ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 256-2 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ
ไม่นาน องค์หญิงฉางเล่อก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ไม่ได้พบหน้ากันสองเดือน องค์หญิงน้อยที่เคยอ่อนหวานและสง่างาม ดูผ่ายผอมลงไปไม่น้อย โดยรวมแล้วก็ดูจะเติบโตขึ้นอีกมาก มีเพียงดวงตาที่เคยเป็นประกาย ยามนี้กลับดูหม่นแสงด้วยความเศร้าหมองขึ้นหลายส่วน
“คารวะชายาติ้งอ๋อง” องค์หญิงฉางเล่อยอบตัวลงทำความเคารพ
เยี่ยหลีก้าวเข้าไปจับนางไว้ มองสำรวจนางขึ้นลงพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงดูจะผ่ายผอมลงไปไม่น้อย บ่าวไพร่ดูแลไม่เรียบร้อยหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อรีบส่ายหน้า “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว คนในตำหนักติ้งอ๋องดีกับอู๋โยวมาก”
เมื่อติดตามคณะของเฟิ่งจือเหยากลับมาถึงเมืองหลี องค์หญิงฉางเล่อก็ได้ละทิ้งพระนามขององค์หญิงเดิม มาให้ชื่อเล่นที่ฮองเฮาตั้งให้ ดังนั้นนอกจากเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้ง กับคนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามไปหนานจ้าวแล้ว คนอื่นๆ ในตำหนักติ้งอ๋องต่างพากันเรียกนางว่าคุณหนูอู๋โยว แม้ต่แซ่ม่อก็มิได้เอ่ยถึงอีก
เยี่ยหลีมององค์หญิงฉางเล่อที่ดูโตขึ้นมากในชั่วเวลาไม่นาน ในใจเยี่ยหลีก็แต่ถอนใจด้วยความจนใจ จับจูงองค์หญิงฉางเล่อให้นั่งลงพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้ถูกรังแกก็ดีแล้ว หากมีเรื่องอันใดที่บ่าวไพร่จัดการไม่เรียบร้อยก็รีบมาบอกข้า หรือจะบอกหัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือพวกจั๋วจิ้งก็ได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้ตนเองลำบากได้ รู้หรือไม่”
ดวงตาองค์หญิงฉางเล่อแดงรื้นขึ้นทันที เอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งว่า “ทุกคนดีกับข้ามากแล้ว จะมีอันใดลำบากกัน ที่วันนี้ข้ามาก็เพื่อมาบอกลาพระชายา ข้าคิดจะ…ข้าคิดจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”
เยี่ยหลีอึ้งไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพราะเหตุใดกัน”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนดีกับข้ามาก แต่ถึงอย่างไรอู๋โยวก็เป็นคนนอก ตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ต่างไปจากที่อื่น ย้ายออกไปก็มีอิสระมากขึ้น”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อย่างกับว่าในตำหนักนี้ข้ากับท่านอาติ้งอ๋องของเจ้าจำกัดเสรีภาพอันใดเจ้ากระนั้นแหละ”
“มิได้…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…” องค์หญิงฉางเล่อดูร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย ประหนึ่งไม่รู้จะอธิบายให้เยี่ยหลีเข้าใจได้อย่างไรดี
อันที่จริงมิใช่ว่าเยี่ยหลีไม่เข้าใจความหมายของนาง ต่อให้นางกับม่อซิวเหยาไว้เนื้อเชื่อใจองค์หญิงฉางเล่อเพียงใด แต่นางก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของม่อจิ่งฉี ยามอยู่ในตำหนักคงมีบ้างที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้ง ถึงแม้ในเมืองหลีจะมีคนรู้จักองค์หญิงฉางเล่ออยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักนาง หากข่าวที่ว่าองค์หญิงฉางเล่ออาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องแพร่ออกไป ต่อไปไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนขึ้นอีก เพียงแต่เมื่อเห็นเด็กสาวที่อายุเพิ่งสิบสามสิบสี่ปีต้องมาขบคิดกับปัญหามากมายเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้
ดูเหมือนองค์หญิงฉางเล่อจะเข้าใจความคิดของเยี่ยหลี นางจึงคลี่ริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มที่สดใส จับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้ว่าที่ท่านทำเพราะหวังดีกับข้า แต่ว่าข้าโตแล้ว เมื่อมิได้อยู่กับเสด็จแม่กับพวกท่านตาแล้ว อย่างไรข้าก็ควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ ถึงจะทำให้พวกท่านวางใจมิใช่หรือ ข้าก็มิใช่ว่าจะไม่มีอันใดติดตัวเลย เสด็จแม่ให้เงินทองข้ามามากพอที่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต ก่อนพวกเขาจะไป ก็ได้ทิ้งคนที่ไว้ใจได้ของตระกูลฮว่าสองคน ไว้คอยดูแลข้า อีกอย่าง ข้าก็อยู่ในซีเป่ยนี้ อย่างไรชายาติ้งอ๋องก็คงไม่ปล่อยให้คนมารังแกข้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม ยื่นมือไปลูบผมเด็กสาวเบาๆ “เจ้าโตแล้วจริงๆ เสียด้วย แต่เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียว ต่อไปคิดจะทำอย่างไร”
องค์หญิงฉางเล่อเอียงคอใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับเยี่ยหลีอย่างแน่วแน่ว่า
“ข้าคิดอยากศึกษาวิชาแพทย์ ข้ารู้ว่าในซีเป่ยมิได้มีข้อจำกัดกับสตรีที่เข้มงวดเช่นเดียวกับต้าฉู่ ไว้รอข้าศึกษาวิชาจนเก่งกาจแล้ว ไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจเปิดโรงหมอสักโรง ไว้คอยตรวจโรคให้ผู้คนก็ได้”
เยี่ยหลีมองนางยิ้มๆ เลิกคิ้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเรียนกับผู้ใด จะคารวะขอเป็นศิษย์อย่างไร ท่านหมอในยามนี้ น้อยนักที่จะรับสตรีมาเป็นศิษย์ วิชาแพทย์เหล่านี้ก็มิใช่ศาสตร์ที่เจ้าจะอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่มแล้วจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษเข้าไปเป็นศิษย์ที่โรงหมอก็ได้ หรือไม่ก็…ข้าใช้เงินจ้างท่านหมอเก่งๆ มาสอนข้า เสด็จแม่บอกว่า ขอเพียงมีใจอยากเรียน อย่างไรก็จะหาทางเรียนรู้เอาจนได้ อีกอย่าง ข้าก็ใช่ว่าจะทำอันใดไม่เป็นเลย ข้าท่องตำราสมุนไพรได้และรู้จักตัวยาจำนวนมาก อย่างไรก็เก่งกว่าคนที่ไม่เป็นอันใดเลยกระมัง คงมีอาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ได้ง่ายขึ้น”
เมื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของแม่นางน้อยแล้ว เยี่ยหลีก็ยิ้มกว้างพลางเอ่ยเสียงเบากับนางว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าจะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง”
องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยความใคร่รู้
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ในตำหนักติ้งอ๋องมีท่านหมอเทวดาอยู่สองท่าน”
“อ๋า? ท่านหมอเทวดาเสิ่นที่รักษาท่านอาติ้งอ๋องจนหายดีน่ะหรือ แต่นี่ก็ตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เคยเห็นเขาเลยนี่” องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายทันที แต่ยังคงเอ่ยด้วยความสงสัย
เยี่ยหลียิ้ม “ท่านเสิ่นกับท่านหลินอยู่ว่างๆ ที่ตำหนักแล้วเกิดเบื่อ จึงย้ายออกไปอนู่ในเมืองและเปิดโรงหมอขึ้นโรงหนึ่ง หากเจ้าทำให้พวกเขายอมชี้แนะเจ้าได้ ย่อมไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเรียนวิชาแพทย์ไม่สำเร็จ”
ถึงแม้องค์หญิงฉางเล่อจะไม่รู้ว่าท่านหมอหลินคือผู้ใด แต่ชื่อเสียงของเสิ่นหยางกลับเป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ก็ตัดสินใจได้ทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมาก ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “ท่านเสิ่นกับท่านหมอหลินอาจไม่รับเจ้าเป็นศิษย์”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าจะต้องทำให้ท่านเสิ่นยอมรับข้าเป็นศิษย์ให้ได้!”
เยี่ยหลีมิได้เกลี้ยกล่อมอันใดนางอีก ถอนหายใจพลางตบเบาๆ ลงบนหลังมือขององค์หญิงฉางเล่อ “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอันใดให้มากอีก ไว้ข้าให้คนไปเลือกบ้านในละแวกตำหนักติ้งอ๋องให้เจ้าก็แล้วกัน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธอีกเชียว ในเมืองหลี หากมีคนคุ้นเคยของตำหนักติ้งอ๋องคอยจัดการให้ อย่างไรก็สะดวกสบายกว่า”
องค์หญิงฉางเล่อมิได้เอ่ยปฏิเสธอีก ดวงตาใสแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณชายาติ้งอ๋องมากแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วองค์หญิงฉางเล่อถึงได้ลุกขึ้นขอตัวกลับ เมื่อส่งองค์หญิงฉางเล่อไปแล้ว เยี่ยหลีก็นิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เรียกจั๋วจิ้งเข้ามาถามความว่า “หลายวันนี้คุณชายเฟิ่งซานปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่อด้วยดีหรือไม่”
จั๋วจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พระชายาเอ่ยถาม แต่ก็ยังคงตอบไปตามจริงว่า “มิได้มีอันใดดีไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงฉางเล่อพักอยู่ที่เรือนแขก ก็มิได้พบหน้าคุณชายเฟิ่งซานบ่อยนัก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ระหว่างทางกลับมาเล่า?”
จั๋วจิ้งตอบว่า “ระหว่างทางกลับมา…ดูเหมือนคุณชายเฟิ่งซานจะไม่ค่อยยอมเข้าใกล้องค์หญิงฉางเล่อมากนัก ข้าน้อยจำได้ว่ามีอยู่คราหนึ่งที่เดินทางพลาดเมืองไป เลยต้องพักแรมในพื้นที่ห่างไกลนอกตัวเมือง หลินหานขอให้คุณชายเฟิ่งซานนำอาหารไปส่งให้องค์หญิงฉางเล่อ แต่สุดท้ายคุณชายเฟิ่งซานกลับโยนของเหล่านั้นมาให้ข้าน้อย แต่ว่า คุณชายเฟิ่งซานก็มิได้เสียมารยาทอันใดกับองค์หญิงฉางเล่อนะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ไว้หากเฟิ่งซานพอมีเวลา ช่วยให้เขามาพบข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“ข้าน้อยเฟิ่งซาน ขอเข้าพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฟิ่งจือเหยาก็มาปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกห้องหนังสือของเยี่ยหลี
“เข้ามาสิ”
เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาก็ก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ พลางยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาเพิ่งกลับมาได้ไม่ทันไร ก็เรียกข้าน้อยมาพบเสียแล้ว ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก พระชายามีอันใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีคร้านที่จะสนใจใบหน้ายิ้มแย้มขี้เล่นของเขา นางวางม้วนรายงานในมือลง หยิบถ้วยชาขึ้นจิบทีหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิงฉางเล่ออยากย้ายออกจากตำหนักอ๋อง”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ก็ได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยต่อเสียก่อนว่า “ข้ารับปากนางไปแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ใคร่เห็นด้วยว่า “เพราะเหตุใดกันหรือ พระชายา องค์หญิงฉางเล่อยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว จะใช้ชีวิตอย่างไร”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กน้อย? องค์หญิงฉางเล่ออายุตั้งสิบสี่ปีแล้ว ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีต้นกำเนิดเดียวกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่ แต่หากว่ากันตามสายเลือดก็กลายเป็นเพียงญาติห่างๆ กันมานานแล้ว จะญาติก็มิใช่จะคนรู้จักก็ไม่เชิง นางเป็นสตรีเพียงคนเดียว จะอาศัยอยู่ในตำหนักอ๋องได้อย่างไร”
เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีนิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในเหตุผลของนาง
เยี่ยหลีก็หาได้ใส่ใจไม่ ยิ้มพลางเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เอาเถิด อันที่จริงข้ารู้สึกว่าคุณชายเฟิ่งซานดูเหมือนมีบางอย่างไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อที่เป็นเพียงสตรีที่ไม่มีความสำคัญอันใด แต่คุณชายเฟิ่งซานที่เป็นถึงคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ ข้าย่อมต้องคิดถึงจิตใจของท่านก่อน”
สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาดูไม่ใคร่จะดีนัก “ข้าไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่เมื่อใดกัน…”
เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยหลีที่มองเขาอยู่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เฟิ่งจือเหยาก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นลูบจมูกอย่างพูดไม่ออก “เช่นนั้นพระชายาก็ไม่จำเป็นต้องให้นางย้ายออกไปหรอก ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก”
“ข้าพูดไปแล้ว เป็นตัวนางเองที่ต้องการจะย้ายออกไป เด็กสาวที่ต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคนผู้อื่น ในใจอย่างไรก็ยากที่จะไม่อ่อนไหว ตลอดทางที่เดินทางกลับมา เจ้าดูจะมีท่าทีแปลกๆ กับนางมาตลอด เจ้าจะโทษที่นางรู้สึกอึดอัดยามที่ต้องอยู่ในตำหนักอ๋องได้หรือ เจ้าก็รู้ว่านางยังเป็นเด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธแค้นของผู้ใหญ่ก็มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับนาง มิได้เพียงแต่เจ้า เกรงว่าคนในตำหนักที่รู้ถึงฐานะของนาง ก็คงรู้สึกมีเรื่องติดค้างในใจกับนางเช่นกันกระมัง”
ถึงแม้จะไม่ถึงกับเสียมารยาท แต่จิตใจของสตรีนั้นละเอียดอ่อนประหนึ่งเส้นผม จะรับรู้ไม่ได้ถึงท่าทีทีผู้อื่นมีต่อนางได้อย่างไร ก็ไม่แปลกใจที่นางกลับมาได้เพียงสองวัน องค์หญิงฉางเล่อก็จะมาลานางเสียแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้จะโทษผู้อื่นก็คงไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้บิดาของนางเป็นม่อจิ่งฉีกันเล่า การพาลพาโลไปลงกับผู้อื่นนั้นมิใช่เรื่องดี แต่คนที่ทำได้จะมีอยู่สักกี่คนกัน
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก พระชายาให้นางอยู่ที่นี่ต่อเถิด” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย
เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงฉางเล่อวางแผนว่าจะไปคารวะฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาแพทย์แล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกก็คงสะดวกกว่า ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อให้เจ้าช่วยหาที่พักที่เหมาะสมให้กับนางหน่อย แล้วก็คอยช่วยเหลือยามนางไปพักอาศัยอยู่ด้านนอกด้วย ในตำหนักติ้งอ๋องมีคนอยู่มาก และมีเรื่องราวสารพัดให้คอยจัดการ ต่อให้พวกเราสั่งการลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ลำบาก”
เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่เยี่ยหลีเอ่ยมาก็มีเหตุผล จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว พระชายาโปรดวางใจ”