ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 265-1 กลับเมืองหลวงอีกครั้ง
ภายในเมืองหลวง ณ เรือนหลังหนึ่งที่อยู่ในจุดที่ไม่สะดุดตา
เหลิ่งเฮ่าอวี่นั่งอยู่ภายในห้องหนังสือ สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด มู่หรงถิงถือชาโสมถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ตาเขาก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ ถึงได้ดูอ่อนหล้าเช่นนี้”
เมื่อคืนวาน หลังจากเหลิ่งเฮ่าอวี่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ก็ดูแปลกๆ มาตลอด ไม่หลับไม่นอนทั้งคืน เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ในห้องหนังสือ หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน มู่หรงถิงคงจับตัวเขามาต่อว่าหนักๆ สักยกหนึ่งแล้ว แต่ตลอดเวลาที่ทั้งสองแต่งงานใช้ชีวิตด้วยกันมา เหลิ่งเฮ่าอวี่ในความคิดของมู่หรงถิง มิใช่คุณชายเจ้าสำราญที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างในคราแรกเสียนานแล้ว อีกทั้งเมื่อได้กลายเป็นภรรยาและเป็นมารดาคนแล้ว อารมณ์ของนางก็เย็นลงไม่น้อย
นางวางชาโสมลงบนโต๊ะ ก่อนมู่หรงถิงจะก้มหน้าลงอ่านจดหมายบนโต๊ะ
เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่ได้คิดจะปิดนางอยู่แล้ว จดหมายจึงวางกางอยู่บนโต๊ะ
ที่แท้ก็เป็นจดหมายที่เหลิ่งจุ่นให้คนส่งมาจากด่านจื่อจิ่ง ยามนี้ที่ด่านจื่อจิ่งเริ่มอัตคัดเรื่องเสบียงอาหาร แต่กระนั้นในราชสำนักก็มีแต่เรื่องใหญ่ๆ ให้จัดการ พรรคพวกของเสนาบดีหลิ่วกับพรรคพวกของหลีอ๋องกำลังต่อสู้กันจนราชสำนักแทบลุกเป็นไฟ ถึงขั้นไม่มีผู้ใดสนใจฎีกาขอกำลังเสริมที่เหลิ่งจุ่นให้คนส่งกลับมา
มู่หรงถิงขมวดคิ้ว หัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่านพ่อตาเห็นพวกเราเป็นเสบียงกรังของแคว้นแล้วหรือ ท่านไม่ดูบ้างเลยหรือว่าเจ้ามีความสามารถเพียงพอหรือไม่ ขอทีก็ขอเสบียงอาหารถึงหนึ่งแสนตัน พวกเราจะไปหาจากที่ใดมาให้ท่าน”
ในมือเหลิ่งเฮ่าอวี่ หากต้องการเสบียงอาหารหนึ่งแสนตันจริงๆ ย่อมมิใช่เรื่องยาก แต่นั่นเป็นกิจการของตำหนักติ้งอ๋อง มิใช่สิ่งที่เหลิ่งเฮ่าอวี่จะเคลื่อนย้ายโดยพลการได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้คนภายนอกจะรู้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่ทำการค้าอยู่ด้านนอกมาแล้วหลายปี แต่หากเขาจะใช้เสบียงอาหารทีเดียวหนึ่งแสนตัน แล้วพวกเขาไม่ถูกผู้คนจากที่ต่างๆ คอยจับตา นั่นคงเป็นเรื่องแปลก ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกันแล้ว หากมิได้รับความเห็นชอบจากติ้งอ๋อง ผู้ใดจะกล้านำเสบียงอาหารไปช่วยเหลือกองทัพต้าฉู่กัน
แต่กระนั้น มู่หรงถิงก็เข้าใจที่ถึงความสับสนและความลำบากใจของเหลิ่งเฮ่าอวี่ ต่อให้เหลิ่งจุ่นเมินเฉยและไม่เห็นเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ในสายตาเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นบิดาแท้ๆ ของเหลิ่งเฮ่าอวี่
สำหรับต้าฉู่แล้ว มู่หรงถิงเองก็รู้สึกสับสนใจเช่นกัน เหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง มู่หรงถิงเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ย่อมต้องตามสามี จึงย่อมเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องเช่นกัน แต่บิดาของนาง มู่หรงเซิ่น กลับเป็นแม่ทัพใหญ่ที่รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนของต้าฉู่ เดิมทีก็ถือกำเนิดมาจากสายเลือดเดียวกันอยู่แล้ว จะตัดขาดกันง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร
เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของสามี มู่หรงถิงก็ทำได้เพียงระบายลมหายใจออกมาด้วยความจนใจ พร้อมเอ่ยปลอบโยนว่า “พวกเราส่งข่าวไปถึงซีเป่ยตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว เชื่อว่าอีกเดี๋ยวท่านอ๋องกับพระชายาก็จะมีจดหมายตอบกลับมาเอง ทางด้านพ่อตานั้นก็คงไม่ถึงกับจะรับมือไม่อยู่ในวันสองวันนี้หรอก”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ฝืนระบายยิ้มออกมาน้อยๆ เอนหลังพิงเก้าอี้ ยื่นมือไปจับมือภรรยาที่วางอยู่บนบ่าตน พลางเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
มู่หรงถิงกรอกตาบนใส่เขา เอ่ยว่า “พูดอะไรน่ะ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ข้าไม่เป็นห่วงเจ้าแล้วจะเป็นห่วงผู้ใด หากมีเวลามานั่งนึกเป็นกังวลอยู่ที่นี่ สู้เอาเวลาไปนอนหลับพักผ่อนสักหน่อยจะดีกว่า หากเกิดท่านอ๋องมีคำสั่งอันใดมาให้เจ้ายุ่งวุ่นวายเดี๋ยวร่างกายเจ้าจะรับไม่ไหวเสีย”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มขื่นอย่างจนใจ เรื่องเหตุผล เหตุใดเขาถึงจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ยามนี้ผู้ที่ประสบกับมีดหอกดาบอยู่ในสนามรบและอาจถึงขั้นต้องอดทนกับความหิวโหยผู้นั้น เป็นบิดาของเขานี่นะ ถึงแม้ตั้งแต่เล็กจนโตมานี้ ในสายตาของบิดาจะมีเพียงพี่ใหญ่ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า ในจิตใจของเขาอย่างไรก็ยังโหยหาที่จะได้การยอมรับจากผู้เป็นบิดาอยู่ดี ด้วยเพราะเหตุนี้ ในคราแรกเขาถึงได้กลายเป็นสหายสนิทกับเฟิ่งซาน เพราะพวกเขาต่างก็โหยหาสายตาและการยอมรับจากผู้เป็นบิดา และต่างก็ไม่เคยได้รับมันทั้งคู่ เพียงแต่เฟิ่งซานดูจะปล่อยวางและใจเด็ดกว่าเขาก็เท่านั้น
“เรียนคุณชายเหลิ่ง มีจดหมายลับจากท่านอ๋องมาขอรับ” ด้านนอกประตู มีเสียงคนเอ่ยรายงานขึ้นเบาๆ
เหลิ่งเฮ่าอวี่ถลึงตัวลุกขึ้นด้วยความยินดี เอ่ยเสียงก้องว่า “รีบเข้ามา!”
เขาไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะตัดสินใจเช่นไร แต่เขาหวังว่าตนจะรู้คำตอบให้เร็วที่สุด
บุรุษที่ด้านนอกประตูส่งจดหมายที่ปิดผนึกฉบับหนึ่งให้เขาเงียบๆ ก่อนถอยออกไป
เหลิ่งเฮ่าอวี่เปิดจดหมายออก กวาดตาอ่านทีเดียวสิบบรรทัด ก่อนดวงตาจะเป็นประกายขึ้นด้วยความยินดี
มู่หรงถิงเพียงเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าผลจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน ก็ถึงกับเบาใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้นางจะนึกรังเกียจคนทั้งตระกูลเหลิ่งเหล่านั้น แต่ก็มิได้อยากให้พวกเขาเสียชีวิตแต่อย่างใด อย่างน้อยก็ไม่หวังให้เหลิ่งจุ่นต้องมาเสียชีวิตไปเช่นนี้ มิเช่นนั้นเหลิ่งเฮ่าอวี่คงต้องเสียใจไม่น้อย
เหลิ่งเฮ่าอวี่อ่านจดหมายจบ ก็เงยหน้าขึ้นมา มู่หรงถิงเอ่ยถามว่า “ว่าอย่างไร ติ้งอ๋องว่าอย่างไรบ้าง”
เหลิ่งเฮ่าอวี่นิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ถิงเอ๋อร์ อีกเดี๋ยวเจ้าไปที่จวนมู่หยางโหวที จวนมู่หยางโหวก็เป็นตระกูลที่มีผลงานด้านการรบเป็นเยี่ยมมาตลอดหลายชั่วอายุคนเช่นเดียวกับตระกูลเหลิ่ง ยามนี้เกิดเรื่องคับขันขึ้นที่ชายแดน พวกเขาก็ควรจะมาลงแรงด้วยกันสักหน่อยแล้ว”
มู่หรงถิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลายปีนี้มู่หยางโหวดูตั้งใจที่จะเกษียณตนเองออกมาแล้ว เหยาจีจะโน้มน้าวพวกเขาได้หรือ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่หัวเราะเยาะทีหนึ่ง เอ่ยว่า “หากนางทำไม่สำเร็จ ก็มิได้มีมู่หยางอยู่อีกคนหรือ”
มู่หรงถิงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าก็ไม่ได้เจอชายามู่หยางโหวซื่อจื่อมาพักหนึ่งแล้วพอดี อีกเดี๋ยวจะให้คนส่งเทียบขอเยี่ยมไป”
เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังมีอีกข่าวหนึ่ง”
มู่หรงถิงเลิกคิ้ว อมยิ้มมองเขา
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยเสียงเบาว่า “อีกไม่กี่วัน ท่านอ๋องกับพระชายาจะมาเมืองหลวง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หรงก็ถึงกับตกใจ “ยามนี้ท่านอ๋องกับพระชายา…”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ที่เมืองหลีมีท่านหงอวี่กับคุณชายชิงเฉินคอยดูแลรักษาการณ์อยู่ ด้านนอกก็มีท่านแม่ทัพทั้งหลาย กับกองทัพตระกูลม่อหลายแสนนายคอยประจำการ เหตุใดท่านอ๋องกับพระชายาถึงจะออกมาไม่ได้ ท่านอ๋องกับพระชายาจะพาซื่อจื่อน้อยกลับมาเซ่นไหว้ท่านอ๋องบรรพบุรุษทุกรุ่นด้วย อีกอย่าง มิได้บอกกันว่าม่อจิ่งฉีใกล้จะไม่ไหวแล้วหรือ ท่านอ๋องบอกว่าอยากจะมาสั่งเสียเขาสักหน่อย”
ในเมื่อติ้งอ๋องกับพระชายาตัดสินใจที่จะมา ย่อมเตรียมการเรื่องรักษาความปลอดภัยเอาไว้แล้ว เมื่อคิดถึงเยี่ยหลีที่มิได้พบหน้ามาหลายปี บนใบหน้าของมู่หรงถิงก็ดูมีความยินดีขึ้นหลายส่วน
ระยะเวลาที่เหยาจีมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ถือว่านานนัก นับไปนับมาก็เป็นชั่วเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ในช่วงครึ่งปีมานี้ นางกลับเปลี่ยนตนเองจากสตรีที่เลี้ยงดูบุตรเพียงคนเดียว กลายเป็นฮูหยินรองของซื่อจื่อที่เป็นที่รักใคร่ของจวนมู่หยางโหวได้สำเร็จ ถึงแม้เรื่องเช่นนี้จะมีอิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องคอยลอบปูทางให้นางอยู่เบื้องหลัง แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่า เหยาจีเองก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อย
ยามนี้ บุตรชายที่นางคลอดออกมา เป็นหลานชายตนโตของจวนมู่หยางโหว และก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของมู่หยาง แค่เพียงเรื่องนี้ ก็เพียงพอให้นางสามารถยืนอยู่ในตำหนักมู่หยางโหวโดยไม่ล้มลงได้แล้ว
เหยาจีมิได้วางตัวว่าสูงส่ง ถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานแต่ก็มิได้หยิ่งผยอง ซึ่งทำให้ฮูหยินมู่หยางโหวที่เดิมนึกดูแคลนในชาติกำเนิดของนางหาเรื่องอันใดมาเล่นงานนางไม่ได้ ซึ่งยิ่งทำให้ฮูหยินมู่หยางโหวซื่อจื่อนึกโกรธเกลียดนางจนแถบอยากจะบดเคี้ยวนางให้แหลกละเอียด และก็ได้แต่นึกแค้นใจ ที่เหตุใดยามนั้น ถึงไม่สั่งให้นักฆ่า ฆ่านังแพศยานี่ให้ตายๆ ไปเสียแต่แรก น่าเสียดายก็เพียงมู่หยางปกป้องนางอย่างดีจนเกินไป เหยาจีเองก็มิใช่คนไร้เดียงสาที่ไม่ประสาอันใดเลย เข้าจวนมาได้ไม่กี่เดือน ทั้งสองมีเรื่องกันอยู่หลายครั้ง แต่ฮูหยินมู่หยางโหวซื่อจื่อ ก็มิได้ได้เปรียบนางเลยแม้แต่น้อย
เหยาจีนั่งพิงหน้าต่างอยู่ด้วยความเกียจคร้าน เสื้อผ้าสีสันหลากสี เมื่ออยู่บนตัวนางกลับดูไม่โบราณเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะยิ่งดูเปล่งรัศมีความงดงามออกมามากยิ่งขึ้น นางอายุอานามเกือบสามสิบปีแล้ว แต่ความงดงามของนางยังทำให้ผู้คนต้องหลงใหล เด็กชายหน้าตาดีอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่ง นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกายนางอย่างว่าง่าย สายตาของเหยาจียามก้มลงมองเด็กน้อย เต็มไปด้วยความรักใคร่และเอ็นดูเป็นที่สุด
แน่นอนว่า เด็กผู้นี้มิใช่บุตรที่แท้จริงของนาง บุตรของนางยังคงใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาอยู่ที่ซีเป่ย เขามีบิดามารดาที่รักใคร่เขา และจะมีกินมีใช้อย่างไร้ความกังวลไปตลอดชีวิต เขาจะไม่มีวันได้รู้ว่าเขามีบิดาที่เป็นมู่หยางโหวซื่อจื่อ และเขาจะไม่มีทางรู้ว่าเขามีมารดาที่เคยเป็นนางรำมาก่อน ซึ่งเท่านี้ก็ดีมากแล้ว
และแน่นอนว่า เด็กผู้นี้ก็มิใช่เด็กธรรมดาทั่วไป เด็กผู้นี้เป็นเด็กที่ตำหนักติ้งอ๋องเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เดิมทีองครักษ์ลับที่คอยติดตามปกป้องคุ้มครองติ้งอ๋องมาทุกรุ่น ล้วนคัดเลือกจากเด็กเหล่านี้มาฝึกฝน ยามนี้ถึงแม้บทบาทขององครักษ์ลับค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงต้องมีบุคคลพิเศษกลุ่มหนึ่งไว้ค่อยปฏิบัติภารกิจพิเศษ เด็กที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือเด็กที่มากับเหยาจีในครานี้ หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่าครึ่งปี ก็ทำให้เหยาจีนึกรักใคร่เอ็นดูเด็กผู้นี้ประหนึ่งเป็นบุตรของตนเอง นางมิอาจเลี้ยงดูบุตรของตนเองไว้ข้างกายได้ ดังนั้นกับเด็กที่เป็นบุตรของผู้อื่น นางจึงใจอ่อนมากเป็นพิเศษ
เมื่อมู่หยางเดินเข้ามาแล้วได้เห็นภาพตรงหน้า ที่สตรีที่แสนจะงดงามตรึงตราตรึงใจ กำลังมองดูเด็กน้อยที่ก้มหน้าตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ด้วยสายตารักใคร่ แสงอาทิตย์อ่อนๆ ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทำให้บรรยากาศอันหนาวเย็นในช่วงปลายฤดูหนาว ดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน เมื่อมู่หยางได้เห็นภาพเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกอุ่นซ่านขึ้นในหัวใจ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูกว้างขึ้นหลายส่วน
“เลี่ยเอ๋อร์ กำลังอ่านหนังสืออยู่หรือ” มู่หยางก้าวเข้ามาพลางเอ่ยถามกลั้วหัวเราะขึ้น
เด็กที่มีชื่อว่ามู่เลี่ยเก็บหนังสือพลางลุกยืนขึ้น เอ่ยเรียกด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อ”
มู่หยางลูบศีรษะมู่เลี่ยด้วยความรักใคร่ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ปกติท่านอาจารย์ก็ให้การบ้านเจ้าไว้ไม่น้อย พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กขยัน แต่ก็อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ”
ใบหน้าน้อยๆ ของมู่เลี่ยมีประกายของความกระดากอายและขัดเขิน แต่ก็ดูมีประกายแห่งความยินดีเพิ่มขึ้น พยักหน้าเอ่ยว่า “ลูกไม่เหนื่อยขอรับ ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง”
มู่หยางเห็นว่าบุตรชายของตนรู้ประสาเป็นยิ่งนัก จึงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง “เด็กดี”
กับบุตรชายที่หายตัวไปหกปีผู้นี้ มู่หยางรู้สึกรักใคร่ด้วยใจจริง และด้วยเพราะมีความรู้สึกผิดร่วมอยู่ในใจ ตามปกติจึงมิได้เข้มงวดกับเขามากนัก