ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 266-1 ม่อตัวน้อยกับเหลิ่งเอ๋อน้อย
ภายในโรงเตี๊ยม หลงจู๊ฝืนเชิญคณะของม่อซิวเหยาเข้าโรงเตี๊ยมไปต่อ แต่แค่เพียงออกจากประตูมา ก็ลื่นล้มจนก้นกระแทกกับพื้น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนลุกไม่ขึ้น
หากเป็นก่อนหน้านี้ การที่เขาได้ต้อนรับครอบครัวของติ้งอ๋องย่อมถือเป็นเกียรติของโรงเตี๊ยมของเขาแห่งนี้ แต่ในยามนี้…ยามนี้แค่เพียงคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างติ้งอ๋องกับราชวงศ์ เขาก็อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นบุญหรือกรรมกันแน่
แต่เมื่อเขาหันไปเห็นองครักษ์ที่ยืนอารักขาอยู่ตรงปากประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลงจู๊ก็ไม่มีทางกล้าส่งจดหมายไปแจ้งทางการอย่างแน่นอน ในใจเกิดความสั่นไหว แต่ก็ยังลุกขึ้นจากพื้น เดินกลับไปด้านหน้าร้านด้วยสีหน้าประหนึ่งอยากร้องไห้
คณะของม่อซิวเหยาที่ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม มีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาพบเห็นอยู่ไม่น้อย ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวที่ว่าติ้งอ๋องกลับมายังเมืองหลวง และได้เข้าพักยังโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดของเมืองหลวง ก็กระจายออกไปจนทั่ว และแน่นอนว่า ย่อมแพร่ไปถึงจวนของผู้มีอิทธิพลและชนชั้นสูง รวมถึงภายในวังด้วยอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีคนมากน้อยเพียงใดที่ทั้งยินดีและเสียใจ และจะมีคนมากน้อยเพียงใดที่ตกใจจนข้าวของในมือหล่นแตก ก็มิใช่เรื่องที่คนนอกสามารถรับรู้ได้
ในขณะที่ทุกคนเกิดความพรั่นพรึงในใจ และต่างคิดอันใดกันไปอยู่ในนั้น ภายในเรือนหลังเล็กอันแสนหรูหราที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็กำลังทำหน้าม่อย พร่ำบ่นม่อซิวเหยาอยู่ “ท่านอ๋อง ถึงแม้ท่านจะกลับมาเมืองหลวง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เลยนี่ ต่อให้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมเลยด้วย พวกเราเข้าๆ ออกๆ ไม่สะดวกเอาเสียเลย”
เขามิได้เหมือนเช่นกับเฟิ่งซานที่ประกาศตนอย่างชัดเจนว่าเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง เขา คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ ต่อให้ไม่ถูกกับคนในตระกูล แต่อย่างไรยามนี้ เขาก็ยังคงเป็นคุณชายรองแห่งตระกูลเหลิ่งอยู่ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเฟิ่งซานและติ้งอ๋องก็เพียงเพราะถือว่ายังมีมิตรไมตรีต่อกันในเรื่องการค้าเท่านั้น อีกอย่าง ฮูหยินเหลิ่งรองกับชายาติ้งอ๋อง ก่อนแต่งงานก็เป็นสหายสนิทกันมาก่อน แต่ถึงกระนั้น การที่ติ้งอ๋องเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงใหม่ๆ ก็ไม่มีเหตุให้เขาต้องมาเข้าเยี่ยมโดยทันทีอยู่ดี
ดังนั้น คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ผู้น่าสงสาร ที่อายุกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังต้องทำตัวเป็นคุณชายปีนกำแพงกับเขาสักครั้ง พาภรรยากระโดดข้ามกำแพงกันเข้ามาเสียอย่างนั้น
เยี่ยหลีนั่งอยู่กับมู่หรงถิง เมื่อได้ยินที่เหลิ่งเฮ่าอวี่พร่ำบ่น ก็หันมายิ้มให้กันโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้ากันเสียหลายปี แต่มิตรภาพที่เคยมีให้กันกลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้สักน้อย ระหว่างที่ทั้งสองนั่งพูดคุยกันเบาๆ อยู่นั้น ก็หันมองเด็กน้อยสองคนที่เล่นสนุกกันอยู่ไปด้วย
บุตรชายของเหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิง อายุน้อยกว่าม่อตัวน้อยอยู่สองปี ตั้งชื่อว่า เหลิ่งจวินหาน เด็กน้อยที่อายุเพิ่งสามขวบ มีหน้าตาละม้ายคล้ายเหลิ่งเฮ่าอวี่อย่างกับแกะ ดูมีแววว่าจะหล่อเหลาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเทียบกับม่อตัวน้อยที่ดูเฉลียวฉลาดและพิเรนไม่น้อยแล้ว เหลิ่งจวินหานกลับดูเป็นซาลาเปาน้อยที่ว่าง่ายและหัวอ่อนกว่ามากทีเดียว
ซาลาเปาน้อยเหลิ่งจวินหานดูจะถูกชะตากับม่อตัวน้อยเป็นอย่างมาก แค่เพียงได้พบหน้าก็รู้สึกคุ้นเคย คอยวิ่งตามม่อตัวน้อยไปมาไม่ได้หยุด ทั้งยังเรียกพี่ชายๆ อยู่ไม่ขาดปาก ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
เพียงแต่เรื่องความถูกชะตานี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นกับเขาเพียงข้างเดียว ดวงตาของม่อตัวน้อยขึ้นไปอยู่บนกระหม่อมเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าแค่เพียงท่านแม่ตนพบหน้าเจ้าซาลาเปาน้อยผู้นี้คราแรก ก็จับตัวขึ้นมาอุ้มเสียแล้ว จึงไม่ชอบขี้หน้าเขาเอามากๆ ขึ้นมาทันที ดวงตากลมโตเอาแต่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายไม่หยุด แต่เหลิ่งจวินหาน กลับถือเอาการถลึงตาใส่นั้นเป็นความสนิทสนม “พี่ชาย จวินหานเล่นด้วย”
เหลิ่งจวินหานโตมาคนเดียวตั้งแต่เล็กๆ รอบตัวก็มิได้มีเด็กมาคอยเล่นด้วย ดังนั้นเมื่อได้พบพี่ใหญ่ที่หน้าตาดีมากเช่นนี้ ย่อมนึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ม่อตัวน้อยกรอกตาบนใส่ ผู้ใดเขาจะเล่นกับเด็กโง่เซ่อซ่ากัน เทียบกันแล้วยังโง่กว่าสวีจือรุ่ยของท่านลุงรองเสียอีก “ข้าไม่เล่นกับเด็กที่ไม่ประสีประสาหรอกนะ”
“ม่อตัวน้อย!” เยี่ยหลีจ้องเขาดุๆ เป็นการเตือน
ม่อตัวน้อยกลัวท่านแม่ของตนโกรธเป็นที่สุด จึงจำต้องยื่นมืออกไปจูงเหลิ่งจวินหานอย่างอิดออด ก่อนเอ่ยอย่างถือดีว่า ”เอาเถิด ข้าจะฝืนใจยอมเล่นกับเจ้าก็ได้”
“พี่ตัวน้อยใจดีที่สุดเลย เล่นกับจวินหาน” เหลิ่งจวินหานจับมือม่อตัวน้อยด้วยความยินดี
แต่การเรียกที่ตัวน้อย ทำให้ม่อตัวน้อยหน้าบึ้งลงทันที เขายื่นมือไปบีบแก้มน้อยๆ ของเหลิ่งจวินหาน “ข้าชื่อม่ออวี้เฉิน จะยอมให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่อวี้เฉินก็แล้วกัน”
เหลิ่งจวินหานถึงกับงงงวย เด็กอายุสามขวบ ยังไม่ถึงวัยที่จะเข้าใจเรื่องชื่อว่าไพเราะหรือไม่ ก็เห็นอยู่ว่าเขาชื่อพี่ตัวน้อยมิใช่หรือ “พี่ตัวน้อย…”
เหลิ่งเฮ่าอวี่มีหรือจะทนดูม่อตัวน้อยรังแกบุตรชายของตนได้ เขาเอ่ยพร้อมเลิกคิ้วขึ้นยิ้มว่า “นี่ ซื่อจื่อตัวน้อย ลำบากท่านต้องคอยดูแลจวินหานของข้าแล้ว”
ใบหน้าขาวอวบของม่อตัวน้อยแดงขึ้นทันที ชี้นิ้วที่สั่นเทาน้อยๆ ไปทางเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนปล่อยมือเหลิ่งจวินหานแล้ววิ่งหนีออกไปทันที
เหลิ่งจวินหานที่ถูกทิ้งไว้เสียใจเป็นอย่างยิ่ง “พี่ตัวน้อย…”
“ห้ามเรียกข้าว่าตัวน้อย!” มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธของม่อตัวน้อยดังลอยมาไกลๆ น่าเสียดายที่เหลิ่งจวินหานวุ่นอยู่แต่กับการไล่ตามพี่ตัวน้อย จึงไม่ทันได้ยิน “พี่ตัวน้อย รอข้าด้วย…”
เมื่อเห็นว่าเหลิ่งจวินหานซอยขาสั้นๆ วิ่งตามม่อตัวน้อยไปแล้ว มู่หรงถิงถึงได้รีบเรียกแม่นมให้ตามไป ก่อนเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ซื่อจื่อน้อยไม่เป็นอันใดกระมัง”
เยี่ยหลีรู้จักนิสัยบุตรชายของตนดี จึงเพียงอมยิ้มเอ่ยว่า “ปล่อยเขาไปเถิด โกรธสักเดี๋ยวก็หาย”
เหลิ่งเฮ่าอวี่โบกพัดในมือ เอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า “นี่ซื่อจื่อน้อยเป็นอันใดไปหรือ ข้าแค่เรียกว่าซื่อจื่อตัวน้อยเท่านั้นเอง ไม่น่าต้องโกรธถึงเพียงนี้กระมัง” ยามอยู่ที่เมืองหลี น่าจะถูกเรียกขานจนชินแล้วถึงจะถูก
เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นอันใดหรอก คงจะคิดว่าคนทั้งใต้หล้าต่างรู้ว่าชื่อเล่นของเขาคือม่อตัวน้อยก็เท่านั้น เลยไปหาที่หลบไปพักใจน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงถิงก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างสุดกลั้น นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งติ้งอ๋องและอาหลีต่างก็ดูเป็นคนปกติและได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยกันทั้งคู่ เหตุใดถึงได้ตั้งชื่อบุตรชายที่ฟังดูน่าขันเช่นนี้ ซ้ำยังประกาศให้คนเขารู้กันทั่วอีกด้วย หากเป็นบุตรของตระกูลธรรมดาทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่นี่ม่อตัวน้อยเป็นถึงซื่อจื่อของตำหนักติ้งอ๋องเชียวนะ
เยี่ยหลีก็ได้แต่จนใจ ผู้ใดใช้ให้ม่อตัวน้อยโชคไม่ดี มีบิดาที่ไร้เมตตากับเขากันเล่า
“สถานการณ์การรบของต้าฉู่กับเป่ยจิ้ง ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งเฮ่าอวี่หันไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง
ม่อซิวเหยาหรุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องของต้าฉู่กับเป่ยจิ้ง ข้าคิดเห็นเช่นไร แล้วมันเกี่ยวอันใดด้วย”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “ความหมายของท่านอ๋องคือ พวกเราตำหนักติ้งอ๋องจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้?”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ราชวงศ์ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เรายื่นมือเข้าไปช่วยในเรื่องนี้ หากเจ้าปล่อยวางเรื่องบิดาเจ้าไม่ได้ ก็รีบวางแผนโดยเร็วเถิด ตำหนักติ้งอ๋องคงช่วยอันใดไม่ได้ หากเรายื่นมือเข้าไปคงมีแต่จะเป็นการทำร้ายเขา”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มขื่น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจะไปวางแผนอันใดได้ เขาไม่เคยเห็นบุตรที่ไม่ได้ความอย่างข้าอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อย่างมากข้าก็ทำได้เพียงพยายามรักษาชีวิตเขาไว้อย่างเต็มที่เท่านั้น”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ไว้ข้าจะบอกฉินเฟิงให้จัดหาคนให้เจ้าสองคน จากนี้ไปที่เมืองหลวงคงจะไม่ปลอดภัยแล้ว ไว้รอให้เรื่องทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็รีบกลับเมืองหลีเสียเถิด”
ที่เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยตอบเมื่อครู่ เป็นที่พอใจของม่อซิวเหยา ด้วยฐานะที่เป็นนายเบื้องบน เขาย่อมไม่ชอบใจ หากผู้ใต้บังคับบัญชาของตนจะใจขอโหดเหี้ยม ไม่คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน เพราะถึงแม้เหลิ่งจุ่นจะไม่ให้ความสำคัญกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ แต่กระนั้นก็มิได้มีความแค้นอันใดกับเขา ทั้งยังเป็นบิดาแท้ๆ ของเขา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ไม่หวังให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ทำเรื่องของเขาเสียเพราะเหลิ่งจุ่น
เหลิ่งเฮ่าอวี่มีแววยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ขอบพระคุณพ่ะย่ะค่ะ” ให้ฉินเฟิงคัดเลือกคนให้ คนที่คัดเลือกมาย่อมเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือย่างหน่วยกิเลนอย่างแน่นอน หากมีหน่วยกิเลนมาคอยลอบคุ้มครองบิดาของเขา ต่อให้ต่อไปท่านพ่อต้องพ่ายสงคราม เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็มั่นใจว่าจะสามารถให้ท่านพ่อมีชีวิตกลับมาได้
ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นการบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ม่อจิ่งฉียามนี้เป็นอย่างไรบ้าง ม่อจิ่งหลีล้มเขาลงได้แล้ว แต่กลับไม่รีบร้อนที่จะขึ้นครองบัลลังก์ นี่ดูไม่เหมือนวิธีการของเขาเลย”
เมื่อเอ่ยถึงม่อจิ่งฉี เหลิ่งเฮ่าอวี่กลับไม่ดูชอบใจเลยแม้แต่น้อย รีบเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจว่า “ม่อจิ่งฉีคงยังไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก ดูท่าม่อจิ่งหลีคงคิดที่จะทรมานเขา แต่ม่อจิ่งหลีก็คงมีบางอย่างที่อยู่ในมือม่อจิ่งฉี ดังนั้นสุดท้ายแล้วถึงต้องถอยกันคนละก้าว ปล่อยให้บุตรชายของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นองค์รัชทายาท”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่เมื่อหลายวันก่อนได้รับข่าวมาว่า วันแรกที่ม่อจิ่งหลีได้แต่งตั้งขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ก็เตะบุตรชายคนเดียวของตนจนถึงตายทันที หลายปีมานี้นอกจากเยี่ยอิ๋งแล้ว ในตำหนักของม่อจิ่งหลีก็ไม่มีบุตรทั้งชายและสาวเพิ่มขึ้นอีกเลย”
ม่อจิ่งหลีไม่เหมือนกับม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยามีภรรยาเป็นเยี่ยหลีเพียงคนเดียว แต่ในตำหนักม่อจิ่งหลีกลับมีทั้งชายา ชายารอง อนุ สาวใช้อุ่นเตียงอยู่อย่างพรักพร้อม แต่หลายปีมานี้กลับมีบุตรชายเพียงคนเดียว แม้แต่หญิงที่ตั้งครรภ์ก็ยังไม่มี เรื่องนี้ก็ดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย เชื่อว่าม่อจิ่งฉีคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
มู่หรงถิงเอ่ยอย่างพูดไม่ออกว่า “พี่น้องสองคนนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน”
ทุกคนถึงแม้จะไม่มีอันใดจะเอ่ย แต่กลับเห็นด้วยกับความคิดของนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกหรอกหรือ พี่น้องแท้ๆ สองคน ต่อสู้กันทั้งในที่ลับและในที่แจ้งมาหลายปีดีดัก ม่อจิ่งฉีถูกม่อจิ่งหลีเล่นงานจนต้องนอนอยู่บนเตียง จะลุกขึ้นยังไม่ได้ ส่วนม่อจิ่งหลีกลับถูกม่อจิ่งฉีเล่นงานเอาเกือบต้องไร้ผู้สืบสกุล มองดูแล้ว ล้วนไม่มีผู้ใดได้เปรียบทั้งสิ้น