ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 253-1 ฉีกหน้า ที่มาที่ไปของเหรินฉีหนิง
พอเห็นม่อซิวเหยาออกมาจากบ้านตระกูลมู่หรง เยี่ยหลีถึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทั้งสองกลับออกจากบ้านตระกูลมู่หรง ม่อซิวเหยาหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทาง เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องกวนใจอยู่
“ซิวเหยา เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบา
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล่าเรื่องที่ได้ยินจากในบ้านตระกูลมู่หรงเมื่อครู่ให้นางฟัง
เขาได้ยินอันใดไม่มากนัก ด้วยเพราะเกรงกลัวมู่หรงสยง จึงไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไปนัก แต่ประโยคที่มู่หรงสยงเอ่ยว่า เจ้าคือหลินย่วนนั้น เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน บางทีอาจด้วยเพราะมู่หรงสยงถือตนว่ามีวรยุทธแก่กล้าที่สุดในใต้หล้า จึงมิได้กดน้ำเสียงของตนลงสักเท่าไร
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ตกใจไม่น้อย “เหรินฉีหนิงเป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ก่อน…หรือว่าเขาเป็นพี่น้องกับถานจี้จือ”
ทั้งสองอายุใกล้เคียงกัน ราชวงศ์ก่อนล่มสลายไปสองร้อยปีได้แล้ว หากบอกว่า จู่ๆ มีบุตรกำพร้าของราชวงศ์ก่อนปรากฏกายขึ้นพร้อมกันถึงสองคน ก็ดูจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่มีทาง หากเป็นพี่น้องกัน ไม่มีทางที่จะชื่อหลินย่วนทั้งสองคน อีกอย่าง เหรินฉีหนิงยามที่เอ่ยถึงถานจี้จือ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างยิ่ง”
หากเป็นพี่น้องกันจริง ต่อให้ไม่พอใจเพียงไรก็ไม่มีทางเอ่ยถึงด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น น้ำเสียงของเหรินฉีหนิง ฟังดูย่ำแย่เสียจนเรียกบ่าวไพร่สักคนก็ไม่ปาน
“ดูท่าคงต้องสืบเรื่องเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ก่อนให้ดีเสียแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
ม่อซิวเหยาพยักหน้าเห็นด้วย “ไปกันเถิด กลับไปบอกเรื่องนี้กับพี่ใหญ่เจ้ากัน”
เมื่อได้ฟังข่าวที่ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีนำมาบอก คุณชายชิงเฉินกลับไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นท่าทางสุขุมเยือกเย็นของคุณชายชิงเฉิน ติ้งอ๋องก็รู้สึกว่าตนยุ่งไม่เข้าเรื่องขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีเอ่ยกับสวีชิงเฉินด้วยความกังวลว่า “พี่ใหญ่?”
สวีชิงเฉินอมยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป แค่เหรินฉีหนิงคนเดียว ไม่ทำให้เรื่องใหญ่เสียหรอก”
ม่อซิวเหยากอดเยี่ยหลีไว้ กดคางลงบนหัวไหล่นางพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เหรินฉีหนิงพูดด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมทีเดียว คุณชายชิงเฉินไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับคุณหนูมู่หรง ยามนี้มิได้มีทายาทเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้ที่ยินดีจะแต่งงานกับนางแล้วหรอกหรือ”
สวีชิงเฉินเคาะโต๊ะเล่นเบาๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นสบายประหนึ่งดอกหลี “เหรินฉีหนิงมีความสามารถพอที่จะข่มขู่ซีหลิง ต้าฉู่ เมืองหลีและสำนักเยี่ยนอ๋องต่อหน้าหรือ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าคิดที่จะโต้แย้งเขา “หากเขามีเล่า”
หางตาสวีชิงเฉินยกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “หากเขามีความสามารถนั้น ยกธงรบขึ้นกอบกู้แคว้นเลยก็สิ้นเรื่อง เหตุใดถึงจะต้องแต่งงานกับมู่หรงหมิงเหยียนให้ได้”
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นลูบจมูกด้วยความจนใจ การถกเถียงกับคนฉลาด ช่างเสียแรงเปล่าเสียจริง “เช่นนั้นท่านคิดว่าเขาจะทำเช่นไร”
สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “รีบโยกย้ายทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง ช่วยได้เท่าไรก็เท่านั้น”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “มู่หรงสยงจะยอมให้ผลเป็นเช่นนี้หรือ”
ด้วยนิสัยของมู่หรงสยง ดูท่าแล้ว ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน จะยอมรับให้ผลเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้สามารถรักษาตระกูลมู่หรงไว้ได้ เกรงว่าก็ยังต้องตัดเนื้อออกไปหลายชั้น
สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “เหรินฉีหนิงก็มิใช่เทพมาจากที่ใด หากตระกูลมู่หรงไม่อยากให้ตระกูลล่มสลายลง ก็จำต้องยอมรับข้อเสนอของเขา คนผู้นี้…ถึงแม้ครานี้จะยังไม่ต้องกังวลกับเขามากนัก เพียงแต่ท่านอ๋อง…ต่อไปคงต้องคอยระวังคนผู้นี้ไว้ให้ดี ข้าน้อยมีลางสังหรณ์ว่า คนผู้นี้คงจัดการยากกว่าถานจี้จือสักสิบเท่าได้”
แต่ไหนแต่ไรมา ม่อซิวเหยาไม่เคยเห็นถานจี้จืออยู่ในสายตา อีกทั้งยามนี้ องค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์ ซูม่านหลินก็ถูกประหารไปแล้ว ถานจี้จือยังไม่รู้ว่าหลบไปเป็นหมาตกน้ำอยู่ที่ใดเลย แต่ในเมื่อสวีชิงเฉินยังเริ่มระวังเขาแล้ว ม่อซิวเหยาย่อมไม่มองข้ามเขา
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราก็ส่งคนออกไปสืบจนทั่วแล้ว ทั้งต้าฉู่ ซีหลิง หรือแม้กระทั่งหนานจ้าว แต่สืบไม่พบเรื่องราวของเหรินฉีหนิงผู้นี้เลย คนผู้นี้ปานประหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาเฉยๆ ในเมื่อเขามีความมั่นใจว่าสามารถช่วยเหลือตระกูลมู่หรงได้ ในมือจะต้องมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่เหตุใดถึงสืบไม่พบเสียได้”
เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยได้ปากขึ้นว่า “หากมิใช่เพราะพวกเราหาไปไม่สุด ก็คงเป็นเพราะ…เขามิได้อยู่ในอาณาเขตที่พวกเราจะหาพบ”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป “มิได้อยู่ในต้าฉู่และซีหลิง…หรือว่าเป็นเป่ยหรง? ไม่ถูก คนเป่ยหรงมีนิสัยกีดกันคนภายนอก อีกทั้งคนจงหยวนก็ยากนักที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่นอกอาณาเขต เช่นนั้น…”
ภายในห้องเงียบสงัดลงทันที ทั้งสามหันมาสบตากัน ก่อนเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ตงเป่ย *!”
พื้นที่ทางเขตตงเป่ยของต้าฉู่ ผู้คนพากันเรียกว่าเป็นพื้นที่นอกชนเผ่าเช่นเดียวกับพื้นที่ทางชายแดนส่วน อื่นๆ คนจงหยวนเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป่ยจิ้ง ** เดิมทีพื้นที่บริเวณนั้นมีชนเผ่าเล็กชนเผ่าน้อยรวมตัวกันอยู่จำนวนไม่น้อย เกิดข้อพิพาทระหว่างกันอยู่หลายครั้ง ซึ่งต้าฉู่ไม่คิดจะสนใจ ส่วนเป่ยหรงก็ไม่มีความสามารถพอจะไปควบคุมอันใดได้ ภูมิศาสตร์ทางเป่ยจิ้งมิได้เป็นพื้นที่ราบ ทุ่งหญ้ากว้างอย่างเป่ยหรง แต่เต็มไปด้วยภูเขาและป่า
ตั้งแต่ติ้งอ๋องแยกตัวออกจากต้าฉู่ ช่วงปลายปีที่ผ่านมานี้ชนเผ่าต่างๆ ทางเป่ยจิ้งดูเหมือนจะเริ่มรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมา อีกทั้งยังค่อยๆ กลืนกินพื้นที่ทางชายแดนของต้าฉู่ หากเป็นเมื่อก่อน ม่อซิวเหยาคงจับตามองพื้นที่บริเวณนี้เสียนานแล้ว แต่ตั้งแต่ประกาศตัดขาดจากต้าฉู่ จุดที่ม่อซิวเหยาต้องคอยระวังจึงเป็นพื้นที่ทางซีเป่ยและบริเวณชายแดนที่ติดกับแคว้นโดยรอบ ต้าฉู่ไม่ใช่พื้นที่ที่เขาจะสนใจและไม่ยินดีจะเข้าไปสนใจอีก
“ไปสืบ!” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม
“ข้าน้อยรับบัญชา” มีเสียงตอบรับมาจากมุมมืด
ม่อซิวเหยาสีหน้านิ่งขรึม “หากเหรินฉีหนิงกล้านำคนต่างเผ่าผ่านด่านเข้ามา…ข้าจะทำให้คนแซ่หลินต้องไร้คนสืบสกุล!”
ไม่ว่าม่อซิวเหยาจะไม่พอใจต้าฉู่อย่างไร หรือแม้กระทั่งยามนี้ต้าฉู่จะเปลี่ยนราชวงศ์ก็ไม่มีอันใดเกี่ยวกับเขาแล้ว แต่การเปลี่ยนราชวงศ์ที่ว่านั่นก็จะต้องเป็นคนจงหยวน การอบรมสั่งสอนที่ได้รับต่อๆ กันมาทุกรุ่นนั้น ทำให้พวกเขากีดกันคนต่างเผ่าฝังเข้าไปในกระดูก โบราณกล่าวไว้ว่า คนต่างเผ่า อย่างไรใจก็คิดต่างกัน คนจงหยวนด้วยกันเอง ไม่ว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็ล้วนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของตนต่อไปได้ แต่หากเป็นคนต่างชนเผ่า ก็คงแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
เยี่ยหลีตบแขนม่อซิวเหยาเบาๆ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของม่อซิวเหยาถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น เขาหันไปยิ้มอย่างขอลุแก่โทษให้สวีชิงเฉิน “ข้าไม่ทันระวังกิริยา พี่สวีอย่าได้ถือโทษ”
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็ไม่ค่อยพอใจเช่นเดียวกัน”
สวีชิงเฉินได้รับการอบรมสั่งสอนแบบดั้งเดิมโดยแท้มายิ่งกว่าผู้ใด จึงรู้สึกกีดกันคนต่างเผ่าเสียยิ่งกว่าม่อซิวเหยา ดังนั้นตระกูลสวีจึงไม่เคยแต่งงานกับคนต่างเผ่ามาก่อน ต่อให้มีมิตรไมตรีกับองค์หญิงอันซี แต่ยามที่ต้องลงมือ สวีชิงเฉินก็ไม่เคยเกิดความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องนี้ ควรบอกให้ต้าฉู่รู้หรือไม่” สวีชิงเฉินเอ่ยถามม่อซิวเหยาด้วยความลังเล
ม่อซิวเหยาส่งเสียหึเบาๆ “ส่งคนไปบอกเจ้าทึ่มม่อจิ่งฉีนั่นสักหน่อย ส่วนเขาจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว”
สวีชิงเฉินพยักหน้ารับคำ
“ในเมื่อคุณชายเหรินมีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าเองก็อยากรู้ว่าจะเขาจะจัดการได้รวดเร็วเพียงใด ใครก็ได้ ไปแจ้งแก่เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อและเจ้าสำนักหลิง พรุ่งนี้ให้ลงมือ!” สวีชิงเฉินเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ!”
เมื่อใดก็ตามที่หักหน้าลงมือกันขึ้นมาแล้ว ก็จะต้องทำด้วยความรวดเร็ว หนังสือยึดทรัพย์จากเจิ้นหนานอ๋องถูกส่งไปยังร้านค้าทุกร้านของตระกูลมู่หรงในซีหลิง เดิมทีเจิ้นหนานอ๋องไม่เห็นด้วย เพราะหากทำเช่นนี้ จะเกิดความสั่นคลอนอย่างมากต่อการค้าและการใช้ชีวิตของชาวบ้านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แต่เมื่อคุณชายชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เช่นนั้นท่านอ๋องคิดจะคอยให้เหรินฉีหนิงเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของตระกูลมู่หรงไปหมดเสียก่อนแล้วค่อยลงมือหรือ”
เจิ้นหนานอ๋องจึงมิอาจไม่รับข้อเสนอนี้ได้ หากเหรินฉีหนิงเป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อนจริง คนที่มีความแค้นกับเหรินฉีหนิงคงมิได้มีเพียงแค่ต้าฉู่หรือตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ยามที่ราชวงศ์ก่อนล่มสลายนั้น ซีหลิงก็เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“สวีชิงเฉิน!” ด้านนอกบ้านตระกูลมู่หรง มู่หรงสยงกับประมุขตระกูลมู่หรงมองบุรุษที่ดูประหนึ่งเทพลอยได้ตรงหน้า จ้องเขาเขม็งจนตาแทบถลน มู่หรงหมิงเหยียนน้ำตาไหลไม่ขาดสาย ดูเสียอกเสียใจเป็นยิ่งนัก
สวีชิงเฉินยิ้มอย่างสุภาพ ประสานมือให้ทั้งหมดที่อยู่ด้านหน้าอย่างมีมารยาท “ผู้อาวุโสมู่หรง ประมุขมู่หรง คุณชายเหริน”
เหรินฉีหนิงมีสีหน้าบึ้งตึง หลายวันนี้เขาลอบเตรียมการไว้ไม่น้อย แต่กลับคาดไม่ถึงว่า สวิชิงเฉินจะลงมือทำอันใดรวดเร็วเช่นนี้
เขาหันมองเจิ้นหนานอ๋องและหลิงเถี่ยหานที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉินแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชายชิงเฉินช่างเป็นคนไม่ธรรมดาจริงๆ ได้ยินว่าเจ้าสำนักหลิงมีความโกรธเคืองกับเจิ้นหนานอ๋องอยู่มาก ไม่คิดว่ายามนี้จะมายืนอยู่ด้วยกันได้ เชื่อว่า คงด้วยเพราะการลงทุนลงแรงของคุณชายกระมัง”
สวีชิงเฉินอมยิ้ม “ใต้หล้ารุ่งเรืองล้วนเพราะมีผลประโยชน์ ใต้หล้าวุ่นวายก็ด้วยเพราะผลประโยชน์หายไป ให้คุณชายเหรินต้องเห็นขันแล้ว”
สวีชิงเฉินพูดได้เห็นภาพทุกอย่างอย่างชัดเจน พวกเขาสนใจในทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลของตระกูลมู่หรง เจ้าจะทำอย่างไร
ประมุขมู่หรงก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ชี้หน้าสวีชิงเฉินพร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “คุณชายชิงเฉิน ตระกูลมู่หรงของข้าปฏิบัติต่อท่านด้วยดี ท่านทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าฟ้าดินจะลงโทษหรือ”
สวีชิงเฉินถอนใจอย่างจนใจ “ประมุขมู่หรงอภัยด้วย ข้าน้อยกับตำหนักติ้งอ๋องถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน แต่อย่างไรก็ไม่มีเหตุที่จะต้องขายตนเองเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง แต่หากด้วยเพราะเหตุนี้ ทำให้ซีเป่ยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ก็เป็นความผิดของข้าน้อย ดังนั้น…จึงจำต้องทำเช่นนี้ เชื่อว่าประมุขมู่หรงคงจะเข้าใจ
“บังอาจ!” มู่หรงสยงเอ่ยตะคอกเสียงดัง กระโดดลอยตัวขึ้น พุ่งเข้าใส่สวีชิงเฉินที่ยืนอยู่หน้าสุด
เดิมทีครานี้ มู่หรงสยงมีความมั่นใจอยู่ท่วมท้นยุทธภพ ด้วยชื่อเสียงและวรยุทธของเขา ผู้คนล้วนควรเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อฟังเขา การที่สามารถทำให้เขาพอใจจนอยากให้แต่งงานเข้าตระกูลมู่หรง ย่อมเป็นความเมตตาและกรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่คิดว่าถึงกระนั้นเขาก็ยังมาพบกับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคนอย่างสวีชิงเฉิน ยามนี้งานแต่งงานไม่สำเร็จยังไม่ต้องพูดถึง แต่แม้แต่ตระกูลมู่หรงก็ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย