ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 237-2 ดักปล้นซื่อจื่อ
เมื่อทั้งสองกลับไปถึงเรือนที่องค์หญิงอันซีจัดไว้ให้พวกเขาพักผ่อน สวีชิงเฉินก็รอพวกเราอยู่ที่ลานก่อนแล้ว
คุณชายชิงเฉินล่องลอยอยู่ในชุดสีขาว นั่งสบายๆ อยู่ตรงโต๊ะม้าหินใต้ต้นไม้ พลางชงชาไปด้วย แค่เพียงเหลือบตาขึ้นมองทั้งสองเรียบๆ ความรู้สึกผิดในใจก็พุ่งขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีรู้สึกผิด แต่ม่อซิวเหยากลับไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความรู้สึกผิด จูงเยี่ยหลีไปนั่งลงบนโต๊ะอย่างขัดเขิน
สวีชิงเฉินเทน้ำชาให้ทั้งสองคนละถ้วย ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องและพระชายา ที่ไปเที่ยวเล่นกันครานี้ เพลิดเพลินดีหรือไม่”
“พอไหว แต่เวลาออกจะสั้นเกินไปสักหน่อย” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ
สวีชิงเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็น ก่อนปรายตามองเยี่ยหลีเรียบๆ
เยี่ยหลีรู้สึกผิดจนต้องลอบยื่นมือไปจับแขนม่อซิวเหยาไว้ จู่ๆ พวกเขาก็พากันออกไปนอกเมือง เรื่องที่ต้องจัดการก็ยกให้พี่ใหญ่จัดการทั้งหมด หากพี่ใหญ่จะโกรธจัดก็เป็นเรื่องธรรมดา
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนหันไปเล่าเรื่องที่ได้ยินได้เห็นมาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงให้สวีชิงเฉินฟังรอบหนึ่ง
เมื่อสวีชิงเฉินฟังจบ ในที่สุดบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ก็มีสีหน้าที่ดูจะไม่ใช้คุณชายชิงเฉินเอาเสียเลยปรากฏอยู่ สีหน้าสวีชิงเฉินบึ้งตึงอย่างน้อยครั้งยิ่งนักที่จะได้เห็น กัดฟันเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกำลังบอกข้าว่า เมื่อท่านได้รู้เรื่องสำคัญเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ท่านคิดได้ มิใช่การรีบกลับมาจัดการ แต่เป็นการพาพระชายาอ้อมไปเที่ยวเล่นต่ออย่างนั้นหรือ”
ม่อซิวเหยามองเขาอย่างไม่รู้สึกผิด “มีอันใดไม่ถูกหรือ” พูดจบยังหันไปทำหน้าสงสารใส่เยี่ยหลี ดูสิ พี่ใหญ่เจ้าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องแท้ๆ
เยี่ยหลีกรอกตาขึ้นฟ้า
แต่สวีชิงเฉินยังไม่หายโกรธ “ท่านมีสมองหรือไม่กันแน่ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงมียอดฝีมืออยู่จำนวนเท่าไร มีอันตรายอยู่มากน้อยเพียงใด ล้วนไม่มีผู้ใดรู้ ท่านกล้าพาหลีเอ๋อร์ลักลอบเข้าไปเฉยๆ ได้อย่างไร หากท่านอยากหาที่ตาย ก็ไม่ต้องพาหลีเอ๋อร์ไปด้วย!”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ข้างในไม่เห็นมีผู้ใดเลยนี่ ข้ากับอาหลีเข้าไปเดินดูจนทั่วรอบหนึ่ง ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเข้า”
สวีชิงเฉินยิ้มเยาะ “นั่นเพราะท่านโชคดี พวกท่านเพิ่งไปได้วันเดียว ซูม่านหลินก็ลอบนำยอดฝีมือจากด้านนอกเข้ามาในเมืองหนานจ้าวนับร้อยคน”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อื้ม โชคเข้าข้างข้าเสมอ”
เมื่อเห็นสีหน้าสวีชิงเฉินจะเปลี่ยนสีอีกครั้ง เยี่ยหลีก็รีบรินชาให้เขา “พี่ใหญ่ ใจเย็นๆ…ท่านอ๋อง! นางกวาดตามองม่อซิวเหยาเพื่อเป็นการเตือน
ม่อซิวเหยาเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ อาหลีลำเอียงเป็นที่สุดเลย
เมื่อเห็นสีหน้าบุรุษทั้งสอง ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากัน เยี่ยหลีก็ได้แต่ถอนใจด้วยความจนใจ คงจะไปหวังอันใดกับม่อซิวเหยาไม่ได้ ตนจึงเอ่ยปากเล่าเรื่องในตอนท้ายให้จบ
เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยถึงเรื่องดอกโยวหลัวหมิง สวีชิงเฉินก็ไม่สนใจที่จะใส่อารมณ์กับม่อซิวเหยาอีก คิ้วงามขมวดมุ่น เอ่ยเสียงขรึมว่า “ม่อจิ่งหลีคิดจะใช้สิ่งนั้นกับฝ่าบาท?”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น หลายปีมานี้คู่พี่น้องม่อจิ่งฉีดูเหมือนรักใคร่ปรองดองกันดี แต่เอาเข้าใจกลับต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่ได้หยุด ม่อจิ่งหลีครอบครองพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดครึ่งหนึ่งทางตอนใต้ของต้าฉู่ จะยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าคนคนเดียวได้อย่างไร เชื่อว่าเขาคงรอไม่ไหวแล้ว”
สวีชิงเฉินหัวเราะเยาะทีเหนึ่ง “โง่เง่า! ก็เห็นชัดๆ ว่าคนหนานเจียงไม่ได้หวังดี ม่อจิ่งหลีคิดว่าเขาใช้วิธีนี้ทำให้ม่อจิ่งฉีตาย เขาก็จะไม่ตกอยู่ในมือซูม่านหลินแล้วงั้นหรือ”
ต้าฉู่ไม่เหมือนกับหนานเจียง สิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดก็คือขนบธรรมเนียมและความกตัญญู การที่ม่อจิ่งฉีวางเล่ห์เหลี่ยมทำร้ายพี่ชายที่เป็นประมุข หากข่าวเช่นนี้แพร่ออกไป เขาก็อย่าคิดว่าจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างมั่นคงเลย สู้ยกทัพขึ้นก่อกบฏเลยเสียยังจะดีกว่า หากถึงยามนั้น คนหนานจ้าวใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ ม่อจิ่งหลีก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
“ซูม่านหลินช่างวางแผนได้ดียิ่งนัก พี่ใหญ่มีข่าวถานจี้จือบ้างหรือยัง” เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ
สวีชิงเฉินพยักหน้า “ข้าพอรู้จักซูม่านหลินอยู่บ้าง นางไม่มีปัญญาคิดเช่นนี้เองหรอก เชื่อว่าคงเป็นถานจี้จือที่อยู่เบื้องหลังคอยวางแผนให้นาง กำจัดองค์หญิงอันซีและได้หนานจ้าวไว้ในครอบครอง จากนั้นก็คอยควบคุมม่อจิ่งหลีและต้าฉู่อยู่เบื้องหลัง ช่างเป็นความคิดที่แยบยลยิ่งนัก เพียงแต่เขาดูจะคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นจนเกินไป”
เยี่ยหลีหันไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาว่า “ซิวเหยา ท่านมีความคิดเช่นไร”
ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ แย้มยิ้มอย่างเกียจคร้าน “ข้าจะมีความคิดอันใดได้ พวกเขาพี่น้องแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้กัน แล้วเกี่ยวอันใดกับคนนอกอย่างพวกเราด้วย” เขาพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่าเขาจะไม่ยุ่ง
สวีชิงเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ม่อซิวเหยามีความแค้นฝังลึกประหนึ่งมหาสมุทรกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่ ที่ม่อซิวเหยาไม่ยกทัพไปบุกตั้งแต่แรก ก็ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจแล้ว เขาย่อมไม่มีทางไปช่วยเหลือม่อจิ่งฉี
ตั้งแต่ม่อจิ่งฉีขึ้นครองราชย์ ก็คอยขัดขวางม่อซิวเหวินและม่อซิวเหยามาโดยตลอด เกรงว่าเขาคงคิดไม่ถึงว่า คนที่ต้องการเอาชีวิตเขามากที่สุดจะเป็นน้องชายแท้ๆ ร่วมบิดามารดาเดียวกันกระมัง
เมื่อคิดแล้ว สวีชิงเฉินจึงพยักหน้า “เอาเถิด เรื่องนี้พวกเราไม่เข้าไปยุ่งก็ถูกแล้ว”
ในเมื่อซีเป่ยได้ตัดขาดกับต้าฉู่แล้ว เช่นนั้นการไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในต้าฉู่เลยถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ถึงแม้ยามนี้แต่ละฝ่ายจะยังสงบเรียบร้อยไม่มีเรื่องอันใด แต่ทุกคนต่างรู้กันดีว่า ต้องมีวันใดสักวันหนึ่งที่ต้าฉู่กับซีเป่ยจะต้องทำสงครามกัน ระหว่างนี้หากซีเป่ยยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องภายในของต้าฉู่ ก็คงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ
“ครานี้เกรงว่าซูม่านหลินคงมิได้วางแผนทำอันใดเล็กๆ” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ซูม่านหลินย้ายกำลังพลฝีมือดีจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงมาเป็นร้อยคน สวีชิงเฉินก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
คนที่สามารถเข้าไปอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงได้ ย่อมต้องเป็นยอดฝีมือกันทั้งสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ที่สำคัญไปกว่านั้น คนหนานจ้าวเชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ ยิ่งทำให้ความอันตรายของพวกเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น และด้วยเพราะเหตุนี้ คนจงหยวนจึงไม่ชื่นชอบที่จะผูกสัมพันธ์กับชนเผ่าต่างๆ ของหนานเจียง ครานี้พวกเขาก็มิได้นำองครักษ์มามากนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง เกรงว่าคงยุ่งยากไม่น้อย
ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ยว่า “เกรงว่าองค์หญิงอันซีก็มิใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ กระมัง ยิ่งมีคุณชายชิงเฉินคอยชี้แนะ เชื่อว่าคงยิ่งประหนึ่งเสือติดปีก”
ที่องค์หญิงอันซีสามารถต่อกรกับซูม่านหลินมาได้หลายปี โดยที่ไม่เพลี้ยงพล้ำ ทั้งๆ ที่หนานจ้าวอ๋องออกจะลำเอียงเพียงนั้น ย่อมมิใช่คนที่จะให้ผู้อื่นบีบขยำได้ง่ายๆ
สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “องค์หญิงอันซีบอกกับข้าไว้ว่า ผู่อาและชนเผ่าของท่านตาของนาง ส่งคนฝีมือดีมาจำนวนไม่น้อย อีกทั้งหลายปีมานี้ ในมือนางก็มีทหารที่จงรักภักดีแม้ตัวตายอยู่อีกไม่น้อย เพียงแต่งานอภิเษกครานี้…” งานมงคนอย่างงานอภิเษก เกรงว่าคงยากที่จะไม่เปื้อนเลือดเสียแล้ว
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “คนหนานจ้าวไม่เชื่อเรื่องนี้ เชื่อว่าเขาคงไม่ถือสา”
สวีชิงเฉินจนใจ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าถือสาไม่ถือสาหรอกหรือ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานของผู้ใด หากมีคราบเลือดกระสานซ่านเซ็นดังสายฝน ก็คงไม่มีผู้ใดยินดีหรอกกระมัง
เยี่ยหลียกแขนขึ้นเท้าบนโต๊ะ เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงจัดงานอภิเษกในครานี้ขึ้นก็เพื่อต้องการจัดการกับซูม่านหลิน”
สวีชิงเฉินอึ้งไป “หมายความเช่นไร”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่รู้สิ แค่เพียงรู้สึกว่างานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซีเกิดขึ้นกะทันหันจนเกินไป อีกทั้ง…ยังได้ลอบนำยอดฝีมือมาคอยช่วยเหลือ หากมิใช่เพราะองค์หญิงอันซีรู้อยู่ก่อนแล้ว ก็คงเป็นว่านางตั้งใจทำให้ซูม่านหลินหัวหมุน เพียงแต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร หนานจ้าวอ๋องก็ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้องค์หญิงอันซีชนะ ก็คงไม่อาจฆ่าซูม่านหลินได้อยู่ดี”
ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ยว่า “เกรงว่าองค์หญิงอันซีคงถูกซูม่านหลินและหนานจ้าวอ๋องบีบอย่างหนัก จนไม่อาจไม่ลองเสี่ยงใช้กำลังทหารได้ พวกท่านได้ทันสังเกตกันหรือไม่ หนานจ้าวอ๋องดูจะเรียกได้ว่าเมินเฉยต่อผู่อาเลยทีเดียว ซึ่งก็หมายความว่า งานอภิเษกสมรสในครานี้ หนานจ้าวอ๋องมิได้เห็นด้วยนัก ในใจหนานจ้าวอ๋อง…เกรงว่าคงคิดอยากถอดยศองค์หญิงอันซี”
“หนานจ้าวอ๋องไม่มีบุตรธิดาคนอื่น หากถอดยศองค์หญิงอันซี…”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ก็ต้องแต่งตั้งซูม่านหลินน่ะสิ ธิดาเทพแห่งหนานเจียงมีฐานะเฉพาะอยู่ในหนานจ้าว ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีธิดาเทพได้ครอบครองตำแหน่งประมุขเป็นการชั่วคราว ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สั้นนักก็ตาม อีกอย่าง หลายปีมานี้ ซูม่านหลินก็ได้รับการยกย่องให้เป็นดาวที่มาคอยเกื้อหนุนหนานจ้าว สิทธิที่ถูกจำกัดก็น้อยนักหากเทียบกับธิดาเทพรุ่นก่อนๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย หลายปีมานี้อิทธิพลของนางในราชสำนักก็ค่อยๆ มากขึ้นจนสามารถแบ่งพรรคแบ่งพวกงัดข้อกับองค์หญิงอันซีได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้…การเกลี้ยกล่อมให้หนานจ้าวอ๋องแต่งตั้งรัชทายาทหญิงอีกคนหนึ่งขึ้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เยี่ยหลีถอนหายใจด้วยความจนใจ การต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ แค่ได้ยินก็เหนื่อยแล้ว การที่สตรีนางหนึ่งอย่างองค์หญิงอันซีต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีศัตรูรายล้อมอยู่ และยังสามารถยืนหยัดมาได้เช่นนี้ ก็ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
“ความหมายของติ้งอ๋องคือ?”
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่ารัชทายาทหญิงมิอาจถอดถอน ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็จะตายไม่ได้”
สวีชิงเฉินเงียบไป ม่อซิวเหยาอยากปล่อยให้พวกนางต่อสู้กันต่อไป เพื่อกันไม่ได้หนานจ้าวอยู่ว่างๆ จนคิดอยากหาเรื่องอื่นมาทำ เพราะถึงอย่างไร คนหนานจ้าวก็คอยจับจ้องจงหยวนตาเป็นมันอยู่แล้ว ถึงแม้ยามนี้ต้าฉู่จะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับกองทัพตระกูลม่อ แต่ก็จะปล่อยให้หนานจ้าวจ้องมองด้วยความกระหายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้