ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 272-1 “ความเปลี่ยนแปลง” ของม่อจิ่งฉี
ไทเฮาเป็นมารดาแห่งชนทั้งใต้หล้ามาหลายสิบปี มีศักดิ์สูงส่งหาใดเปรียบ ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะมีปมในใจกับนาง แต่ฉากหน้ายังถือว่าให้ความเคารพนางเป็นอย่างดี เคยเมื่อใดที่มีคนมาชี้หน้าไล่ให้ไสหัวไปเช่นนี้
สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด ดูผสมปนเปย่ำแย่ประหนึ่งจานสีก็ไม่ปาน
“ฮ่องเต้!” ไทเฮากัดฟันเอ่ยขึ้น เดิมทีจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ก็ด้วยเรื่องของตำแหน่งฮ่องเต้ จึงย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆ
แต่ม่อจิ่งฉีกลับไม่สนใจสิ่งใด ชี้หน้าไทเฮาพลางเอ่ยว่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือไม่! ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็คือฮ่องเต้! ไป…พวกเจ้าอย่าฝัน…อย่าฝันว่าจะได้ดังใจหมาย!”
ไทเฮาพยายามข่มความโกรธไว้ ก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่ายามนี้ฮ่องเต้กำลังอารมณ์ไม่ดี ฮ่องเต้ระบายออกมาให้เต็มที่เถิด แต่ขอให้ฮ่องเต้ลองคิดถึงเรื่องหลังจากนี้ให้ดี ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องคิดถึงองค์ชายกับองค์หญิงด้วย”
ม่อจิ่งฉีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาอย่างอดไม่อยู่ แต่ดูเหมือนทั้งกำลังร้องไห้และหัวเราะ แม้แต่ที่หางตาก็มีน้ำตาพร้อมหยดเลือดไหลออกมา
ไทเฮาเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจ รีบก้าวถอยหลังไปสองก้าว “ฮ่องเต้…ฮ่องเต้ ท่าน…”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงดุว่า “เจ้ากลับไปบอกลูกชายตัวดีของท่าน ให้เขาล้มเลิกความหวังนี้เสียเถิด ต่อให้แผ่นดินของต้าฉู่ต้องล่มสลายลงตอนนี้ ข้าก็ไม่มีทางยกให้เขา บุตรชายแสนรักของเขาด้วย…ไว้รอเอาไปร่วมฝังไว้กับข้าก็แล้วกัน ส่วนบัลลังก์ฮ่องเต้นั้น หากเขามีความสามารถก็มาชิงเอาไปก็แล้วกัน ข้าจะรอดู…ข้าจะรอดูวันที่เขาไร้ ผู้ สืบ สกุล!”
สี่คำสุดท้ายนั้นเต็มไปด้วยแววมาดร้าย จนทำให้ไทเฮารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที ไทเฮายังไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ม่อจิ่งหลีไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว จึงเห็นว่าเป็นเพียงการสาปแช่งของม่อจิ่งฉีเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นม่อจิ่งฉีนอนอยู่บนเตียงที่มีรอยเลือดกระจัดกระจายอยู่ หางตาก็มีหยดเลือดและน้ำตาไหลออกมา กำลังจ้องมองมาด้วยความสายตาดุร้ายประหนึ่งปีศาจ ก็ทำให้ไทเฮาตกใจไม่น้อย
เมื่อทำอันใดไม่ได้ ไทเฮาจึงจำต้องเดินโซซัดโซเซออกจากตำหนักบรรทมไป
คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักจะรีบเข้ามาดู แต่แค่เพียงเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงม่อจิ่งฉีดังลอยมาว่า “ไสหัวไป! ข้าอยากอยู่เงียบๆ!” เมื่อได้ยินเสียงม่อจิ่งฉีที่ฟังดูโกรธจัด จึงเข้าใจว่าคงมิได้มีเรื่องใหญ่อันใด จึงวางใจกลับไปเฝ้าที่หน้าประตูเช่นเดิม
ภายในตำหนักบรรทม ม่อจิ่งฉีหัวเราะขึ้นมาอย่างน่าเวทนา เมื่อครู่เขาเพิ่งอาละวาดไปจนส่งผลไปถึงหัวใจ พอไทเฮาจากไป เดิมทีสีหน้าที่เพียงมองดูก็รู้ว่าย่ำแย่ ก็ดูจะทรุดลงไปอีกอย่างรวดเร็ว
“หึหึ…” จู่ๆ ภายในห้องบรรทมก็มีเสียงหัวเราะด้วยความยินดีดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา
ม่อจิ่งฉีฝืนลืมตาขึ้น บุรุษตรงหน้าทำให้เขาที่เมื่อครู่ยังดูสลึมสลือไม่ได้สติ กลับดูมีสติขึ้นมามากโข เขาพยายามเบิกตามองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชุดขาว ผมขาว ใบหน้าหล่อเหล่า คิ้วคม ดูเปี่ยมไปด้วยบารมี ชายแขนเสื้อสีขาว ปักเป็นรูปลายมังกรด้วยด้ายสีเงิน แล้วประหนึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยไปมาอยู่ตรงจมูก ทำให้ม่อจิ่งฉีที่นอนสลึมสลืออยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด มีสติสัปชัญญะขึ้นมากโดยพลัน
“ม่อซิวเหยา!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยขึ้นเสียงขรึม
“หึหึ…” ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงต่ำ “ฮ่องเต้ แค่ไม่ได้พบกันเพียงครึ่งปี ท่านมาอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วหรือ ข้ารู้สึกตกใจยิ่งนัก”
ข้างกายม่อซิวเหยา เยี่ยหลีในชุดสีอ่อน กำลังอุ้มเด็กในชุดผ้าไหมสีดำที่ขาวราวตุ๊กตาหยก เป็นเด็กน้อยที่เพิ่งอายุได้ห้าหกปี หน้าตาหล่อเหลาน่ารัก ดวงตาสีดำขลับม่อจิ่งฉีพลางสอดส่ายสายตาไปมา เป็นเด็กที่ดูเฉลียวฉลาดอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อเห็นม่อจิ่งฉีที่ทั่วตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด เด็กน้อยก็กลับดูไม่เกรงกลัวเลยสักนิด แต่กลับยื่นศีรษะออกมาจากอ้อมแขนของเยี่ยหลี ด้วยเพราะอยากมองให้ชัดขึ้น
“นี่คือบุตรชายของเจ้าหรือ” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ดึงม่อตัวน้อยจากเยี่ยหลีมาอุ้มไว้เสียเอง “ถูกต้อง บุตรชายของข้า ม่ออวี้เฉิน”
ม่อตัวน้อย ที่มีชื่อจริงว่า สหายอวี้เฉินมองคนบนเตียงด้วยควาสนใจใคร่รู้ เสด็จพ่อไม่เคยเรียกชื่อจริงเขามาก่อน คนผู้นี้เป็นใครกันถึงทำให้จู่ๆ เขาเกิดข้อยกเว้นขึ้น “เสด็จพ่อ…ผู้นี้คือสามีของท่านป้าชุดขาวท่านนั้นหรือ”
ม่อซิวเหยาลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถูกต้อง เขาคือสามีของท่านป้าท่านนั้น แล้วก็เป็นบิดาของพี่อู๋โยวของเจ้าด้วย”
เดิมทีเมื่อได้ยินชื่อม่ออวี้เฉินสามคำนี้ สีหน้าม่อจิ่งฉีก็เปลี่ยนไป แต่ตอนหลังเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงท่านป้าชุดขาวกับพี่อู๋โยว สุดท้ายม่อจิ่งฉีก็ระบายลมหายใจยาวออกมา หลับตาลงกลืนคำพูดที่อยากจะพูดเมื่อครู่กลับลงไป เอ่ยถามว่า “ฉางเล่ออยู่ที่ซีเป่ย สบายดีหรือไม่”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “อู๋โยวได้คารวะฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านหมอเทวดาแล้ว ต่อไปคิดจะออกเดินทางไปรักษาผู้คน”
ม่อจิ่งฉีดูจะประหลาดใจไม่น้อย โบกมือด้วยความลำบากพลางเอ่ยว่า “เอาเถิด ข้ารู้ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็จะดูแลนางอย่างดี หึหึ…คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้ายังจะกลับมาพบข้าอีก”
ม่อจิ่งฉีมองม่อซิวเหยา สายตาดูสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหน้านี้ ต่อให้ม่อซิวเหยาอยู่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุด ส่วนเขาม่อจิ่งฉีอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดอย่างไร สายตาที่ม่อจิ่งฉีใช้มองม่อซิวเหยาก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังและริษยา สายตาที่ดูราบเรียบประหนึ่งไม่มีความรู้สึกอันใดเลยนั้น ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาเลยทีเดียว
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้าย่อมต้องมาพบเจ้า มิเช่นนั้น ข้าจะไปบอกกับเสด็จพ่อ พี่ใหญ่และดวงวิญญาณของทหารกล้านับหมื่นนายที่ตายไปอย่างไร้ความผิดได้อย่างไร เพื่อรีบมาให้ทันส่งเจ้าไป ปีที่แล้ว ข้าต้องยุ่งจนหัวหมุนอยู่เป็นครึ่งปี ถึงพอจะมีเวลากลับมาหาเจ้าในยามนี้เชียวนะ”
“เจ้า…” ม่อจิ่งฉีอึ้งไป
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถูกต้อง ข้ารู้นานแล้วว่าเจ้าจะเป็นเช่นนี้ ด้วยเพราะเดิมทีตอนอยู่ที่หนานจ้าว…ยามที่ม่อจิ่งหลีซื้อยา ข้าก็มองดูอยู่จากไม่ไกล เพื่อเรื่องนี้ ข้าถึงกับต้องให้ท่านเสิ่นช่วยศึกษาผลของยาพิษตัวนี้โดยเฉพาะอีกด้วย”
พูดจบ ม่อซิวเหยาก็หยิบยาเล็กๆ ขวดหนึ่งขึ้นมาโยนลงไปที่เตียงของม่อจิ่งฉี
ม่อจิ่งฉีรีบหยิบขวดนั้นขึ้นมาเปิดดูด้วยมืออันสั่นเทา เม็ดยาเล็กๆ ในขวด มองดูแล้วเล็กกว่าเมล็ดถั่วเหลืองเสียอีก ม่อจิ่งฉีทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ เขาถูกเจ้ายาประเภทนี้ทำจนเป็นเช่นนี้ ถูกน้องชายตนเองทำร้ายจนอยู่ในสภาพนี้ เขาคอยขวางตำหนักติ้งอ๋องและม่อซิวเหยามาตลอดชีวิต แต่สุดท้ายแล้วเขากลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของน้องชายแท้ๆ ของตน สวรรคช่างเล่นตลกกับเขาแท้ๆ
เมื่อเห็นสภาพของม่อจิ่งฉี ม่อซิวเหยาก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก “จะว่าไป…ถึงแม้จะโดนยาพิษที่ว่ากันว่าไม่มีทางรักษา แต่เดิมทีเจ้ายังพอมีโอกาสที่จะยังมีชีวิตอยู่ ข้าจำได้ว่า เจ้าเคยมีดอกปี้ลั่วอยู่ดอกหนึ่ง ใช่หรือไม่”
ม่อจิ่งฉีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงพร่าว่า “ดอกปี้ลั่ว…ดอกปี้ลั่วเจ้าเป็นคนเอาไปหรือ”
ม่อซิวเหยายอมรับอย่างเปิดเผย “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าเองก็คงพอคาดเดาได้กระมัง หากไม่ใช่เพราะดอกปี้ลั่วของเจ้า ข้าจะกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเช่นนี้ได้อย่างไร”
ม่อจิ่งฉีนิ่งเงียบไปนาน แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ…ตามสนอง! เป็นกรรมตามสนองจริงๆ…” เดิมทีเขาวางยาพิษม่อซิวเหยาจนพิการ ม่อซิวเหยากลับแย่งดอกปี้ลั่วไปปรุงยาถอนพิษและรักษาโรค แต่ในยามนี้ที่ในกายเขามีพิษร้ายแฝงอยู่ กลับไม่มีดอกปี้ลั่วให้ใช้อีกแล้ว นี่เป็นกรรมตามสนองจริงๆ หรือ…
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “จะใช่หรือไม่ใช่กรรมตามสนอง ข้าไม่นึกอยากรู้ เพียงแต่ข้ามาเห็นสภาพเจ้าในยามนี้…ช่างรู้สึกสบายใจยิ่งนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามว่าข้ามียาถอนพิษหรือไม่เล่า ตัวเจ้าเองก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกระมัง ขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไปทุกชั่วขณะเวลา คนข้างกายเจ้าทุกคน ก็จะคอยเตือนสติเจ้าว่า เจ้านั้นล้มเหลวเพียงใด เจ้ารู้หรือไม่…เดิมที่สิ่งที่เจ้ากระทำ มิใช่เป็นการทำร้ายตำหนักติ้งอ๋อง แต่เป็นการปลดพันธนาการตำหนักติ้งอ๋องที่มีมาตลอดหลายร้อยปีลงอย่างสมบูรณ์ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว มิเช่นนั้นข้าคงอยากให้เจ้าได้เห็นว่า สิ่งที่เจ้าเคยกระทำไว้กับกองทัพตระกูลม่อ จะส่งผลตอบแทนเจ้าเช่นไร ให้เจ้าได้เห็น…ว่าสิ่งที่เจ้าเรียกว่าเป็นสายเลือดหลักของราชวงศ์ต้าฉู่กับตำหนักติ้งอ๋องของข้า ผู้ใดกันแน่ที่เหมาะสมจะได้อยู่ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ต่อไป…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็ตะโกนขึ้นมา ไม่รู้เขาไปเอาแรงมาจากที่ใด ยื่นมือมาจับแขนเสื้อม่อซิวเหยาไว้ “ฆ่าข้าสิ…ยามนี้ฆ่าข้า ข้าจะชดเชยความผิดที่เคยทำไว้กับตำหนักติ้งอ๋อง ฆ่าข้าเสีย!”
ม่อซิวเหยาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จับมือม่อซิวเหยาที่กำแขนเสื้อเขาอยู่ออกโดยง่าย หรุบตาลงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตอนนี้ข้าไม่ได้สนใจจะเอาชีวิตเจ้าแล้ว อยากตายก็ไปตายเองเถิด เพียงแต่…ข้าขอบอกให้เจ้าค่อยเป็นค่อยไปหน่อย ยามนี้ม่อจิ่งหลีกำลังตั้งตารออยู่ทีเดียว”
ม่อจิ่งฉีถึงกับหอบหายใจ เอ่ยกับเขาว่า “ช่วยข้า…ช่วยข้าฆ่าม่อจิ่งหลีกับคนตระกูลหลิ่ว”
ประหนึ่งได้ยินเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก ม่อซิวเหยาเอ่ยถามว่า “ช่วยเจ้าทำเรื่องพวกนี้แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใด”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “ข้าจะมีราชโองการให้ไทเฮากับองค์หญิงและองค์ชายทุกคนนอกจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ร่วมฝังไปกับข้าด้วย เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ต่อดวงวิญญาณกองทัพตระกูลม่อ พอหรือไม่!”
“ฮ่องเต้ช่างใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ” เยี่ยหลีเอ่ยพลางถอนใจเบาๆ
ม่อจิ่งฉีจ้องนิ่งไปยังม่อซิวเหยาพลางเอ่ยถามว่า “เจ้ารับปากแล้วหรือ ข้าสามารถออกหนังสือกล่าวโทษตนเองได้ ประกาศให้ทั่วโลกได้รู้ถึงความจริงของเรื่องในยามนั้น”
ภายในตำหนักบรรทมนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ม่อซิวเหยาถึงได้ค่อยๆ ส่งเสียงหัวเราะออกมา อุ้มม่อตัวน้อยพลางส่ายหน้า “ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่ได้ตัดขาดกันแล้ว ฮ่องเต้ขอให้ตนเองมีความสุขมากๆ เถิด อาหลี กลับกันเถิด”
เยี่ยหลีพยักหน้า หมุนตัวเดินตามม่อซิวเหยากลับไปทางเก่า
ม่อจิ่งฉีที่อยู่บนเตียงคิดอยากลุกขึ้นมาแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง
มีเสียงม่อซิวเหยาดังขึ้นจากมุมหนึ่งของตำหนักว่า “ในขวดนั้นถึงแม้จะเป็นยาพิษ แต่ก็สามารถทำให้มีชีวิตต่อไปได้อีกหลายวัน จะต้องการหรือไม่แล้วแต่ฮ่องเต้”
บนเตียงมังกร ม่อจิ่งฉีมองขวดเล็กๆ ในมืออย่างเหม่อลอย