ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 234-2 คู่หมั้นขององค์หญิงอันซี
สวีชิงเฉินอมยิ้มส่งให้องค์หญิงอันซี “องค์หญิง ยินดีด้วย”
นัยน์ตาองค์หญิงอันซีฉายแววยิ้มอย่างขมขื่น หลุบตาลงเล็กน้อย “ขอบคุณมาก ขอบคุณที่เจ้ามาได้”
สวีชิงเฉินอมยิ้มเอ่ยว่า “ได้มาร่วมงานแต่งงานของเจ้า ข้าเองก็ยินดีเช่นกัน”
องค์หญิงอันซีปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มพร้อมพยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันเสียหลายปี ข้าก็ดีใจที่เห็นเจ้ามา นี่คือคู่หมั้นของข้า ผู่อา”
องค์หญิงอันซีผินหน้าไปใช้อีกภาษาหนึ่งแนะสวีชิงเฉินให้ผู่อาได้รู้จัก
สวีชิงเฉินที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ย่อมมิใช่การเรียกขานกันเฉยๆ หากตามที่เยี่ยหลีเอ่ย เมื่อม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินยืนอยู่ด้วยกัน คนแรกที่ทุกคนจะมองย่อมเป็นม่อซิวเหยา แต่นั่นด้วยเพราะม่อซิวเหยามีผมสีขาวทั้งศีรษะ แต่คนที่ทุกคนจะหยุดมองเป็นคนสุดท้าย ย่อมต้องเป็นสวีชิงเฉินอย่างแน่นอน แน่นอนว่าที่นางคิดเช่นนี้ ย่อมด้วยเพราะเยี่ยหลีกดคะแนนสามีสามีของตนลงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยนั่นก็ช่วยยืนยันสิ่งหนึ่งว่า หากสวีชิงเฉินยืนอยู่คู่กับม่อซิวเหยาแล้ว จะไม่มีผู้ใดดูด้อยกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน
อันที่จริงหากพิจารณาเพียงรูปลักษณ์ ไม่แน่ว่าสวีชิงเฉินจะสู้ความหล่อเหลาของเฟิ่งจือเหยาไม่ได้ และไม่แน่ว่าจะเทียบความรูปงามประหนึ่งรูปสลักของหานหมิงซีไม่ได้ เพราะเขามิได้สนใจในเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าก็ใส่สีขาวและแบบเสื้อที่ธรรมดาที่สุด และมิได้ชื่นชอบที่จะถือพัดเหลืองทองอันหรูหราไม่ห่างมืออย่างเฟิ่งจือเหยา จะมีบางครั้งเท่านั้นที่เขาหยิบพัดที่ตนวาดเล่นเรื่อยเปื่อยจากในห้องหนังสือของตนออกมาเท่านั้น ที่เอวก็มีเพียงเครื่องประดับหยกที่ท่านปู่ให้ไว้ตั้งแต่ยังเด็กห้อยอยู่เพียงชิ้นเดียว ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีก็ไม่เห็นว่าเขาจะเปลี่ยน
แต่เพียงแค่เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้คน สายตาของทุกคู่ก็จะเคลื่อนมาจับจ้องที่เขากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้มองดูสวีชิงเฉิน จะรู้สึกสง่างามสบายตาประหนึ่งได้หลุดพ้นจากโลกมนุษย์แล้วกระนั้น แต่มิใช่เช่นเดียวกับเทพยดาที่สูงส่งจนเกินไป แต่เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกปลื้มปริ่มและเลื่อมใสด้วยใจจริง ทั้งยังรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและสบายใจโดยไม่รู้ตัว
ในโลกนี้บุรุษผู้ดีเลิศโดยมาก หากเทียบกับสวีชิงเฉินแล้ว ล้วนดูมีบารมีน่าเกรงขามมากเกินไป จึงทำให้ผู้คนรู้สึกระวังตนและต้องหลีกห่างโดยไม่รู้ตัว มีเพียงสวีชิงเฉิน…ถึงแม้จะเป็นเยี่ยหลี แต่นางก็ไม่เคยพบบุรุษคนใดที่ทำให้ผู้คนคิดอยากเข้าใกล้ ทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นและสงบเงียบเช่นสวีชิงเฉินมาก่อน ถึงแม้จะเป็นคนที่รู้จักเล่ห์เหลี่ยมของสวีชิงเฉินดี หลายคราก็ยังถูกเขาดึงดูดให้เข้าใกล้อย่างอดไม่อยู่
เมื่อผู่อาได้เห็นสวีชิงเฉินก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน ในตาฉายแววตกใจและยิ่งดูสบายใจระคนหดหู่อย่างประหลาด เขาหันไปพยักหน้าให้สวีชิงเฉิน และเอ่ยคำว่ายินดีต้อนรับเช่นกัน คำที่เขารู้จักในภาษาหนานจ้าวนั้นมิได้มีมากนัก
สวีชิงเฉินระบายยิ้ม ใช้ภาษาชนเผ่าของผู่อากล่าวทักทายเขา
ถึงแม้จะเป็นภาษาของชนเผ่านั้นเช่นเดียวกัน แต่การออกเสียงของม่อซิวเหยาและองค์หญิงอันซีกลับมีความคล้ายคลึงกัน น่าจะเป็นเพราะเรียนมาจากคนนอกชนเผ่าอีกทีหนึ่ง แต่เมื่อเป็นสวีชิงเฉินพูด กลับดูจะแตกต่างออกไปเป็นพิเศษ ฟังดูคล้ายที่ผู่อาพูดเสียมากกว่า แต่น้ำเสียงกลับฟังดูรื่นหูยิ่งนัก
เมื่อเห็นสีหน้าของบุรุษหนุ่มดูหม่นแสงลง เยี่ยหลีก็เอาศีรษะกระเถิบเข้าไปใกล้แขนของม่อซิวเหยาไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้คน พี่ใหญ่ ท่านกล้าใจร้ายกว่านี้อีกหรือไม่ ท่านไม่นึกชอบองค์หญิงอันซีก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ยังจะมาทำร้ายความรู้สึกของคู่หมั้นเขาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน
“อาหลี เหนื่อยแล้วหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง สวีชิงเฉินจะทำลายความมั่นใจผู้ใด เขาไม่นึกสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ทำลายความมั่นใจของเขาไม่ได้อยู่ดี
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเห็นใจบุรุษหนุ่มที่ยืนท่าทางซึมเซาหม่นแสงอยู่ข้างกายสวีชิงเฉินเล็กน้อย
องค์หญิงอันซีเห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยายืนจับมือกัน นัยน์ตาก็ฉายแววอิจฉาเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเรามัวแต่พูดคุยกันอยู่ที่นี่เลย รีบเข้าเมืองไปกันเถิด ข้าให้คนเตรียมจวนทูตไว้เรียบร้อยแล้ว หากยังยืนกันอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่แน่ว่าอาจทำให้แม่นางทั้งหลายในเมืองหนานจ้าวหลงเสน่ห์พวกท่านกันไปจนหมด ถึงเวลาคงปวดหัวไม่น้อย”
องค์หญิงอันซีพูดได้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้คณะของพวกเขาจะมิได้ยืนอยู่ตรงกลางปากประตู เพียงแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่คณะของพวกเขาดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป ตั้งแต่ม่อซิวเหยา สวีชิงเฉิน ไปจนถึงเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้ง หลินหาน ฉินเฟิง หากจับใครคนใดคนหนึ่งโยนออกไป ก็เพียงพอให้สตรีจำนวนมากใจสั่นได้แล้ว ยามนี้ที่ประตูเมือง มีหญิงสาววัยแรกแย้มยืนอยู่จำนวนไม่น้อย คนหนานเจียงแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนอัธยาศัยดี หากมิใช่เพราะมีองครักษ์ของวังหลวงคอยขวางไว้ ไม่แน่ว่าอาจมีคนพุ่งเข้ามาสารภาพรักแล้วก็เป็นได้
เมื่อเข้าเมืองไปแล้ว องค์หญิงอันซีก็พาคณะเดินทางตรงเข้าไปยังจวนทูตที่อยู่ไม่ห่างจากวังหลวงและตำหนักองค์หญิงไม่มากนัก คณะของม่อซิวเหยาต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงมิได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าหนานจ้าวอ๋องที่วังหลวงโดยทันที
องค์หญิงอันซีนำพวกเขาเข้าไปพักยังเรือนหนึ่งในจวนทูตที่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วด้วยตนเอง ทั้งยังสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนทูตคอยดูแลรับรองทุกคนให้ดี
เมื่อเห็นองค์หญิงอันซีใส่ใจถึงเพียงนี้ เยี่ยหลีจึงยิ่งรู้สึกละอายใจในความไม่มีน้ำใจของพี่ใหญ่
เมื่อได้รับสายตาขอลุแก่โทษจากเยี่ยหลี องค์หญิงอันซีก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ ก่อนหันไปมองผู่อาที่กำลังพูดคุยอยู่กับม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินอยู่ไม่ไกล ทั้งม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินต่างเชี่ยวชาญภาษาชนเผ่าในหนานเจียงอยู่ไม่น้อย เมื่อถึงคราพูดคุยกับผู่อาจึงไม่มีอุปสรรคทางด้านภาษา
จากจุดที่เยี่ยหลียืนอยู่เห็นว่าทั้งสามดูจะพูดคุยกันถูกคอ เพียงแต่เมื่อต้องอยู่ตรงกลางระหว่างม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉิน บุรุษหนุ่มผู้นั้นจึงยิ่งดูไม่โดดเด่นขึ้นไปอีก
องค์หญิงอันซีทำได้เพียงถอนใจเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องและชิงเฉินล้วนดีเลิศจนเกินไป หากคิดอยากหาคนที่โดดเด่นเทียบเท่าพวกเขา คงยากเสียยิ่งกว่ายาก ข้ากับผู่อาถือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขามิใช่คนจิตใจเลวร้าย ทั้งยังดีกับข้ามาตลอด แต่งงานกับเขาก็มิได้มีอันใดไม่ดี”
เยี่ยหลีพยักหน้า “สิ่งที่องค์หญิงเลือกถูกต้องแล้ว”
เพียงดูจากสีหน้าและท่าทางของผู่อา ก็ดูออกว่าเขาจะต้องให้ความสำคัญกับองค์หญิงอันซีเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน อีกทั้งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ดูเขาเองก็จะรู้ว่าองค์หญิงอันซีมีใจให้สวีชิงเฉิน แต่สายตายามที่เขามองสวีชิงเฉิน กลับมีเพียงความเศร้าหมองและเลื่อมใส ไม่มีแววริษยาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของเขา
องค์หญิงอันซีมีฐานะเป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว หนานจ้าวอ๋องในอนาคต หากสวีชิงเฉินเป็นคนหนานจ้าวและมีใจให้นาง นั่นย่อมเป็นคู่ครองที่เหมาะสม เพียงแต่ ถึงแม้สวีชิงเฉินจะชื่นชอบการออกเดินทางไปทั่วทิศมาตั้งแต่เด็ก แต่อย่างไรท้ายสุดแล้วเขาก็ต้องกลับไปยังตระกูลของตน แต่องค์หญิงอันซี ด้วยเพราะมีฐานะเป็นรัชทายาทหญิง อย่างไรก็ไม่สามารถอยู่ไกลจากหนานจ้าว ตามสวีชิงเฉินกลับตระกูลสวีไปได้ ส่วนคุณชายใหญ่ตระกูลสวี ที่มากด้วยการศึกษาเป็นที่เลื่องลือไปทั้งใต้หล้า หากให้เขามาใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นหนานจ้าวไปตลอดชีวิต เกรงว่าก็คงรู้สึกไม่สบายใจนักเช่นกัน
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ…สวีชิงเฉินผู้นี้ถึงแม้จะดูอบอุ่นน่าเข้าใกล้คบหา แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นคนเฉยๆ และรักสันโดษ นอกเสียจากจะเป็นคนที่เขาใส่ใจ เขาย่อมคอยปกป้องคุ้มครองทุกวิถีทาง แต่สำหรับคนที่เขาไม่ใส่ใจแล้ว กลับจะเฉยชาเป็นอย่างยิ่ง หลายคราที่บางครั้งกำลังจมดิ่งอยู่ในความอบอุ่นประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิของเขา แต่เอาเข้าจริงเขากลับเหินห่างไกลไปเป็นพันลี้แล้ว
เยี่ยหลีคิดว่า หากองค์หญิงอันซีได้แต่งงานกับสวีชิงเฉินจริง ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสุขมากกว่าแต่งงานกับผู่อา คนที่ถูกรักอย่างไรก็มีความสุขกว่าการรักคนอื่นวันยังค่ำกระมัง แน่นอนว่าหากสามารถทั้งถูกรักและรักคนผู้นั้นเข้าพอดี ก็คงยิ่งดีเข้าไปใหญ่
องค์หญิงอันซีมองเยี่ยหลีแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม “อันที่จริงคนที่ข้าอิจฉาที่สุดก็คือชายาติ้งอ๋อง เกรงว่าสตรีในใต้หล้าทุกคน คงนึกอิจฉาชายาติ้งอ๋องเช่นกัน”
เยี่ยหลีหันไปมองม่อซิวเหยาทีเหนึ่ง ก็พอดีกับที่ม่อซิวเหยาหันมามองนางพอดี เมื่อทั้งสองได้สบตากันก็อดระบายยิ้มให้กันไม่ได้ ความอบอุ่นไหลผ่านไปมาระหว่างทั้งสองคน
เยี่ยหลีหันกลับมา ยิ้มเอ่ยกับองค์หญิงอันซีว่า “องค์หญิงก็สามารถเป็นเช่นข้าได้ ผู่อาจะต้องเป็นสามีที่ดีอย่างแน่นอน”
เยี่ยหลีมององค์หญิงอันซี แล้วยื่นมือไปกุมมือนางไว้ เอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็วางเรื่องอดีตลงแล้วทำเรื่องปัจจุบันให้ดีเถิด ที่จงหยวนมีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ดอกไม้เมื่อถึงเวลาตัดก็ต้องตัด อย่ารอจนไม่เหลือดอกไม้ แล้วค่อยมาตัด ถึงแม้จะไม่เหมาะกับสถานการณ์นี้สักเท่าไร แต่ก็พอฟังดูมีเหตุผล ผู่อามีใจให้องค์หญิง ในเมื่อองค์หญิงเลือกเขาแล้ว เชื่อว่าก็คงไว้ใจเขา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่จัดงานแต่งงานนี้ให้ดีเล่า ใจคนล้วนเกิดจากเลือดเนื้อ หากรอจนจิตใจคนด้านชาไปเสีย จะมาเสียใจทีหลังก็คงไม่ทัน ข้ากับท่านอ๋องเดิมทีก่อนแต่งงานก็เคยพบหน้ากันเพียงหนึ่งครั้ง อย่างไรพวกท่านก็ดีกว่าพวกข้ามากนักมิใช่หรือ”
องค์หญิงอันซีพยักหน้า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ชายาติ้งอ๋อง ขอบใจมาก”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ปรายตามองไปทางสวีชิงเฉินที่ยืนอยู่ด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่สง่างาม ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ส่วนคนผู้นั้น ท่านอย่าได้เอาเรื่องเอาราวอันใดกับเขานักเลย ท่านป้าสะใภ้ต่อว่าเขาอยู่ทุกวัน ในเมืองหลีไม่รู้มีสตรีจำนวนมากน้อยเพียงใดที่ถูกเขามองข้ามไป ข้าเดาว่าในเมืองหลียามนี้ มีสตรีอยู่อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ที่สาปแช่งเขาอยู่ที่บ้านทุกวัน”
องค์หญิงอันซีรับฟังด้วยความสนใจ เอ่ยด้วยความใคร่รู้ว่า “สาปแช่งเขาว่าอันใดหรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หากมิใช่สาปแช่งเขาให้ไม่ได้แต่งงานไปชั่วชีวิต ก็น่าจะสาปแช่งให้วันใดเขาเกิดชอบสตรีนางใดเข้า ขอให้อีกฝ่ายไม่ปรายตามองเขาอันใดเทือกๆ นี้กระมัง ถึงอย่างไรหากข้าเป็นสตรีแล้วถูกคนมองข้ามเช่นนี้ ข้าก็คงสาปแช่งเขาเช่นนี้เช่นกัน!”
ในที่สุดองค์หญิงอันซีก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ความเศร้าใจและเจ็บปวดที่เคยอยู่บนใบหน้าก็หายไปมากทีเดียว เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ขอให้เขาไม่ได้แต่งงานไปชั่วชีวิต ดูจะโหดร้ายเกินไปจริงๆ เช่นนั้นก็สาปแช่งเขาว่าหากเขาชอบสตรีนางใด ให้อีกฝ่ายเมินเฉยไม่สนใจเขาก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นแววขบขันและแววสบายใจในดวงตาขององค์หญิงอันซี เยี่ยหลีก็ค่อยเบาใจ ไม่ว่าอย่างไร ปล่อยวางได้ก็ดีที่สุด