ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 257-2 ระหว่างการซ้อมรบเสมือนจริง
ทัพฝ่ายตะวันออกมิได้เดินทางกันได้อย่างราบรื่นนัก วันต่อมา ทัพใหญ่ก็ต้องพบกับกำลังพลแนวต้านที่อีกฝ่ายวางกำลังขวางไว้ ส่วนคณะของเฟิ่งจือเหยาที่ว่าล่วงหน้าไปคอยเปิดทางให้ก่อนนั้น กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
กำลังพลที่อีกฝ่ายวางกำลังขวางไว้มิได้มีมากนัก มีเพียงสองสามพันนายเท่านั้น หากว่าอยู่บนพื้นราบ ทัพใหญ่หนึ่งแสนนายจะผ่านไป ก็คงเหยียบพวกเขาให้ตายได้เพียงชั่วพริบตา แต่ยามนี้พวกเขากลับอยู่บนทางบนภูเขา ซึ่งทำให้สถานการณ์กลายเป็นว่าทหารหนึ่งนายสามารถขวางทหารนับหมื่นได้ จึงทำให้จางฉี่หลันโกรธเกรี้ยวจนก่นด่าหลี่ว์จิ้นเสียนว่าเลวทรามต่ำช้าไม่ได้หยุด
แต่ต่อให้อีกฝ่ายจะเลวทรามต่ำช้าเพียงใด การศึกก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป และจางฉี่หลันก็มิใช่ตาสีตาสาที่เป็นแต่จะตะโกนก่นด่าผู้อื่น เขาส่งทหารกลุ่มหนึ่งลอบอ้อมไปด้านหลังของอีกฝ่าย เพื่อล้อมโจมตีจากหน้าหลัง
ถึงจะอ้อมไปโจมตีเช่นนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังเสียเวลาอยู่ที่นี่เกือบสามสี่ชั่วยาว จนเมื่อพวกเขาพบกับแนวสกัดกั้นที่สองที่สามแบบเดียวกันนี้ จางฉี่หลันถึงได้เข้าใจว่า ที่หลี่ว์จิ้นเสียนทำเช่นนี้เพราะคิดที่จะถ่วงเวลาพวกเขา
แต่กระนั้น ถึงแม้จะเข้าใจถึงแผนการอย่างแจ่มชัดแต่พวกเขากลับมิอาจหลุดพ้นจากเล่ห์กลนี้ได้ ต่อให้รู้ดีว่าหลี่ว์จิ้นเสียนต้องการถ่วงเวลาพวกเขาไว้ แต่พวกเขากลับมิอาจไม่ใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางได้ ด้วยเพราะหากคิดอยากอ้อมไปแล้ว เวลาที่เสียไปคงยิ่งมากกว่านี้
ครานี้ จุดหมายสุดท้ายของการซ้อมรบเสมือนจริงมิได้อยู่ที่รุ่นเทียนหยา แต่เป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากรุ่นเทียนหยาไปลายสิบลี้ ภายในเมืองเล็กๆ แห่งนั้นมีทหารประจำการอยู่สี่หมื่นนาย ภารกิจของทัพตะวันตกที่มีม่อซิวเหยาเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการ คือการยึดเมืองเล็กๆ แห่งนั้นไว้ให้ได้ ส่วนสิ่งที่เยี่ยหลีและจางฉี่หลันต้องทำคือยกพลไปช่วยเหลือเมืองเล็กๆ แห่งนั้น พร้อมทั้งปราบทัพตะวันตกให้สิ้นซาก
และรุ่นเทียนหยาก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ด้วยเพราะไม่ว่าจะเป็นทัพตะวันออกหรือทัพตะวันตก ล้วนจำเป็นต้องผ่านพื้นที่แห่งนี้หากต้องการไปถึงเมืองเล็กๆ แห่งนั้น หากจำนวนทหารในมือของม่อซิวเหยามีอยู่เพียงพอ ย่อมสามารถบุกเข้ายึดเมืองเล็กๆ แห่งนั้นผ่านรุ่นเทียนหยาไปโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทัพตะวันตกของเขามีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่เพียงห้าหมื่นนาย และกองทัพตระกูลม่ออีกสี่หมื่นนาย ส่วนทัพตะวันออกมีกำลังทหารที่รวมทหารภายในเมืองแล้ว ทั้งหมดคือหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหนึ่งหมื่นนายกับกองทัพตระกูลม่อหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย
ในเมืองเล็กยามนี้ แม่ทัพที่รักษาการณ์อยู่ก็จะดูถูกไปมิได้ เพราะเขาเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกันเมือง ที่เดิมเคยปกป้องเมืองเจียงซย่ามาก่อนอย่างแม่ทัพหยวนเผย ดังนั้น หากม่อซิวเหยาใช้กำลังทหารทั้งหมดไปกับการโจมตีเมือง และเขามิอาจตีเมืองเล็กแห่งนั้นให้แตกได้ภายในสามวัน ทัพตะวันตกก็จะตกเข้าสู่วงล้อมของทหารกองทัพตระกูลม่อจำนวนกว่าแสนนายทันที ดังนั้นจึงจำต้องแบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งไว้ให้หลี่ว์จิ้นเสียนคอยสกัดกั้นความเร็วของทัพเสริม แต่นั่นก็เป็นการลดทอนกำลังในการโจมตีของเขาเช่นกัน
เดิมทีการเดินทางที่วางแผนไว้สามวัน ด้วยเพราะถูกดักโจมตีระหว่างทาง ทำให้ใช้เวลาถึงห้าวันเต็มๆ กว่าจะเดินทางมาถึงซย่าซานเทียนที่อยู่ห่างจากรุ่นเทียนหยาไปยี่สิบลี้
เมื่อเห็นว่าบนเนินเขามีธงพัดปลิวไสวและแสงสะท้อนอันเย็นเยียบจากดาบอยู่ทั่วไปหมดแล้ว จางฉี่หลันก็หัวเราะอย่างเยาะหยันทีหนึ่ง ก่อนสั่งการให้ตั้งค่าย ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายต่างพากันตั้งตารอ ด้วยเพราะการเคลื่อนพลตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ทำให้พวกเขาต้องใช้ความอดทนอดกลั้นในการเดินทางมา จึงอยากหาที่ระบายกันบ้างแล้ว จึงต่างพากันหันไปขอให้จางฉี่หลันสั่งให้บุกออกไปทำศึก
จางฉี่หลันโบกมือ กดความต้องการในการทำศึกของพวกเขาลงไป อีกฝ่ายครอบครองพื้นที่ที่เป็นสมรภูมิที่ดี การโจมตียามกลางวันแสกๆ ก็เท่ากับหาที่ตายเท่านั้น
“ท่านฉู่คิดว่าอย่างไร” จางฉี่หลันผินหน้าไปเอ่ยถามเยี่ยหลีที่นั่งอยู่
ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงฮือฮาลง หันมองไปทางคุณชายที่อยู่ในชุดขาว ถึงแม้ในค่ายทหารจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยพบเยี่ยหลี แต่อย่างไรก็ไม่ถือว่าคุ้นเคย เยี่ยหลีเปลี่ยนมาแต่งกายเป็นชายและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อย ยามปกติก็น้อยนักที่จะพูดจา ดังนั้นบรรดาผู้บัญชาการทหารทั้งหลายจึงดูไม่ออกว่า คุณชายหนุ่มที่ค่อนข้างเงียบขรึมผู้นี้ ก็คือชายาติ้งอ๋องของพวกเขานั่นเอง
แน่นนอนว่า ส่วนหนึ่งก็ด้วยเพราะบรรดาผู้บัญชาการทหารที่มีความทระนงตนเหล่านี้ รู้สึกไม่ชอบหน้าคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากที่ใดไม่รู้อย่างนางเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ยามปกติจึงน้อยนักที่จะมีผู้ใดยินดีที่จะเข้าไปพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับนาง
“ดูท่าแม่ทัพหลี่ว์คงคิดอยากที่จะกันพวกเราไว้ด้านนอกรุ่นเทียนหยา ยามนี้…ติ้งอ๋องน่าจะนำทัพมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีแล้วกระมัง” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมขึ้น
ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างพากันพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ คำพูดเช่นนี้ผู้ใดเลยจะไม่รู้ แค่เพียงดูจากสถานการณ์ตรงหน้า ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์เช่นไร
แต่เป็นจางฉี่หลันที่เอ่ยอย่างใช้ความคิดตามว่า “ความหมายของท่านฉู่คือ…ยามนี้ติ้งอ๋องไม่อยู่ที่รุ่นเทียนหยา? หากมีเพียงหลี่ว์จิ้นเสียน…เชื่อว่าคงมีทหารอยู่จำนวนไม่มากนัก บางทีข้าอาจสามารถตีรุ่นเทียนหยาให้แตกได้ภายในสามวัน”
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากตีรุ่นเทียนหยาให้แตกภายในสามวัน แม่ทัพคิดว่าจะต้องเสียกำลังทหารไปมากน้อยเพียงใด ที่รุ่นเทียนหยาได้ชื่อว่าเป็นชายแดนสวรรค์ ย่อมหมายความว่าง่ายที่จะรักษาแต่ยากที่จะโจมตี หากใช้กำลังทหารไปกับที่นี่จนหมด พวกเราจะเอาอันใดไปช่วยเหลือแม่ทัพหยวน”
ทหารหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “แต่หากไม่บุกเข้าไป พวกกเราจะผ่านเข้าไปได้อย่างไร หากเดินทางอ้อมไป อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาในการเดินทางถึงเจ็ดวัน อีกอย่าง หากจะใช้เส้นทางทางใต้ ตลอดทางก็มีทั้งแม่น้ำและภูเขา กว่าพวกเราจะไปถึง จะมีกำลังไปต่อสู้หรือไม่นั้นยังไม่ต้องพูดถึง หากจะใช้เส้นทางทางเหนือ เส้นทางนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งไม่มีทางข้ามไปได้อยู่แล้ว”
จางฉี่หลันหันไปเอ่ยถามเยี่ยหลีว่า “ท่านฉู่ตั้งใจไว้เช่นไร”
เยี่ยหลีชี้ไปยังแผนที่บนโต๊ะ “แม่ทัพหยวนเชี่ยวชาญด้านการรักษาเมือง ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ต่อให้เป็นติ้งอ๋องก็ไม่แน่ว่าจะตีเมืองเข้าไปได้ ความตั้งใจของข้าคือ…กำจัดทหารในรุ่นเทียนหยาไปให้หมด”
ทุกคนต่างพากันอึ้งไป จางฉี่หลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนี้เวลาที่ต้องใช้…หากเกิดพวกเราไปช่วยไว้ไม่ทันจนเมืองแตกเสีย…”
เยี่ยหลีไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “หากแตกก็ค่อยชิงกลับมาใหม่สิ”
รองแม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความลังเลว่า “เพียงแต่…หากการตีเมืองเสมือนจริงจบลงเสียก่อนเล่า”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “นอกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้หรือทั้งสองฝ่ายต่างเสียหายอย่างหนัก นั่นถึงเรียกว่าจบลง หรือว่าระหว่างการศึก หากเมืองถูกศัตรูช่วงชิงไปได้แล้ว ทหารที่เป็นทัพเสริมก็จะต้องเดินทางกลับไปตามทางเก่าอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนพากันนิ่งเงียบไป ต่างมีสีหน้าใช้ความคิด
ภายในกระโจมใหญ่เงียบสงัดอยู่ครู่ใหญ่ จู่จางฉี่หลันก็พลันตบโต๊ะลุกขึ้นเอ่ยว่า “ดี! ทำตามที่ท่านฉู่ว่า ครานี้จะแพ้หรือชนะก็ขอมอบให้ท่านฉู่ ท่านมีแผนจะตีหม้อข้าวหรือไม่”
เยี่ยหลีอมยิ้ม มองจางฉี่หลันที่ดูมีความหวัง ก่อนเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “ยังคิดอยู่”
“…”
ค่ำคืนในสนามรบมิได้สงบเรียบร้อยนัก เดือนมืดมีลมแรง การสังหารและวางเพลิงยามดึก ยามอยู่ในสนามรบก็จำเป็นต้องใช้เช่นกัน ดังนั้นยามที่เยี่ยหลีถูกคนด้านนอกปลุกขึ้นเป็นครั้งที่สามของคืน จึงมิได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก นางลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ แล้วเดินออกไปด้านนอกกระโจมทันที
ฉินเฟิงรีบปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู ”คุณชาย”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วน้อยๆ “เหตุใดถึงไม่พักผ่อน”
ฉินเฟิงเอ่ยว่า “เว่ยลิ่นไปพักผ่อนแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามเขาจะมาผลัดเวรกับข้าขอรับ”
ครานี้เยี่ยหลีมิได้นำจั๋วจิ้งกับหลินหานมาด้วย แต่นำเพียงฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นมาเท่านั้น ถึงอย่างไรติ้งอ๋องและพระชายากับเหล่าผู้บัญชาการทหารน้อยใหญ่ล้วนไม่อยู่ในเมืองแล้ว จึงเหลือจั๋วจิ้งกับหลินหานไว้คอยช่วยเหลือสวีชิงเฉิน
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถิด หาใครสักสองคนมาคอยคุ้มกันยามดึกก็พอ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ”
ฉินเฟิงส่ายหน้า “อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะไปพักผ่อน จะไม่ให้เสียเรื่องพรุ่งนี้ขอรับ”
เยี่ยหลีรู้ดีว่าพูดอย่างไรเขาก็คงไม่ไป จึงมิได้เอ่ยอันใดอีก หันมองจุดที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ไกลๆ พลางเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คนของผู้ใดกันที่ก่อความวุ่นวาย”
ฉินเฟิงกลั้นยิ้มเอ่ยว่า “เป็นพลทหารกลุ่มหนึ่งของแม่ทัพจาง ดูเหมือนพวกเขาจะตกลงกันไว้แล้วว่า ยามดึกจะลอบเข้าไปโจมตีทหารแนวหน้าของอีกฝ่าย แต่ละคนให้ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้จะต้องถอนตัวกลับมา ครานี้เป็นระลอกที่สามแล้ว คืนนี้นายทหารที่รักษาการณ์อยู่บนภูเขานั้นคงไม่ได้นอนแล้วขอรับ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันมองไปทางจุดที่มีเสียงรบราฆ่าฟันดังลอยมา เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “น่าสนใจอยู่ นี่เป็นความคิดของพวกเขาเองหรือ”
ฉินเฟิงพยักหน้า “ดูเหมือนหลังอาหารเย็น พวกเขาจะไปบอกกล่าวกับแม่ทัพจาง คงจะได้รับอนุญาตจากแม่ทัพจางแล้วกระมัง มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิกล้าไปกระทำโดยพลการขอรับ”
ดูท่าฉินเฟิงจะรู้สึกดีกับพวกเด็กหนุ่มที่คึกคะนองเหล่านั้นไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้จะมิได้เอ่ยช่วยเหลืออันใดพวกเขา แต่ก็ถือว่าได้ช่วยพวกเขาอธิบายแล้วว่า สิ่งที่พวกเขาทำให้ครานี้มิได้ผิดกฎระเบียบทางการทาหร
เยี่ยหลีอมยิ้มเดินออกไปด้านนอก พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คนหนุ่มมีความคิดเป็นของตนเอง ถือเป็นเรื่องดี ต่อให้อยู่ระว่างการซ้อมรบเสมือนจริง จะทำผิดบ้างก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรก็ดีกว่าไปทำผิดที่สนามรบจริงๆ”
“ความหมายของพระชายาคือ?” ฉินเฟิงขมวดคิ้วถาม
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “พวกเขาไปก่อกวนสักคราสองคราก็พอแล้ว หากให้เกิดเหตุเช่นนี้ติดต่อกันสองคราสามครา พวกเขาคิดว่าหลี่ว์จิ้นเสียนถือศีลกินเจหรืออย่างไร”
ฉินเฟิงนิ่งเงียบไม่ตอบ
เยี่ยหลียิ้ม เอ่ยว่า “ไปกันเถิด พวกเราก็ไปดูสักหน่อย”
ฉินเฟิงรีบเดินตามไป เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “พระชายากำลังบอกว่า จะเกิดปัญหาขึ้นกับพวกเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “หลี่ว์จิ้นเสียนเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่คร่ำหวอดอยู่ในสนามรบมานานแล้ว จะปล่อยให้เด็กน้อยพวกนี้ปั่นหัวเล่นได้อย่างไร หากพวกเขาลงมือเพียงคราสองคราแล้วหยุด อีกฝ่ายคงยังคอยเตรียมการป้องกันด้วยความระมัดระวัง คืนนื้ทั้งคืนคงไม่ต้องคิดที่จะอยู่กันอย่างสงบๆ แต่การที่ตั้งใจทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่านั้น หลี่ว์จิ้นเสียนจะนิ่งเฉยได้อย่างไร มีหลักการหนึ่งกล่าวไว้ว่า มากเกินไปก็แย่พอๆ กับน้อยเกินไป”
“เช่นนั้น…” ฉินเฟิงขมวดคิ้วเอ่ย “ควรส่งคนไปบอกแก่แม่ทัพจางสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “แม่ทัพจางกับแม่ทัพหลี่ว์รู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้จักอีกฝ่ายดี เชื่อว่าคงเตรียมการเอาไว้บ้างแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งให้มากเรื่อง คอยดูไปก็แล้วกัน”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงกังวานก้องของจางฉี่หลันก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “เอ๋? ท่านฉู่ ดึกดื่นเช่นนี้แล้วยังไม่พักผ่อนหรือ เจ้าพวกเด็กๆ เหล่านั้นรบกวนท่านหรือไม่”
พอทั้งสองหันกลับไป ก็เห็นว่าจางฉี่หลันกำลังเดินเชิดคางสาวเท้าก้าวเข้ามา เขาอยู่ในชุดเกราะทหาร คลุมด้วยเสื้อคลุมทหาร ดูเคร่งขรึมประหนึ่งคนที่กำลังจะเข้าไปทำศึกในสนามรบ
เยี่ยหลีอดเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ว่า “แม่ทัพจาง ดึกดื่นป่านนี้แล้ว นี่ท่านกำลัง?”
จางฉี่หลันแสร้างทำเป็นเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเด็กพวกนั้นไปยั่วยุตาเฒ่าหลี่ว์โดยไม่รู้จักเป็นจักตาย อย่างไรข้าก็จำต้องไปนำตัวพวกเขากลับมาก่อนจะเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็เอ่ยหัวเราะเสียงใส “เช่นนั้น คงต้องลำบากแม่ทัพจางแล้ว”
จางฉี่หลันประสานหมัดเอ่ยว่า “ข้าขอตัวก่อน”