ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 294-2 พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
มองม่อซิวเหยาที่กำลังนอนหลับอยู่เขาหันหน้าไปยักคิ้ว ยังไม่ลืมตา ใบหน้าของเหลยเถิงเฟิงแทบจะเป็นสีเขียวอยู่แล้ว กัดฟันและพูดว่า “มีเหมืองแร่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตแดนที่ติดต่อกับพรมแดนของสามแคว้นได้แก่ ซีหลิง เป่ยหรงและซีเป่ย เหมืองแร่แห่งนั้นเป็นของซีหลิง จากนี้ไปจะถูกส่งมอบให้กับจวนติ้งอ๋อง ”
เหลยเถิงเฟิงไม่ได้เสียดายภูเขาแร่ลูกนั้นเท่าไร ในเมื่อมันอยู่ในเงื่อนไขที่คาดการณ์เอาไว้แต่แรก จึงไม่ใช่สิ่งที่จะยอมเสียไปไม่ได้ อีกทั้งเหมืองแร่แห่งนั้นอยู่ในเขตแดนติดต่อกับซีหลิง ซีเป่ยและเป่ยหรง มักจะถูกคนของเป่ยหรงมารังควานอยู่บ่อยครั้ง ไม่สามารถขุดแร่อย่างสบายใจได้เลย แร่ที่ผลิตในแต่ละปี มีสัดส่วนน้อยกว่าเศษเสี้ยวของจำนวนที่ซีหลิงต้องการด้วยซ้ำ พอซีหลิงได้ต้าฉู่ไป แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด ซีหลิงได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับชายแดนทางตอนเหนืออย่างเป่ยหรง ขอแค่ดินแดนทางตอนใต้ หรือต้าฉู่ซึ่งเป็นสถานที่ที่ร่ำรวยที่สุดตกเป็นของซีหลิงทั้งหมด ภายใต้ผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้นับประสาอะไรกับเหมืองแร่สองสามแห่ง พวกเขายินดีที่จะให้ทั้งนั้น
เพียงแต่ข้อเสนอที่พวกเขายื่นให้ในตอนนี้ถึงจุดขีดสุดแล้ว ในเมื่อม่อซิวเหยาไม่ต้องทำอะไรเลย ก็สามารถได้ผลประโยชน์มากมายเพียงนี้ หากจะให้มีอีก ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาตัดสินใจได้แล้ว
ดวงตาเยี่ยหลีเป็นประกายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รุ่ยอ๋องเป็นช่างคนใจกว้างจริงๆ พูดเช่นนี้แล้ว…ข้ากับท่านอ๋องก็ต้องพิจารณาดูดีๆ หน่อยแล้ว”
เหลยเถิงเฟิงเอ่ยอย่างร้อนใจ “พระชายาโปรดอภัย ข้าน้อยมีเวลาอยู่ที่ซีเป่ยไม่มากพอ”
เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “รุ่ยอ๋องวางใจได้ อย่างช้าที่สุดจะให้คำตอบรุ่ยอ๋องได้ในวันพรุ่งนี้เช้า รุ่ยอ๋องเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยน่าดู อย่างไรก็ต้องพักสักคืนถึงจะออกเดินทางใหม่ไม่ใช่หรือ”
เหลยเถิงเฟิงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า เขาเร่งขี่ม้าเร็วมายังซีหลิง เพราะกลัวว่าต้าฉู่จะมาถึงก่อน และเหนื่อยไม่น้อยจริงๆ “เช่นนั้น ก็ขอบคุณพระชายามาก” เยี่ยหลีพยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนจะเรียกจั๋วจิ้งที่คอยอยู่นอกประตู เอ่ย “พารุ่ยอ๋องไปพักผ่อนที่สถานทูต”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหลยเถิงเฟิงก็แอบถอนหายใจ หากเยี่ยหลีบอกให้เขาพักอยู่ที่จวนติ้งอ๋อง เขาก็จะกังวลแล้ว ขอบคุณเยี่ยหลีอีกครั้ง เหลยเถิงเฟิงถึงได้ตามจั๋วจิ้งออกไป
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงบ เยี่ยหลีพิงเก้าอี้ ก้มมองดูม่อซิวเหยาที่ยังคงปิดเปลือกตาเพื่อพักสายตาและหนุนขาของตนอยู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ และเอ่ย “ดูเหมือนว่าครั้งนี้เหลยเจิ้นถิงตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเอาต้าฉู่มาให้ได้” ม่อซิวเหยาเอ่ยเบาๆ “เหลยเจิ้นถิงใกล้จะหกสิบแล้ว”
เยี่ยหลีหงอยลงเล็กน้อย แม้เหลยเจิ้นถิงจะอายุเกินห้าสิบไปแล้ว แต่ก็ยังคงห่างจากหกสิบอยู่มากอยู่กระมัง แต่ว่านี่ก็ไม่ทำให้นางเข้าใจความต้องการของม่อซิวเหยาผิดไป เหลยเจิ้นถิงแก่แล้ว แม้ว่าการต่อสู้ของเขาจะเก่งกาจเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาจะมีอายุได้เท่ามู่หรงสยง อีกทั้ง ต่อให้เขาจะมีอายุยืนยาวเท่ามู่หรงสยง แต่เมื่อเทียบเขากับม่อซิวเหยาแล้ว ม่อซิวเหยาก็ดูอายุน้อยเกินไปทันที โดยเฉพาะได้ยารับยาถอนพิษที่ทำมาจากบุปผาสวรรค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิษในร่างกาย บาดแผลเก่าของม่อซิวเหยา ต่างหายดีทั้งหมด แม้แต่การเปลี่ยนแปลงของรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่มากมาย ผ่านมาสองสามปี ในปีนี้ม่อซิวเหยาอายุสามสิบปีแล้ว แต่ยังดูเหมือนชายหนุ่มอายุยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดอยู่เลย
อย่างน้อยในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ม่อซิวเหยาจะอยู่ในช่วงสูงสุด ในขณะที่เหลยเจิ้นถิงจะมีแต่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟังหน่อย ก็คือต่อให้ม่อซิวเหยาจะแก่ ตอนนั้นเหลยเจิ้นถิงก็คงตายไปแล้ว และความภูมิใจของเหลยเจิ้นถิงก็ไม่มีทางทนต่อการพ่ายแพ้ต่อเนื่องให้กับสองพ่อลูกม่อหลิวฟางแน่นอน ดังนั้นเขาจะไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ในเมื่อทำอะไรม่อซิวเหยาไม่ได้ในเร็วๆ นี้ เช่นนั้นเขาทำได้เพียงยึดครองซีหลิง หลังจากนั้นค่อยไปรับมือกับม่อซิวเหยา และวิธีที่จะยึดครองซีหลิงได้เร็วที่สุดก็คือ ได้ครอบครองแคว้นที่ร่ำรวยและมีดินแดนกว้างใหญ่อย่างต้าฉู่ นี่ถึงจะเป็นสาเหตุที่เขายอมสละดินแดนทางใต้ เพื่อโจมตีต้าฉู่
“เจ้าว่า…พอเหลยเจิ้นถิงรู้การตัดสินใจสุดท้ายของเจ้าแล้ว จะโกรธจนตายไหม” เมื่อคิดถึงจิตใจอันชั่วร้ายของใครบางคน เยี่ยหลียิ้มแล้วก็อดที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
“ไม่หรอก เหลยเจิ้นถิงไม่ตายง่ายๆ ขนาดนั้น ต่อให้จะตาย…” น้ำเสียงของคนขี้เกียจที่หลับพักสายตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่รู้สึกได้ไม่ง่ายนัก “เขาก็จะต้องตายในสนามรบ” ตายในมือของข้า!
เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจ เอ่ย “สู้รบติดต่อกัน ผู้คนล้มตายมากมาย ไม่รู้ว่าประชาราษฎรในใต้ฟ้านี้…” เยี่ยหลีจำต้องยอมรับว่าเกิดความกังวลขึ้นภายในใจตนเอง นางไม่เคยเจอสงครามที่แท้จริง ต่อให้เมื่อไม่กี่ปีก่อนซิ่นหยางจะถูกซีหลิงเข่นฆ่ากลางเมือง อันที่จริงนั่นเป็นเพียงสงครามขนาดเล็กระยะสั้นเท่านั้น ทว่าในตอนนี้ แทบจะได้เห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ประชาชนไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุขได้แล้ว…
ม่อซิวเหยาคลำหามือของนางพลางจับไว้ “อาหลี ไม่ต้องกลัว…”
เยี่ยหลียิ้ม ก่อนจะเอ่ย “อืม ไม่กลัว ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า”
เช้าวันต่อมา เหลยเถิงเฟิงเดินทางออกจากซีหลิงอย่างพึ่งพอใจ พร้อมกับสัญญาของม่อซิวเหยาและพันธสัญญาที่ลงนามกับมือ พอซีเป่ยตัดสินใจนิ่งดูดาย ก็แทบจะจินตนาการได้ถึงการสูญสิ้นของต้าฉู่แล้ว เพื่อแน่ใจว่าความพยายามของซีหลิงจะได้รับผลตอบแทน เหลยเถิงเฟิงแทบรอไม่ไหวที่จะบอกข่าวให้ใต้ฟ้ารู้ทันทีหลังจากที่เขาออกจากเมืองหลี ข่าวนี้เป็นข่าวดีสำหรับกองทัพของแคว้นต่างๆ ที่กำลังต่อสู้กับต้าฉู่ แต่ก็เท่ากับว่าสถานการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดสำหรับต้าฉู่ที่กำลังดิ้นรนต่อต้านอยู่ เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วใต้ฟ้า บุคคลสำคัญของทุกแคว้นต่างปรบมือเพื่อเฉลิมฉลอง และจ้องมองอาณาจักรที่ล่มสลายอยู่ไม่ไกล ในขณะที่ขุนนางและประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าฉู่ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ
ด่านซุ่ยเสวี่ยทางใต้ มู่หรงเซิ่นทราบข่าวจากที่ผู้ใต้บังคับบัญชามารายงาน ก็ได้แต่ถอนหายใจและโบกมือให้เขากลับไป เมื่อยืนอยู่บนด่านซุ่ยเสวี่ยและมองไปทางทิศเหนือ แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งที่มองเห็นต้าฉู่กำลังทรุดตัวลงอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ คนที่มีความสามารถในการช่วยต้าฉู่ได้ ถูกจวิ้นอ๋องผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรขับออกไปจากต้าฉู่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ต้าฉู่ทอดทิ้งพวกเขา และเมื่อต้าฉู่พบกับวิกฤต พวกเขาก็ไม่อาจช่วยเหลือและสนับสนุนเฉกเช่นในอดีตได้แล้ว
จวนฮว่ากั๋วกงแห่งฉู่จิง ฮว่ากั๋วกงผมซีดขาว มองม่อจิ่งอวี๋ที่มีใบหน้าที่เหนื่อยล้า ก่อนหันหลังกลับไป ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้าและความจนปัญญา ทว่ากลับมีความแน่วแน่และเด็ดขาด
“มานี่หน่อย ข้าจะเข้าวัง” ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮว่ากั๋วกงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้ม หลานคนโตข้างกายถามขึ้นด้วยความกังวล “ท่านปู่ ท่านจะเข้าวังไปทำอะไรในเวลานี้”
ฮว่ากั๋วกงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า “ขอออกศึก ไม่มีใครปกป้องชายแดนเป่ยหรง…แม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ก็ยังพอเคลื่อนไหวได้อยู่”
หลานชายคนโตแห่งตระกูลฮว่าดวงตาแดงก่ำ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านปู่อายุมากขนาดนี้แล้วควรพักผ่อนอย่างสุขสบายได้แล้ว หลานจะเข้าวัง เพื่อทูลขอพระราชโองการ หลานยินดีป้องกันกองทัพเป่ยหรงแทนท่านปู่เอง!” นึกถึงตรงนี้ ก็อดเกลียดตัวเองที่แก่ชราและอ่อนแอไม่ได้ เดิมทีตระกูลฮว่าเป็นตระกูลของแม่ทัพ แต่เนื่องจากความกลัวของกษัตริย์ รุ่นที่ถัดจากท่านปู่ลงมาได้แต่เรียนหนังสือ ต่อให้ตนนั้นต้องเข้าสู่สนารมรบ…จะไปมีประโยชน์อะไร
“ท่านปู่…ท่านป้ากับท่านพี่อยู่ที่ซีเป่ย เหตุใดไม่เชิญพวกเขา…”
“อย่าทำตัววุ่นวาย!” ฮว่ากั๋วกงเอ่ยเสียงดัง “พวกนางต่างเป็นผู้หญิง ไม่ควรข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว อีกอย่าง…จวนติ้งอ๋องมีเส้นทางที่ต้องเดินของตนเอง ตระกูลฮว่าก็เช่นกัน!”
“ขอรับ หลานเข้าใจแล้ว”
“ช่างเถอะ เตรียมตัวเข้าวังเถอะ”
ด่านจื่อจิงทางตอนเหนือ
ภายในจวนของแม่ทัพ ณ ด่านจื่อจิง เหลิ่งไหวถอนหายใจอย่างหนัก เมื่อเห็นรายงานสงครามที่ส่งมาให้บนโต๊ะ เหลิ่งฉีอวี่และมู่หยางต่างพากันมองสิ่งของในมือเขา เหลิ่งฉีอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ เป็นอะไรไปหรือ” เหลิ่งไหวหลับตา เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ติ้งอ๋องปฏิเสธที่จะส่งกองกำลังเข้าช่วยต้าฉู่แล้ว อีกทั้งยังตอบรับข้อเสนอของซีหลิง ไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของต้าฉู่แล้ว” แม้ว่าตระกูลเหลิ่งกับจวนติ้งอ๋องไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน ทว่าตัวเหลิ่งไหวเองก็ไม่ได้มีความารู้สึกไม่ดีต่อจวนติ้งอ๋อง เพียงแต่มีจุดยืนแตกต่างกันเท่านั้น แต่จะต้องพูดว่า เหลิ่งไหวยังคงมีความหวังในต้าฉู่เฉกเช่นเดียวกับประชาชนต้าฉู่ทั้งหมด เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนต่างต้องจำใจเผชิญหน้ากับความเป็นจริงแล้ว กองทัพตระกูลม่อ ไม่ได้เป็นกองทัพเกรียงไกรที่ปกป้องต้าฉู่อีกต่อไป