองฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยถามว่า “เรื่องนี้เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
ฉินเฟิงสีหน้าเรียบนิ่ง หลุบตาลงเล็กน้อยเอ่ยว่า “ทุกอย่างตามแต่พระชายาจะตัดสินใจพ่ะย่ะค่ะ”
คราแรกที่ได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยว่า เหยาจีเสนอตัวจะเดินทางไปต้าฉู่เพื่อช่วยเหลือเหลิ่งเฮ่าอวี่นั้น ใบหน้าฉินเฟิงดูว่างเปล่าไปชั่วขณะ แต่แววความรู้สึกบนใบหน้าของเขาก็หายวับไป กลับมาเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินเฟิง ในใจเยี่ยหลีก็รู้ดีว่าฉินเฟิงที่ใจให้เหยาจีอย่างแท้จริง
หลายปีนี้ ฉินเฟิงเป็นผู้บัญชาการหน่วยกิเลนและติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยหลี ความไว้ใจที่เยี่ยหลีมีต่อเขา มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกจั๋วจิ้งและหลินหานเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะไม่ชอบยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของลูกน้อย แต่เยี่ยหลีก็ไม่นึกยินดีหากจะเห็นลูกน้องเป็นทุกข์กับเรื่องความรักจนส่งผลกระทบต่องานหลัก
เยี่ยหลีมองฉินเฟิงแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังมิได้เห็นด้วยกับคำขอของนาง หากเจ้าไม่อยากให้นางไป ข้าก็สามารถปฏิเสธคำขอของนางได้”
ฉินเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าพร้อมฝืนยิ้ม “นี่เป็นการตัดสินใจของนาง ข้าน้อยไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย”
เมื่อเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ “เหยาจีไปครานี้มีอันตรายยิ่งนัก ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง”
ฉินเฟิงนิ่งไปไม่ตอบ “ขอบพระคุณพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีจึงไม่เกลี้ยกล่อมเขาอีก หยิบสมุดพับเล่มหนึ่งขึ้นมาจากด้านข้าง ยกปากกขึ้นเขียนบางอย่างลงไป ก่อนยื่นให้ฉินเฟิง “ถ้าเช่นนั้น เจ้านำสิ่งนี้ไปให้เหยาจี อีกเจ็ดวันให้นางออกเดินทางได้”
“ข้าน้อยรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อส่งเหยาจีไปแล้ว ฉินเฟิงกลับมิได้ดูเหงาหงอยลง ทุกวันยังคงวิ่งวุ่นไปมาระหว่างจุดประจำการของหน่วยกิเลนและเมืองหลี แค่เพียงรั้งอยู่ที่หน่วยกิเลนนานขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
จนเมื่อการสอบกลางผ่านพ้นไป ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็นั่งเป็นประธานคัดเลือกบัณฑิตผู้มีความสามารถกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเสริมตำแหน่งข้าราชการในซีเป่ย
จากนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือการประชุมการค้าครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง แต่ปีนี้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างไม่มีเวลาอยู่ร่วมการประชุมนี้ได้ ด้วยเพราะพวกเขาต้องออกเดินทางไปหนานจ้าวเพื่อร่วมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี
ภายในขบวนที่มุ่งหน้าไปยังหนานจ้าว นอกจากม่อซิวเหยา เยี่ยหลี และฉินเฟิง จั๋วจิ้งกับเฟิ่งซานที่ร่วมเดินทางไปด้วยแล้ว ท้ายที่สุดยังมีอีกคนหนึ่งที่ถูกจับตัวเขามาเป็นคนสุดท้าย นั่นคือคุณชายชิงเฉิน สวีชิงเฉิน
แผนการเดิมคือเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินทางมุ่งหน้าสู่ซีเป่ย เหลือสวีชิงเฉินและสวีหงอวี่ไว้คอยดูแลจัดการการงานต่างๆ ในซีเป่ย แต่ก่อนออกเดินทางเพียงเล็กน้อย สวีหงอวี่กลับไล่สวีชิงเฉินออกมา แต่รั้งตัวแม่ทัพหลี่ว์จิ้นเสียนที่เดิมเตรียมจะร่วมเดินทางไปด้วยเอาไว้แทน
ม่อซิวเหยาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ แค่เพียงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ตอบรับในที่สุด ดังนั้นขบวนเดินทางของซีเป่ยที่เต็มไปด้วยบุคคลที่มีรูปลักษณ์ดีเกินกว่ามาตรฐานไปมากนั้น จึงออกเดินทางลงใต้มุ่งหน้าสู่หนานจ้าวกันอย่างสบายๆ
หลายปีนี้ ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมัวแต่ยุ่งอยู่กับธุระการงานต่างๆ อย่างการบริหารจัดการในซีเป่ย ปรับเปลี่ยนกองทัพตระกูลม่อ ถึงขั้นมิได้ก้าวออกจากเขตแดนของซีเป่ยมาถึงห้าปีเต็มๆ เพียงแต่ซีเป่ยกับหนานจ้าว มีพื้นที่ขนาดใหญ่ของต้าฉู่ขวางกั้นกลางไว้ ดังนั้นเมื่อคณะของซีเป่ยเดินทางออกจากพรมแดน ก็ถูกทหารในแต่ละพื้นที่ของต้าฉู่จับตามองทันที ถึงแม้จะมิได้เข้ามาขัดขางการเดินทางหรือลงมือใช้กำลังกับพวกเขา แต่การที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ถูกสายตาจับจ้องไว้ตลอดเวลานั้น ก็มิใช่ความรู้สึกที่รื่นรมย์นัก
วันนี้ ยามที่คณะเดินทางแวะพักรับประทานอาหารกันที่เมืองเล็กๆ ที่เดินทางผ่านนั้น ม่อซิวเหยาก็ถูกคนเหล่านั้นทำให้โกรธเข้าจนได้
เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แม้แต่ชื่อก็มิได้เป็นที่รู้จัก แต่ด้วยเพราะอยู่ใกล้เขตชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ จึงมีการวางกำลังทหารกันอยู่อย่างหนาแน่น ถือเป็นแนวป้องกันที่สองที่สามของชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ และมีพื้นที่ที่สามารถเข้าไปเสริมทัพทางชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ได้โดยตรง
วันนี้คณะของม่อซิวเหยาเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ในเวลาเที่ยงตรงพอดี อากาศกำลังร้อนจัด เมื่อเห็นว่าเดินทางอีกเพียงหนึ่งวันกว่าๆ ก็จะถึงด่านซุ่ยเสวี่ย แต่ยังมีเวลาอีกกว่ายี่สิบวันกว่าจะถึงวันแต่งงานขององค์หญิงอันซี จึงไม่รีบร้อนเดินทาง เตรียมเข้าพักผ่อนที่เมืองแห่งนี้สักหนึ่งคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ คณะเดินทางนี้ก็มิได้มีผู้ใดเรื่องมาก ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็มิได้มีโรงเตี๊ยมที่หรูหราอันใดมากนัก จึงเลือกโรงเตี๊ยมที่พอดูดีหน่อยแล้วเหมาห้องทั้งหมดแทน
หลงจู๊ที่ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่ เมื่อเห็นว่าคณะเดินทางนี้มีแต่บุรุษกับสตรีรูปงาม แต่งเนื้อแต่งตัวก็ไม่ธรรมดา ย่อมรู้ดีว่าพวกขามีฐานะไม่ธรรมดา จึงทำการต้อนรับทุกคนเป็นอย่างดี
คณะของเยี่ยหลีถึงแม้จะมีผู้ร่วมเดินทางไม่มากนัก นอกจากเยี่ยหลี ม่อซิวเหยา สวีชิงเฉิน เฟิ่งซานและฉินเฟิง จั๋วจิ้งแล้ว ก็มีองครักษ์อีกเพียงสี่สิบกว่าคนเท่านั้น ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉี และอีกครึ่งหนึ่งเป็นลูกน้องของฉินเฟิงในหน่วยกิเลน
หน่วยเฮยอวิ๋นฉีคงไม่ต้องพูดถึง แต่คนในหน่วยกิเลนกลับมีคนอยู่หลากหลายประเภท แม้แต่เรื่องการต้มชาทำอาหาร สำหรับพวกเขาแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เพียงหลงจู๊กับเสี่ยวเอ้อร์ แม้แต่ห้องครัวในโรงเตี๊ยมก็ยังไม่ต้องใช้
พวกเยี่ยหลีนั่งอยู่บนชั้นสอง รับประทานอาหารรสเลิศที่หน่วยกิเลนที่เชี่ยวชาญเรื่องงานครัว ทำขึ้นมาให้ และสั่งให้คนอื่นๆ ไปรับประทานอาหารของตนเองเช่นกัน
“ฉินเฟิง คนของเจ้านี่ช่างเก่งรอบด้านจริงๆ นะ” เฟิ่งจือเหยากินอาหารรสเลิศบนโต๊ะที่รสชาติมิได้แพ้พ่อครัวฝีมือดีแม้แต่น้อย พลางเอ่ยชื่นชม
ฉินเฟิงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “คุณชายเฟิ่งซานชมเกินไปแล้ว แค่ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง”
เฟิ่งจือเหยาอิจฉาริษยาขึ้นทันที ช่างเป็นทักษะเล็กๆ น้อย จริงๆ นั่นล่ะ แต่คนที่สามารถทำทักษะเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อย่างเก่งกาจ ย่อมถือเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมืออย่างแน่นอน เฟิ่งจือเหยามิได้เคยพบเพียงหน่วยกิเลนที่เก่งกาจด้านการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังมีบัณฑิตขงจื้อที่ยามว่างไม่มีอันใดทำก็ออกมาพูดคุยเรื่องวิชาการ รวมถึงคนมีความสามารถและคนมีฝีมือจากหลายสาขาอาชีพอีกด้วย แม้แต่คนที่เชี่ยวชาญด้านการเย็บปักถักร้อยก็มี ที่สำคัญกว่านั้นคือ คนเหล่านี้ล้วนมีความสามารถอันเก่งกาจที่ทำให้ผู้คนเกรงกลัวอีกด้วย
สวีชิงเฉินนั่งอมยิ้มจิบชาไปพลาง ฟังพวกเขาพุดคุยกันไปพลาง
เฟิ่งจือเหยาเป็นคนที่กลัวเพียงใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย และที่ทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือการที่มีคนอยู่เหนือความวุ่นวายเหล่านี้ จึงลากเอาสวีชิงเฉินเข้ามาร่วมวงด้วยโดยไม่ลังเลทันที “จะว่าไปคุณชายชิงเฉิน ตั้งแต่ออกจาซีเป่ยมานี้ ท่านมิค่อยพูดอันใดเลยนะ อารมณ์ได้มีหรืออย่างไร”
ทุกคนที่นั่งอยู่ คิดขึ้นมาได้ทันทีถึงมิตรไมตรีที่องค์หญิงอันซีเคยมีให้กับคุณชายชิงเฉิน และ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณชายชิงเฉินกับองค์หญิอันซี หากมิใช่เพราะว่าคุณชายชิงเฉินมิได้มีใจให้องค์หญิงอันซี ก็คงด้วยเพราะขนบธรรมเนียมที่เคร่งครัดจนมิกล้าพูดออกมา จนทำให้ยามนี้เมื่อองค์หญิงอันซีไปแต่งงานกับผู้อื่น คุณชายชิงเฉินจึงโศกเศร้าและซึมเซาเช่นนี้?
ในหัวทุกคนก็พากันจินตนาการถึงเรื่องเกี่ยวกับคุณชายชิงเฉินและองค์หญิงอันซี สายตาที่มองไปทางสวีชิงเฉินจึงดูมีความเห็นใจขึ้นหลายส่วน
ใบหน้าอันหล่อเหลาของสวีชิงเฉินอดกระตุกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ได้แต่ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ข้าเพียงกำลังคิดว่า คนพวกนี้ติดตามพวกเรามาตลอดทาง…จะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่”
ทุกคนต่างหันมองไปนอกหน้าต่าง บนถนนด้านล่างฝั่งตรงข้าม ณ มุมๆ หนึ่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีคนหลากหลายรูปแบบยืนรวมกลุ่มอยู่ เสมือนกำลังพูดคยเล่นหรือเป็นคนที่บังเอิญผ่านไปผ่านมา แต่การแสร้งทำเช่นนั้น ในสายตาพวกเขากลับดูไม่เป็นธรรมชาติยิ่งนัก
เฟิ่งจือเหยาหรี่ตาลง เอ่ยว่า “ท่านอย่าพูด คนที่ใต้ต้นไม้นั่นดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันคงมิได้คิดจริงๆ หรอกนะว่าเราไม่เห็นพวกมัน”
สวีชิงเฉินเอ่ยพลางถอนใจว่า “พวกเขาจะคิดเช่นไรนั้นหาสำคัญไม่ สิ่งที่ข้ากังวลก็คือ…”
ม่อซิวเหยาวางจอกสุราลง หันไปเอ่ยกับสวีชิงเฉินว่า “เจ้ากังวลว่าม่อจิ่งฉีจะส่งนักฆ่ามา?”
สวีชิงเฉินพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด คิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เดิมทีหลายปีมานี้ ซีเป่ยกับต้าฉู่อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อยดีมาโดยตลอด การที่พวกเราใช้เส้นทางเดินทางไปหนานจ้าวนั้น ม่อจิ่งฉีไม่น่าถึงกับคิดจะลงมือกับพวกเรา เพียงแต่…คนอย่างม่อจิ่งฉี อย่างไรก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ สถานการณ์ช่วงหลายวันนี้ ก็รับประกันได้ยากว่าพวกเขาจะไม่ลงมือกับพวกเรา”
เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่คิดว่า หากพวกเขาเตรียมที่จะลงมือจริงๆ ที่ใดถึงจะเหมาะสมที่สุดหรือ”
สวีชิงเฉินส่ายหน้า “เรื่องนี้คงต้องดูว่าพวกเขาเห็นว่าที่ใดเหมาะที่จะลงมือ ยามนี้พวกเราอยู่ในเขตแดนของต้าฉู่ ม่อจิ่งฉีจะพูดอย่างไรก็ได้”
เฟิ่งจือเหยายิ้มเยาะ “แคว้นที่มีดินแดนติดต่อกับซีเป่ย นอกจากซีหลิงแล้วก็คือต้าฉู่ จะต้องให้พวกเราอ้อมไปทางซีหลิงอย่างนั้นหรือ หรือว่าจะให้พวกเราไม่ต้องไปที่ใดเลย?”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว “การที่พวกเราคิดเช่นนี้ มิได้หมายความว่าม่อจิ่งฉีก็จะคิดเช่นนี้”
ม่อซิวเหยายกยิ้มเรียบๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ให้เขาลองดูก็สิ้นเรื่อง ข้าจะได้ดูด้วยว่า หลายปีที่ผ่านมา ม่อจิ่งฉีพัฒนาไปเพียงใด”
เฟิ่งจือเหยาพ่นลมหายใจออกทางจมูก “เขาจะพัฒนาอันใดได้ พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ถูกตัดแบ่งให้พวกชนเผ่าทางด้านนั้นไปแล้ว แคว้นที่ยิ่งใหญ่อย่างต้าฉู่ แม้แต่ชนเผ่าเล็กๆ ที่ชายแดนก็ยังจัดการไม่ได้ การแก่งแย่งชิงดีกับม่อจิ่งหลีทั้งในที่ลับและที่แจ้งที่เมืองหลวงต้าฉู่มิได้กำลังดุเดือดหรือ”
ถึงแม้ยามนี้ พวกเขากับต้าฉู่จะมิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก แต่เมื่อได้ยินว่าพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ส่วนหนึ่ง ถูกชนเผ่าสามสี่ชนเผ่านั้นยึดครองไป ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารในกองทัพตระกูลม่อ ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจม่อจิ่งฉีมากขึ้นเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ที่เห็นว่าตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อของพวกเราคอยเป็นอุปสรรคขัดขวางท่าน ยามนี้เมื่อกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋องไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันแล้ว ก็ลองวางแผนแสดงความสามารถแห่งวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ออกมาให้ดูหน่อยเป็นไร
“ในเมื่อไม่มีการพัฒนา ข้าก็จะช่วยเขาจัดการพวกลูกน้องไร้ประโยชน์แทนเขาเองก็ยังได้” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ทุกคนที่นั่งอยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็อดหันมาแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ ประโยคเมื่อครู่ของท่านอ๋อง…ดูจะมีรังสีสังหารแฝงอยู่ แต่การสังหารคนระหว่างทางที่กำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงของผู้อื่น เป็นเรื่องมงคลจริงๆ หรือ”
แต่เห็นได้ชัดว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้ม่อซิวเหยาไปหาเรื่องก่อน ด้วยเพราะพวกเขายังไม่ทันกินมื้อเที่ยงเสร็จดี เรื่องก็ดันมาหาพวกเขาก่อนเสียแล้ว
”ทุกคน! มาล้อมโรงเตี๊ยมนี้ไว้เดี๋ยวนี้!” ด้านล่างมีน้ำเสียงถือดีของบุรุษดังขึ้น
เฟิ่งจือเหยาลุกยืนขึ้นมองลงไปด้านล่าง แล้วก็อดรู้สึกสนุกขึ้นมาไม่ได้ “เอ้า ท่านอ๋อง คนคุ้นเคยของเรานี่เอง”
ม่อซิวเหยาปรายตามองลงไปด้านล่าง มองคนที่กำลังสั่งการทหารให้ล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ แล้วก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขารู้จักคนอยู่ไม่น้อย แต่คนที่อยู่ด้านล่างนั่นเขากลับจำไม่ได้ว่าเคยไปคุ้นเคยกันมาก่อนได้อย่างไร
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋อง ท่านลองดูดีๆ สิ ใบหน้าที่แค่ดูก็อยากจะตบเข้าให้สักที กับขากะเผลกๆ ที่เดินอย่างเอกลักษณ์นั่น ดูไม่คุ้นตาเลยหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็พอจะนึกออกขึ้นมาแล้ว “กวานถิ่งที่โดนม้าถีบนั่นน่ะหรือ เจ้าม้านั่นตาพล่าหรืออย่างไรถึงถีบมันไม่ตาย”
เฟิงจือเหยาหัวเราะจนตาหยี “เช่นนั้นให้ข้าน้อยหาม้ามาถีบสองขาเลยดีหรือไม่”
คนด้านบนยังคุยเล่นกันอยู่ แต่คนด้านล่างกลับตะโกนเรียกอย่างอดไม่อยู่เสียแล้ว
กวานถิ่งเดินขาเบี้ยวกะเผลกๆ ไปมาอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม พลางตะโกนเรียกมายังอีกฝั่งว่า “เจ้าพวกกบฏ ถึงขั้นกล้าเหยียบเข้ามาในแผ่นดินต้าฉู่ ข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาขจัดกบฏให้สิ้นซาก พวกเจ้ายังไม่รีบมาให้จับอีก!”
เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ด้านบนสวนกลับไปอย่างอดไม่อยู่ว่า “หากเป็นข้า จะยิงธนูสักหมื่นดอกขึ้นมาให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้กลายเป็นตัวเม่นไปเสียก่อนค่อยว่ากัน ฝีมือมีไม่มาก แต่คำพูดไร้สาระกลับเก่งไม่น้อย”
ฉินเฟิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดังนั้นคุณชายเฟิ่งซานถึงได้มีชีวิตยืนยาวกว่าเขา”
เฟิ่งจือเหยาระบายยิ้มเต็มหน้า ประสานมือเอ่ยขอบคุณว่า “ขอรับคำอวยพรของท่าน”
ฉินเฟิงลุกยืนขึ้น กวาดตามองคนที่ยืนอยู่ด้านล่างด้วยความอวดดีอย่างดูแคลนทีหนึ่ง แล้วจึงผินหน้าไปเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง พระชายา จะให้ลงมือฆ่ามันก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ลงไปดูก่อนก็แล้วกัน ใช่สิ…หาคนมาพาคุณชายชิงเฉินไปก่อน”
ในบรรดาพวกเขา คนที่เก่งกาจน้อยที่สุดก็ยังมีความสามารถในการป้องกันตนเอง มีเพียงสวีชิงเฉินเท่านั้นที่ไม่มีกำลังต่อสู้อย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวหากเกิดการต่อสู้กันขึ้น ถึงแม้การคุ้มกันสวีชิงเฉินจะมิใช่เรื่องยาก แต่ระหว่างการต่อสู้ที่วุ่นวาย อย่างไรก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
สวีชิงเฉินก็รู้ดีว่าตนเองเป็นตัวถ่วง จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับม่อซิวเหยา เพียงหันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “หลีเอ๋อร์ ระวังตัวให้มากล่ะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่โปรดวางใจเถิด”
เมื่อส่งสวีชิงเฉินไปแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พากันตามม่อซิวเหยาลงไปดูเรื่องสนุกที่ด้านล่าง
บรรดาองครักษ์ที่กินข้าวอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่าง ลุกขึ้นประจำที่ที่หน้าประตูกันหมดแล้ว บนถนนด้านนอก ยังมีศพของทหารต้าฉู่สามสี่ศพที่ไม่ยอมเชื่อฟังกันดีๆ คิดอยากบุกเข้ามาให้โรงเตี๊ยม นอนอยู่บนถนนด้วย
กวานถิ่งก็ดูจะคาดไม่ถึงว่า องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ในขณะที่ตนจัดกำลังทหารล้อมไว้อย่างแน่นหนาเช่นนี้ พวกเขายังกล้าลงมือสังหารคนของตนง่ายๆ ใบหน้าที่เดิมทีก็ดูไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งดูบึ้งตึง เหี้ยมโหดและบิดเบี้ยว บ่งบอกว่าตนกำลังโกรธจัดได้เป็นอย่างดี
“พวกเจ้าช่างกล้านัก! จะตายอยู่แล้วยังกล้าอวดดีเช่นนี้อีก! ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้าแหลกละเอียดเพื่อขจัดความโกรธเกลียดในใจของข้าให้จงได้!” กวานถิ่งที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาของทหารอย่างแน่นหนา เอ่ยอย่างถือดีต่อเหล่าองครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตู
บรรดาองครักษ์ที่อยู่หน้าประตู โดยเฉพาะอย่างยิ่งองครักษ์ของหน่วยกิเลน ถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นอย่างอดไม่อยู่ สายตาที่มองกวานถิ่ง เสมือนกำลังมองคนที่โง่เขลาและคนที่กำลังจะตายกระนั้น
เจ้าโง่นั้นคงมิได้คิดว่าหลบอยู่หลังผู้อื่นแล้วจะปลอดภัยไร้กังวลหรอกกระมัง ถึงได้อวดดีเช่นนี้
หน่วยกิเลนนายหนึ่งอดไม่อยู่ ยกมือขึ้นโบกไปทางคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นได้ยินเพียงเสียงสวบ แล้วแสงสีเขียวแสงหนึ่งที่ทั้งรวดเร็วและแม่นยำก็พุ่งตรงไปทางกวานถิ่งทันที
กวานถิ่งถึงกับผงะที่เห็นแสงสีเขียวสิ่งหนึ่งพุ่งตรงมาที่ตน เขาสะดุ้งตกใจและรีบหาที่หลบ แต่ตัวเขาเดิมทีก็หลบอยู่หลังนายทหารจำนวนมากอยู่แล้ว หลายปีมานี้ก็อ้วนท้วนขึ้นมาก จะไปหลบที่ใดได้ แม้แต่คิดจะย่อหลบยังไม่ทัน ของสิ่งนั้นก็มาถึงตรงหน้าตนเสียแล้ว เขาขวัญผวาจนต้องร้องตะโกนออกมาว่า “อาวุธลับ! อาวุธลับ! รีบช่วยข้า! รีบช่วยข้า!”
ของสิ่งนั้นหล่นลงมากระแทกบนตัวเขา จนทำให้หัวไหล่ของเขาเจ็บเข้าไปถึงกระดูก แต่ยังไม่ถึงแก่ชีวิต ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นรวมถึงทหารต้าฉู่ที่กวานถิ่งนำมา พากันมองบุรุษที่ร้องแร้แห่กระเชิงประหนึ่งกำลังมองคนโง่เง่าคนหนึ่งอยู่โดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ผู้ใดพึมพำออกมาว่า “เจ้าทึ่ม!”
กวานถิ่งร้องอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อลืมตาขึ้นเห็นว่าตนเองไม่เป็นอันใดก็อดดีใจขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าบนเสื้อผ้าอันหรูหราของตน มีรอยเปียกชื้นประหลาด และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อยู่ “นี่…นี่คืออันใด”
“เรียนท่านแม่ทัพ แตงกวาขอรับ!” ทหารที่อยู่ข้างกายเอ่ยรายงานอย่างจริงจัง
กวานถิ่งถึงได้สังเกตเห็นว่า บนพื้นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนั้น มีแตงกวาที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งหล่นอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ แล้วก็รู้ทันทีว่าตนโดนหลอกเอาเสียแล้ว จึงโกรธจนเนื้อเต้นขึ้นมาทันที “ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! บุกเข้าไป ฆ่าพวกขุนนางกบฏพวกนั้นให้หมด!”
“กวานถิ่ง เจ้าจะฆ่าใครหรือ พูดให้ข้าฟังดีหรือไม่” ภายในโรงเตี๊ยม น้ำเสียงที่เรียบเย็นและกังวานก้อง ดังลอยออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
องครักษ์ทั้งหลายต่างพากันเบี่ยงตัวเปิดทางออก ม่อซิวเหยายังคงมีผมที่ขาวราวหิมะ และอยู่ในชุดขาวทั้งชุด กำลังจูงมือเยี่ยหลีเดินออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน