ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 260-2 การรบเพิ่งเริ่มขึ้น
การตีเมืองในครานี้ ยากลำบากกว่าที่ม่อซิวเหยาตีเมืองก่อนหน้านี้มากนัก ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอยู่ถึงเจ็ดวันเต็มๆ ก็ยังไม่มีผู้ใดแพ้ ไม่มีผู้ใดชนะ
สุดท้ายแล้ว จึงจำต้องประกาศให้ผลออกมาเสมอ ด้วยเพราะในเมืองของม่อซิวเหยาไม่เหลือเสบียงอาหารอยู่แล้ว เมืองกูแห่งนี้เป็นเมืองที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง ถึงแม้จะไม่มีชาวบ้านให้สิ้นเปลืองเสบียงอาหาร แต่ในขณะเดียวกัน นั่นก็หมายความว่า เมืองแห่งนี้ไม่สามารถหาเสบียงอาหารนอกเหนือจากที่พวกตนนำมาได้อีกเลย และก่อนที่เมืองจะแตก หยวนเผยก็ได้สั่งให้ทหาร “กำจัด” เสบียงอาหารของทหารที่รักษาเมืองไปจนหมดแล้ว ม่อซิวเหยาจึงมิได้เพียงเสียกำลังทหารไป แต่แม้แต่อาหารก็ไม่มีให้กิน ทำได้เพียงรักษาเมืองไปทั้งท้องหิวๆ เท่านั้น
ส่วนทหารที่นอกเมืองก็มิได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด ไม่ทันระวังเพียงชั่วขณะ ก็ถูกคนที่ม่อซิวเหยาส่งมา เข้าไปทำลายเสบียงอาหารไปกว่าครึ่ง สู้กันไปโดยที่ไม่มีผู้ใดออกมายอมแพ้ จนเมื่อแม่ทัพเฒ่าหยวนเผยเห็นว่าทหารใกล้จะหมดเรี่ยวแรงกันหมดแล้ว จึงจำต้องออกมาตะโกนบอกให้หยุด สุดท้ายทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าการศึกในครานี้ ผลออกมาคือเสมอ
ยามที่ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องประการว่าการซ้อมรบเสมือนจริงครานี้สิ้นสุดลงแล้วนั้น ทหารจำนวนมากต่างพากันยินดีจนน้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่เพราะพวกเขายินดีที่ตนชนะ แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะได้กินข้าวเสียที เห็นๆ อยู่ว่าทั้งในเมืองและนอกเมืองมีเสบียงอาหารจำนวนมากกองอยู่ แต่พวกตนกลับทำได้เพียง มองพี่น้องที่ “ล้มตาย” ไปแล้วดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่กระนั้นก็ยังต้องหลอกตนเองว่า พวกตนไม่เหลือเสบียงอาหารแล้ว วันเวลาเช่นนี้ ช่างทรมานใจเสียยิ่งกว่าไม่มีเสบียงอาหารแล้วจริงๆ เป็นสิบเป็นร้อยเท่า
เมื่อการซ้อมรบเสมือนจริงสิ้นสุดลง ทุกคนต่างก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก จัดการตั้งค่ายตั้งหม้อปรุงอาหารกันทันที เมื่อครู่ที่ยังสู้รบกันอย่างดุเดือด ก็กลับมาพูดคุยกันด้วยดีอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายที่เห็นว่าอีกฝ่ายหิวจนตาเขียวคล้ำไปหมดแล้วนั้น น้ำใจของเพื่อนทหารที่สู้รบมาด้วยกันจึงลุกโชนขึ้นทันที
ภายในเมืองเล็กๆ ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายที่กินดื่มจนอิ่มหนำแล้ว กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ด้วยเพราะการตีเมืองระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินติดต่อกันมานานเกินไป สุดท้ายแม้แต่หลี่ว์จิ้นเสียนที่นำทหารกลับไปก่อนแล้ว ก็กลับมาสังเกตการณ์การรบด้วยอีกครั้ง ยามนี้เมื่อการสู้รบจบลง ทั้งสองฝ่ายต่างมีแพ้มีชนะ จึงไม่มีผู้ใดต้องรู้สึกอับอายขายหน้า ดังนั้นจึงถือว่าทุกคนยังปรองดองกันเป็นอย่างดี
แต่เป็นพวกทหารหนุ่มจากทัพตะวันออกกลุ่มหนึ่งที่ติดตามเยี่ยหลีมาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่ยังคงอยู่ในชุดสีขาวอย่างบุรุษ นัยน์ตายังคงมีความงุนงงสับสน หลายวันก่อนหน้า ด้วยเพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการสู้รบจนไม่มีกระจิตกระใจจะมาใส่ใจเรื่องนี้ ยามนี้บรรดาหทารหนุ่มที่สู้รบจบแล้ว ถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า คนที่ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจที่จะเมินเฉย ทั้งยังเป็นคุณชายในชุดขาวที่นำพวกเขาออกมาสู้รับกับแม่ทัพหลี่ว์นั้น แท้จริงแล้วก็คือพระชายาที่พวกเขาเคารพเลื่อมใสมาตลอดนี่เอง ความจริงที่พุ่งเข้าใส่อย่างดุดันเช่นนี้ ทำให้ทหารหนุ่มกลุ่มนั้นต่างรู้สึกไม่ดีไปตามๆ กัน
“พระ…พระชายา…” ทหารหนุ่มเหล่านั้นผลักกันไปมา ในที่สุดก็ดันทหารที่โชคร้ายที่สุดคนหนึ่งออกมา “พระชายา พวกข้าน้อยก่อนหน้านี้มีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินพระชายา ขอพระชายาได้โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จางฉี่หลันปรายตามองบรรดาทหารหนุ่มที่ไม่ได้เรื่องทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ ข้าเตือนก็แล้วสั่งก็แล้วว่าให้รักษามารยาทกับพระชายา แล้วพวกเจ้าทำอันใดกันลงไปบ้าง”
ทุกคนมองเขาแล้วพากันนิ่งเงียบไป ก็ท่านบอกว่าเป็นคุณชายฉู่มิใช่พระชายานี่
เมื่อเห็นสีหน้าม่อยๆ ของเด็กหนุ่ม จางฉี่หลันก็นิ่งไปเช่นกัน หันไปส่งยิ้มแหะๆ ให้เยี่ยหลี “เรื่องนั้น…พระชายา ข้าน้อยมิได้พูดกับพวกเขาให้ชัดเจน ขอพระชายาอย่าได้ถือสาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพจางกล่าวเกินไปแล้ว เดิมทีนี่ก็เป็นความตั้งใจของข้า อีกอย่าง คนหนุ่มก็เป็นธรรมดาที่จะอารมณ์ร้อน แม่ทัพจางกับแม่ทัพทุกท่านต่างชี้แนะกันได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มพวกนี้ก็ล้วนเป็นต้นอ่อนที่ไม่เลวทีเดียว”
ทุกคนที่เยี่ยหลีเอ่ยชม กลับทำได้เพียงแค่กระตุกมุมปาก พวกเขายังหนุ่มนั้นถูกต้อง แต่เมื่อเทียบกับพระชายาที่อายุเพียงยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีแล้ว พวกเขาโดยมากยังอายุมากกว่านางเสียอีก เมื่อพระชายาบอกว่าคนหนุ่มเป็นธรรมดาที่จะอารมณ์ร้อนเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันหน้าแดงขึ้นด้วยความอับอาย
อวิ๋นถิงที่อยู่อีกด้านลอบบ่นในใจว่า พวกเจ้าถือกระไรได้ ข้าตอนได้พบพระชายา พระชายาเพิ่งอายุสิบห้าสิบหกปีเสียด้วยซ้ำ
การที่เยี่ยหลีเอ่ยชมเช่นนี้ ผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ต่างเผยรอยยิ้มออกมาให้ได้เห็น ถึงแม้ทหารหนุ่มเหล่านี้ ครานี้จะอยู่กับจางฉี่หลัน แต่ก็มิใช่ทุกคนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของจางฉี่หลัน ในบรรดาทหารหนุ่มกลุ่มนั้นยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาของหลี่ว์จิ้นเสียน หยวนเผยและแม้กระทั่งซุนเหยียนที่ประจำการอยู่ไกลถึงด่านเฟยหงอีกด้วย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นคนฝีมือดีรุ่นใหม่ เมื่อพวกเขาได้รับคำชม ผู้ที่เป็นหัวหน้าอย่างบรรดาแม่ทัพเช่นพวกเขา ต่างก็พลอยได้หน้าไปด้วย
เมื่อได้ยินว่าพระชายาไม่ถือโทษ บรรดาทหารหนุ่มต่างก็พากันเบาใจ เด็กหนุ่มมักมีความใคร่รู้ ถึงแม้จะอยู่ไกลออกไป แต่ต่างก็พากันลอบมองประเมินพระชายากันด้วยคิดว่าไม่มีผู้ใดมองเห็น เพราะถึงอย่างไร เรื่องราวของพระชายา พวกเขาก็เคยได้ยินได้ฟังมากันตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพตระกูลม่ออยู่แล้ว ไฉนเลยจะคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาเห็นพระชายากับตา และถึงขั้นได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระชายาอีกด้วย เพียงแต่การลอบมองประเมินพระชายาของพวกเขาที่คิดว่าทำได้อย่างแนบเนียนนั้น กลับทำให้ใครบางคนไม่พอใจเข้าให้เสียแล้ว จนทำให้แค่เพียงกลับถึงกองทัพ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็ถูกจับโยนเข้าไปฝึกซ้อมทรมานในค่ายฝึกอีกสองสามเดือนทันที พวกเขาคิดได้เพียงแค่ว่า ท่านแม่ทัพทั้งหลายคงไม่พอใจผลงานในสนามรบของพวกเขา จึงส่งพวกเขามาฝึกเช่นนี้เท่านั้น
เมื่อการซ้อมรบเสมือนจริงจบลง จางฉี่หลันและหลี่ว์จิ้นเสียนจึงถูกทิ้งไว้ให้จัดการเรื่องที่เหลือ ม่อซิวเหยาพาคณะเยี่ยหลีและเฟิ่งจือเหยาเดินทางกลับเมืองหลีทันที
กลับถึงตำหนักติ้งอ๋องยังไม่ทันได้เข้าห้องหนังสือ ก็พบกับคุณชายชิงเฉินที่ออกมารอต้อนรับทันที แค่เพียงมองจากสีหน้า ก็รู้ทันทีว่า คุณชายชิงเฉินคงไม่พอใจท่านอ๋องบางคนอย่างมากที่ไม่มีความรับผิดชอบ โยนงานทั้งหมดในซีเป่ยมาให้ตน
เขาใช้สายตาเรียบๆ กวาดมองม่อซิวเหยาที่ไปออกรบมาเกือบครึ่งเดือนแต่สีหน้าท่าทางกลับดูดีเสียยิ่งกว่ายามปกติ แล้วสวีชิงเฉินก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ดูท่าหลายวันนี้ท่านอ๋องคงจะมีความสุขไม่น้อยทีเดียว”
ม่อซิวเหยายิ้มพลางเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายมาเสียหลายปี ได้ออกฝีไม้ลายมือบ้างก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว”
สวีชิงเฉินยิ้มบางๆ “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ยินดีกับท่านอ๋องด้วย ที่ต่อไปท่านคงได้ขยับเขยื้อนร่างกายบ่อยขึ้น”
หืม? หมายความว่าอย่างไร ม่อซิวเหยามองสวีชิงเฉินด้วยความสงสัย
สวีชิงเฉินถอนใจทีหนึ่ง ชูรายงานการรบในมือที่เพิ่งได้รับขึ้น “กองทัพของต้าฉู่พ่ายแพ้การรบทางตอนเหนือติดต่อกัน ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ถูกทัพจากเป่ยจิ้งตีเมืองแตกไปแล้วสี่เมืองด้วยกัน”
ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ กับสวีชิงเฉิน “เรื่องนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรานี่”
กองทัพตระกูลม่อตัดขากับต้าฉู่มานานแล้ว ต้าฉู่จะทำศึกเช่นไรก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา
สวีชิงเฉินพยักหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องมีแผนการณ์ในใจก็ดีแล้ว อีกอย่าง มีข่าวมาจากเป่ยหรงว่า กองทัพของเป่ยหรงก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์ทางการรบของต้าฉู่ดูย่ำแย่ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เป่ยหรงจะต้องเคลื่อนทัพลงใต้มาอย่างแน่นอน”
ม่อซิวเหยาฟังที่สวีชิงเฉินเอ่ยไปพลาง เท้าก็ไม่หยุดที่จะก้าวตรงไปทางห้องหนังสือ พลางเอ่ยถามว่า “หนานจ้าวมีข่าวอันใดหรือไม่”
สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ นำทัพทหารสามแสนนายเคลื่อนเข้าประชิดชายแดนหนานจ้าวไว้แล้ว ทั้งสองแคว้นกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ จะเปิดศึกกันเมื่อได้ก็ยังไม่รู้”
“เป็นไปได้ที่จะเปิดศึกกันหรือ” ม่อซิวเหยาหันกลับมาถาม
สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงขรึมว่า “เป็นไปได้”
ม่อซิวเหยาชะงักฝีเท้าลงทันที “ดี เมื่อใดก็ตามที่เปิดศึกกัน เชื่อว่าซีหลิงคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นไปพักหนึ่ง”
เฟิ่งจือเหยาที่เดินตามมาอยู่ด้านหลังเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเราควรเตรียมตัวกันหรือไม่”
ม่อซิวเหยานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “พอหนานจ้าวกับซีหลิงเปิดศึกกัน ให้ประกาศเกณฑ์ทหารในซีเป่ย”
เฟิ่งจือเหยารับคำสั่ง
สวีชิงเฉินเมื่อเห็นสายตาม่อซิวเหยาที่ส่งมา ก็ส่ายหน้า “เรื่องการรบการทหารข้าไม่รู้เรื่อง พวกท่านจัดการกันก็แล้วกัน”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า หันไปเอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาว่า “ไปเตรียมการณ์เถิด”
หลังจากที่ตำหนักติ้งอ๋องรวมการปกครองในซีเป่ยเป็นต้นมา เกณฑ์การคัดเลือกทหารก็ผ่านการทดสอบและปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง ซึ่งแตกต่างกับระบบทหารที่เป็นอยู่จริงอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีทุกคนในซีเป่ย จะถูกเกณฑ์มาเป็นทหารอย่างน้อยสองปี หลังจากนั้นสองปีก็กลับไปทำอาชีพเดิม แต่หลังจากนั้นช่วงที่พักจากการทำไร่ทำนาทุกปี จะยังต้องเข้ามาฝึกทหารอีกหนึ่งเดือน และที่สำคัญกว่านั้นคือ กฎการเกณฑ์ทหารสองปีนี้ มิใช่บังคับใช้กับคนธรรมดาเท่านั้น แต่แม้แต่พ่อค้า หรือแม้กระทั่งบัณฑิตที่เล่าเรียนหนังสือก็ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผู้ที่เป็นบัณฑิตสามารถขอผ่อนผันระยะเวลาในการฝึกให้เหลือเพียงหนึ่งปีได้ ดังนั้นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลีซานในยามนี้ หากเป็นคนที่อายุสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว ก็ล้วนเป็นคนที่ผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้วทั้งสิ้น
นอกจากนี้ กองทัพตระกูลม่อมีทหารประจำอยู่แล้วถึงเก้าหมื่นนาย ทหารเหล่านี้ล้วนบรรจุเข้าเป็นทหารกันกว่าห้าปีแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งระยะเวลาในการเข้าเป็นทหารของพวกเขาจะยาวนานถึงสามสิบปีหรือมากกว่านั้น พวกเขาต่างหากที่เป็นขุมกำลังที่แท้จริงของซีเป่ย อีกทั้งพวกเขาต่างกับทหารเกณฑ์สองปีทั่วไปที่ไม่ได้รับเบี้ยทหาร ทั้งยังแตกต่างจากทหารโดยทั่วไปของแคว้นอื่นๆ ที่มักไม่ได้รับเบี้ยทหารเช่นกัน ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับเบี้ยทหารตามเกณฑ์ หากเสียชีวิตในสนามรบ พวกเขาก็จะได้เบี้ยทำขวัญตามเกณฑ์เช่นกัน ถึงแม้สิ่งนี้จะส่งผลกระทบทางการเงินต่อตำหนักติ้งอ๋อง แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่งก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรบของกองทัพตระกูลม่อ ทั้งยังดึงดูดให้ทหารอยู่กับกองทัพตระกูลม่ออีกด้วย
ถึงแม้เมื่อเทียบกับทหารนับล้านนายของทั้งสามแคว้นแล้ว ทหารเก้าแสนนายของกองทัพตระกูลม่อที่อยู่ตรงกลางจะเทียบไม่ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่สู้รบกันขึ้นมาจริงๆ เมื่อคำสั่งระดมกำลังทหารกองเกินถูกส่งออกไป ตำหนักติ้งอ๋องยังสามารถระดมกำลังทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างถูกต้องได้อีกนับล้านนาย
ถึงแม้ฝีมือในการต่อสู้ของพวกเขาจะเทียบกับทหารจริงๆ ในกองทัพตระกูลม่อไม่ได้ แต่ก็มิใช่กำลังทหารที่เพิ่งได้รับการเกณฑ์เข้ามาใหม่ และเข้าสู่สนามรบทันทีจะเทียบชั้นได้ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกฝนจากผู้บัญชาการทหารของกองทัพตระกูลม่อกันมาแล้ว
เมื่อได้มองแผ่นหลังของม่อซิวเหยาที่เดินจากไป เฟิ่งจือเหยาก็ถอนใจออกมาพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมื่อใดก็ตามที่หนานจ้าวกับซีหลิงเปิดศึกกัน เป่ยหรงไม่มีทางลดลาวาศอกให้กับต้าฉู่ ส่วนตำหนักติ้งอ๋องก็มิอาจคิดถึงแต่ตนเองได้
สิ่งที่เตรียมตัวมาตลอดหลายปีนี้ ในที่สุดก็จะเริ่มขึ้นแล้วหรือ