ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 233-2 หลิ่วกุ้ยเฟยหาเรื่องให้ตนถูกดูหมิ่น
ยามนี้องค์หญิงฉางเล่อก็ได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดหลิ่วกุ้ยเฟยที่เห็นตนเป็นอากาศธาตุมาตลอด ถึงได้ลากตนเองออกมารับประทานอาหารข้างนอก แล้วทำมาบอกว่า เกรงว่าอาหารในโรงเตี๊ยมจะไม่ถูกปากนาง ตลอดทางมานี้ไม่เห็นว่านางจะเป็นห่วงเป็นใบเรื่องอาหารการกินของนางแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะนางไม่อยากเอาแต่นั่งเบื่อๆ อยู่ในโรงเตี๊ยม ผู้ใดจะออกมากินข้าวกับนางกัน การต้องเห็นใบหน้าที่ทำประหนึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจรบกวนนั่นต่างหากที่ทำให้นางกินอันใดไม่ลง นี่นางถึงขั้นพาตนออกมาทำเป็นบังเอิญเจอท่านอาติ้งอ๋องกับพระชายา หากยามนี้พวกตนมิได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ในวัง องค์หญิงฉางเล่อคงต่อว่านางว่าไร้ยางอายอย่างไม่เกรงใจไปแล้ว! ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินมาอยู่บ้างที่ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยมีใจให้ท่านอาติ้งอ๋อง แต่ไม่เคยคิดว่านางจะหน้าหนา จนต้องรบกวนคู่สามีภรรยาเขารับประทานอาหารกันให้ได้เช่นนี้
แต่หลิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่ยอมฟังคำทัดทานขอองค์หญิงฉางเล่อ แต่กลับมองนิ่งไปยังม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “พวกเราก็ถือว่าเคยรู้จักกันมานาน หรือแม้แต่จะเลี้ยงข้าวสักมื้อก็ยังไม่ยอมหรือ”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่หลิ่วกุ้ยเฟยคิดว่าเขาจะยอมใจอ่อน และกำลังจะระบายยิ้มนั้นเอง เขาถึงได้เงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้สนิทสนมอันใดกับเจ้า”
หลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้ระบายยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ สีหน้านางก็กลับแข็งทื่ออยู่เช่นนี้ หากคิดดูดีๆ แล้ว ม่อซิวเหยากับหลิ่วกุ้ยเฟยก็ไม่ถือว่าสนิทสนมกันจริงๆ ยามอายุยังน้อย เขาก็มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่สนใจมองสาวอื่น ต่อให้ไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เขาก็ไม่มีทางไปชอบพอสตรีในตระกูลที่ไม่ลงรอยกับบิดาและพี่ชายตนเองอย่างแน่นอน หลังจากซูจุ้ยเตี๋ยหนีไป ด้วยเพราะเขาบาดเจ็บจึงปิดประตูไม่ยอมออกไปไหน ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟยก็เข้าไปอยู่ในวังแล้ว จนเมื่อเขาแต่งงานกับเยี่ยหลี ในสายตาเขาก็ไม่มีสตรีนางอื่นอีก ดังนั้น เขาจึงไม่สนิทสนมกับหลิ่วกุ้ยเฟยเลยจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าหลิ่วกุ้ยเฟยถูกคำว่าไม่สนิทสนมทำให้เสียใจเข้า ใบหน้าที่งดงามดูขาวซีดลงทันที กัดฟันเอ่ยว่า “ข้า…ไม่เข้าตาเจ้าถึงเพียงนั้นเลยจริงๆ หรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จับแขนม่อซิวเหยาพลางเอ่ยว่า “ข้าหิวแล้ว พวกเราเข้าไปกินข้าวกันก่อนเถิด กุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อมาด้วยกันดีหรือไม่”
มิใช่เพราะเยี่ยหลีใจอ่อนคิดเชื้อเชิญพวกเขา แต่ด้วยเพราะจุดที่พวกตนยืนอยู่ ถึงแม้จะไม่มีผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นภัตตาคารที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา หลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่สนใจชื่อเสียงของตนก็ไม่เป็นไร แต่นางคงไม่ชอบใจหากได้ยินว่าสามีของตนไปมีข่าวฉาวกับสตรีนางอื่น
ม่อซิวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย จับเยี่ยหลีให้หมุนตัวเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวห่างไปไม่ไกลที่จับจองไว้
ยามที่เดินผ่านหลิ่วกุ้ยเฟย ยังได้ยินหลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นดี!”
เยี่ยหลีชะงักฝีเท้าลงทันที หันไปมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนเอ่ยย้อนถามว่า “เช่นนั้นท่านจะตามมาหรือไม่เล่า”
ใบหน้าที่ขาวซีดของหลิ่วกุ้ยเฟยกลับมาแดงก่ำขึ้นทันที กัดฟันกรอด แต่สุดท้ายก็สาวเท้าก้าวเดินตามไป
ม่อซิวเหยาผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีพิธีรีตองในการรับแขกอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้แน่นอนว่าคงจะโทษเขาไม่ได้ เพราะตั้งแต่เล็กๆ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ก็ล้วนได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้อื่นเสมอมา คนที่สามารถทำให้เขาต้อนรับได้ นิ้วมือข้างหนึ่งก็คงยังใช้นับไม่หมด ดังนั้นยามที่หลิ่วกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อก้าวเข้ามาในห้องช้ากว่าเพียงไม่กี่ก้าว ม่อซิวเหยาก็กำลังบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ไปนำอาหารที่พวกเขาสั่งเข้ามาให้แล้ว และอาหารที่สั่งทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่เยี่ยหลีและตนชื่นชอบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เยี่ยหลี ด้วยเพราะคุ้นเคยกับฮว่าเทียนเซียง จึงพอรู้ใจองค์หญิงฉางเล่ออยู่บ้าง จึงเสริมกับข้าวที่องค์หญิงฉางเล่อชื่นชอบเข้าไปอีกสองสามอย่าง
ดังนั้นยามที่อาหารมาตั้งโต๊ะ สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยจึงยิ่งดูย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก
เยี่ยหลีมองสีหน้าบึ้งตึงของหลิ่วกุ้ยเฟย ที่เลือกคีบผักสองสามชิ้นไปกินด้วยความสงสัย ถึงแม้จะไม่ได้สั่งอาหารตามใจนางทั้งหมด แต่อาหารในภัตตาคารแห่งนี้ก็มิได้ไม่อร่อยจนถึงขั้นนี้กระมัง
ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังนึกสงสัยอยู่นั้น ม่อซิวเหยาก็คีบอาหารที่ตนชอบมาวางไว้ให้ในจาน พร้อมเอ่ยเบาๆ ว่า “ฝีมือของพ่อครัวภัตตาคารนี้ถือว่าไม่เลว ลองชิมดู…”
เยี่ยหลีก้มลงลองกินเข้าไปคำหนึ่ง ไม่เลวอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถึงแม้จะเทียบกับพ่อครัวของตำหนักติ้งอ๋องหรือโรงครัวใหญ่ของหนิงเซียงเก๋อไม่ได้ แต่แน่นอนว่าย่อมดีกว่าฝีมือทำอาหารของเยี่ยหลีมากนัก
เยี่ยหลีมิใช่คนเลือกกิน แม้แต่ฝีมือการทำกับข้าวบ้านๆ ของตนยังสามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย นับประสาอะไรกับฝีมือระดับนี้
นางยื่นมือไปคีบเนื้อไก่ที่ต้มและปรุงรสมาแล้วอย่างเข้าเนื้อให้ม่อซิวเหยา “ลองชิมอันนี้ดู รสชาติดีมาก”
สีหน้าของม่อซิวเหยาดูอ่อนโยนขึ้นทันที ถึงแม้จะมองเนื้อไก่ตรงหน้าแล้วหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ยังคงกินเนื้อไก่ชิ้นนั้นเข้าไปจนหมด
เมื่อเห็นท่าทางกินอาหารอย่างจริงจังของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็ระบายยิ้มน้อยๆ และคอยคีบอาหารให้เขาเป็นระยะ
ด้วยเพราะม่อซิวเหยาเจ็บป่วยมาเป็นสิบปี ทำให้อาหารที่กินโดยมากเป็นผักที่มีรสอ่อน และไม่ค่อยชอบอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่เยี่ยหลีกลับคิดว่า ถึงแม้การกินผักให้มากหน่อยจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่อย่างไรก็ควรกินควบคู่ไปกับเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงคอยคีบเนื้อสัตว์ให้ม่อซิวเหยาเป็นระยะๆ โชคดีที่ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะไม่ชอบกินของเหล่านี้ แต่ขอเพียงเป็นของที่เยี่ยหลีคีบให้ เขาก็จะกินโดยไม่บ่นอันใดสักคำ เมื่อเวลาหลายปีผ่านไป จึงกลายเป็นความเคยชินส่วนตัวที่ยามทั้งสองกินข้าวด้วยกัน เยี่ยหลีจะเป็นคนคอยคีบกับข้าวให้เขา จนทำให้มีบางคราที่เยี่ยหลีกินข้าวไปพลางคิดเรื่องอื่นไปพลางจนลืมคีบกับข้าวให้ กว่าจะรู้ตัวม่อซิวเหยาก็กินข้าวเปล่าๆ ไปเกือบครึ่งถ้วยแล้ว ทำให้นางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับความเป็นเด็กของเขาดี
“ท่านอาติ้งอ๋องกับพระชายาช่างมีใจรักกันดีจริง” องค์หญิงฉางเล่อมองทั้งสองคน แล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความอิจฉา ถึงแม้จะเคยเห็นคู่สามีภรรยาหลายคู่ที่ยามอยู่ต่อหน้าคนจะดูรักใคร่กันยิ่งนัก แต่องค์หญิงฉางเล่อก็ยังคงเห็นว่าภาพที่งดงามตรงหน้า ช่างน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน
ในวังหลวง เวลาเสด็จพ่อจะเสวยอะไรสักอย่างหนึ่ง จะต้องให้คนลองทดสอบพิษไม่รู้กี่อย่าง ทั้งยังต้องให้นางกำนัลและขันทีทดลองชิมให้ก่อนถึงจะกลืนลงไปด้วยความสบายใจ เมื่อต้องเจอเช่นนั้น จะมีนางสนมหรือพระโอรสพระธิดาสักกี่องค์ที่กล้าคีบอาหารให้เสด็จพ่อ อย่างน้อยในความทรงจำของฉางเล่อ เสด็จแม่กับเสด็จพ่อต่างก็เสวยของใครของมันไม่ยุ่งกัน
เยี่ยหลีปรายตามองนางทีหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เห็นขันว่า “เด็กน้อยอย่างท่านรู้หรือว่าอันใดที่เรียกว่ามีใจรักใคร่กัน ท่านอาติ้งอ๋องของเจ้า เอาใจยากจะตาย”
“คุณหนูเยี่ย ทั้งๆ ที่ท่านรู้ว่าท่านอ๋องไม่ชอบกินของพวกนั้น เหตุใดถึงยังตั้งใจคีบให้เขาเล่า” จู่ๆ หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งหน้าบึ้งมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น ทั้งยังได้คีบผัดหน่อไม้อ่อนไปใส่ในถ้วยม่อซิวเหยาต่อหน้าสายตาทุกคนอีกด้วย ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจำได้ว่าท่านอ๋องชอบกินหน่อไม้อ่อน”
ภายในห้องส่วนตัวเงียบกริบลงทันที บรรยากาศภายในก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้น
เมื่อครู่ม่อซิวเหยาเพิ่งวางตะเกียบลง ยกชามที่เยี่ยหลีตักซุปไก่ตุ๋นเห็ดหอมให้ตนขึ้นเดิม แต่เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยคีบกับข้าวมาไว้ในถ้วยของตน ก็หน้าบึ้งลงทันที จึงไม่สนใจจะดื่มซุปที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งให้หมด หยิบชามโยนใส่หลิ่วกุ้ยเฟยทันที
หลิ่วกุ้ยเฟยมิใช่สตรีที่อ่อนแอแม้จะต้องลมยังไม่ได้ เมื่อเห็นชามน้ำแกงพุ่งเข้ามาก็เบี่ยงตัวหลบไปทันที
น่าเสียดายที่โต๊ะมีขนาดไม่ใหญ่นัก ทั้งสองจึงถือว่าอยู่ห่างกันไม่มาก ถึงแม้จะเบี่ยงตัวหลบแล้ว แต่น้ำแกงก็ยังหกรดแขนจนเปียกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนชามน้ำแกงกระเบื้องเคลือบสีขาว ก็ลอยไปกระแทกกับกำแพงที่ด้านหลังหลิ่วกุ้ยเฟยจนแตกละเอียดลงทันที
“ติ้งอ๋อง ท่าน!” หลิ่วกุ้ยเฟยคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ม่อซิวเหยาจะปฏิบัติต่อตนด้วยความหยาบคายเช่นนี้ จึงหน้าถอดสีและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของหลิ่วกุ้ยเฟย ในใจเยี่ยหลีกลับไม่นึกเห็นใจนางเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะไม่อยากให้ตนเสียมารยาทจนเกินไป เยี่ยหลียังคิดอยากเอ่ยปากต่อว่านางไปตรงๆ ด้วยซ้ำ เจ้ายังอยากรักษาหน้าอยู่หรือไม่ !
การคีบอาหารให้ผู้อื่น อย่าว่าแต่ในยุคสมัยนี้เลย ต่อให้เป็นสมัยเมื่อชาติที่แล้วของนาง ก็ต้องเป็นคนที่สนิทสนมกันหรือเป็นคนที่รักใคร่กันจะกระทำต่อกันเท่านั้น การที่หลิ่วกุ้ยเฟยทำเช่นนี้ เยี่ยหลีไม่รู้จริงๆ ว่า ในหัวนางกำลังคิดเล่นอันใดอยู่
“ไสหัวออกไป!” ม่อซิวเหยามองจ้องหลิ่วกุ้ยเฟยพลางเอ่ยเสียงเย็น
“ท่าน…” หลิ่วกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากมองม่อญิวเหยาอย่างอดกลั้น
ม่อซิวเหยาไม่รู้สึกอันใดกับท่าทีของนาง สิ่งที่ออกมาจากปากเขาสั้นเสียยิ่งกว่าเดิม “ไสหัวไป!”
อย่างไรก็เป็นสตรี เมื่อถูกม่อซิวเหยาปฏิบัติอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็จำต้องลุกขึ้นออกไปจากห้องส่วนตัวทันที
ม่อซิวเหยามองหน่อไม้อ่อนในถ้วยของตนด้วยความรังเกียจ ยื่นมือผลักถ้วยออกไปข้างๆ
เยี่ยหลียื่นถ้วยซุปไก่ตรงหน้าตนที่ยังไม่ได้ดื่มไปวางให้ในมือเขาเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ดื่มอีกหน่อยเถิด”
ม่อซิวเหยาถึงได้ยกซุปไก่ขึ้นดื่มเข้าไปอีกสองอึก คิ้วที่เคยขมวดมุ่นก็ค่อยๆ คลายออก
เยี่ยหลีหยิบถ้วยเปล่าที่ยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา ตักข้าวให้เขาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง แล้วจึงหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวของตนต่อไป
องค์หญิงฉางเล่อมองทั้งสองคนแล้วยิ้มจนตาหยี เอ่ยว่า “ข้าย่อมรู้ว่าท่านอาติ้งอ๋องกับพระสนมมีใจรักใคร่กัน เพราะชายาติ้งอ๋องคีบกับข้าวที่ท่านอาไม่ชอบ แต่ท่านอาก็ยังกินจนหมด แต่ต่อให้ผู้อื่นคีบกับข้าวที่ท่านอาชอบที่สุดให้ ท่านอาติ้งอ๋องก็จะเควี้ยงถ้วยจนแตก พระชายา ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่”
“เด็กแสบ!” เยี่ยหลีฉีกยิ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ